http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ 27 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.00 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
1. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนทับกวาง จังหวัดสระบุรี พ.ศ. ….
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และการสมัครเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยการแสดงและสิ่งบันทึกเสียงขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO Performances and Phonograms Treaty: WPPT)
3. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติแรงงานทะเล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมของศูนย์ประเมินความรู้ความสามารถกลาง พ.ศ. ….
5. เรื่อง ร่างแผนงานด้านทรัพย์สินทางปัญญา (Thailand intellectual Property Work Plan: IP Work Plan) ระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญากับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative: USTR)
6. เรื่อง ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัทศิลาอุตสาหกรรม จำกัด ที่จังหวัดยะลา
7. เรื่อง ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลาทองวิเชียร ที่จังหวัดเพชรบูรณ์
8. เรื่อง สรุปสถานการณ์สาธารณภัย และการช่วยเหลือ
9. เรื่อง การรับรองร่างถ้อยแถลงรัฐมนตรีองค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก หรือ ถ้อยแถลงโตเกียว
10. เรื่อง รายงานผลการเดินทางเยือนกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายพิชัย ชุณหวชิร) เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี
11. เรื่อง การให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 155 ว่าด้วยความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ค.ศ. 1981 และพิธีสาร ค.ศ. 2002 ส่วนเสริมอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 155 ว่าด้วยความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ค.ศ. 1981
12. เรื่อง (ร่าง) แถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์ ครั้งที่ 44
1. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนทับกวาง จังหวัดสระบุรี พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนทับกวาง จังหวัดสระบุรี พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงอุตสาหกรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
1. สืบเนื่องจากกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนทับกวาง จังหวัดสระบุรี พ.ศ. 2550 สิ้นสุดการบังคับใช้แล้วเมื่อปี 2555 และจากการประเมินผลเกี่ยวกับผังเมืองรวมชุมชนทับกวางที่ผ่านมาพบว่ามีจำนวนประชากรมากกว่าผังเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ และมีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นในหลายบริเวณ โดยเฉพาะพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) มีร้อยละกิจการรองที่มีการใช้พื้นที่เกินร้อยละกิจการรองที่กำหนดไว้ ด้านคมนาคมและขนส่งในปัจจุบันยังไม่มีการดำเนินการตามโครงการที่ได้วางไว้ ซึ่งตำบลทับกวางมีพื้นที่บริเวณตรงกลางผังที่มีความเหมาะสมในการพัฒนาในอนาคต และบริเวณพื้นที่ผังดังกล่าวเป็นพื้นที่บริเวณนิคมสร้างตนเองเดิม จึงมีการตัดถนนโครงข่ายไว้บางส่วนบริเวณด้านล่างของถนนมิตรภาพ ประกอบกับมีพื้นที่ประกอบอุตสาหกรรมเกี่ยวกับปูนซีเมนต์ซึ่งเป็นแหล่งงานสำคัญของพื้นที่ รวมทั้งมีถนนสายสำคัญคือถนนมิตรภาพและมีทางรถไฟผ่านในพื้นที่ จึงก่อให้เกิดศักยภาพในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับการประเมินผลของผังเมืองรวมชุมชนทับกวาง รวมทั้งปัญหา ศักยภาพ และแนวโน้มการขยายตัวดังกล่าว จึงได้มีการปรับปรุงผังเมืองรวมดังกล่าว เช่น ปรับเปลี่ยนพื้นที่จากเดิมในที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) เป็นที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (สีเหลือง) จำนวน 929.81 ไร่ เนื่องจากบริเวณพื้นที่ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรมที่มีการปรับเปลี่ยนมาเป็นที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อยได้มีบ้านเรือนและมีการพัฒนาไปแล้วเป็นจำนวนมาก ประกอบกับพื้นที่ในที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อยตามผังเดิมไม่สามารถพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยได้และเป็นการจัดหาพื้นที่เพิ่มเติมเพื่อรองรับการเจริญเติบโตในอนาคต กำหนดให้ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) ให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นได้ไม่เกินร้อยละ 15 (เดิม ร้อยละ 10)และเพิ่มข้อกำหนดของถนนโครงการคมนาคมและขนส่งให้ใช้บังคับอันเป็นไปตามมาตรฐานของระบบคมนาคมและขนส่งของกรมโยธาธิการและผังเมือง
2. ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนทับกวาง จังหวัดสระบุรี พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ เป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย และตำบลมิตรภาพ อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 121.40 ตารางกิโลเมตร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมือง และบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบทในด้านการใช้ประโยชน์ในที่ดิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อมให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งมีนโยบายและมาตรการเพื่อจัดระบบการใช้ประโยชน์ที่ดิน โครงข่ายคมนาคมขนส่งและบริการสาธารณะให้มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมชุมชนเมืองให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการผลิตและการบริการพัฒนาด้านที่อยู่อาศัยและพาณิชยกรรมให้สอดคล้องกับการขยายตัวของชุมชนและระบบเศรษฐกิจ อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อม พัฒนาการบริการทางสังคม รวมทั้งอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยได้มีการกำหนดแผนผังและการใช้ประโยชน์ที่ดินภายในเขตผังเมืองรวมจำแนกออกเป็น 12 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะกำหนดลักษณะกิจการที่ให้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์การใช้ประโยชน์ที่ดินแต่ละประเภทนั้น ๆ รวมทั้งกำหนดประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ให้ดำเนินการในที่ดินแต่ละประเภท รวมทั้งกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามแผนผังโครงการคมนาคมและขนส่ง ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 แล้ว และคณะกรรมการผังเมืองได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว
3. กำหนดประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินออกเป็น 12 ประเภท ดังนี้
ประเภท | วัตถุประสงค์ |
1. ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (สีเหลือง) 2. ที่ดินประเภทพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก (สีแดง) 3. ที่ดินประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินค้า (สีม่วง) 4. ที่ดินประเภทอุตสาหกรรมเฉพาะกิจ (สีม่วงอ่อน) 5. ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) 6. ที่ดินประเภทปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (สีเขียว มีกรอบและเส้นทแยงสีน้ำตาล) 7. ที่ดินประเภทที่โล่งเพื่อนันทนาการและการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (สีเขียวอ่อน) 8. ที่ดินประเภทอนุรักษ์ป่าไม้ (สีเขียวอ่อนมีเส้นทแยงสีขาว) 9. ที่ดินประเภทสถาบันการศึกษา (สีเขียวมะกอก) 10. ที่ดินประเภทอนุรักษ์เพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมไทย (สีน้ำตาลอ่อน) 11. ที่ดินประเภทสถาบันศาสนา (สีเทาอ่อน) 12. ที่ดินประเภทสถาบันราชการ การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ (สีน้ำเงิน) |
– เป็นพื้นที่รอบนอกชุมชนเมืองต่อจากพื้นที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง และพื้นที่พาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก มีวัตถุประสงค์เป็นที่อยู่อาศัยเบาบางรองรับการขยายตัวของย่านพักอาศัยในอนาคต ซึ่งกำหนดให้สามารถสร้างอาคารเพื่อการอยู่อาศัยได้หลายประเภท เช่น บ้านเดียว บ้านแฝด ห้องแถว ตึกแถว บ้านแถว โดยมีข้อจำกัดในเรื่องของขนาดอาคารซึ่งต้องไม่ใช่อาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่ และกำหนดห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ส่งผลกระทบต่อที่พักอาศัยและชุมชน ได้แก่ คลังน้ำมันเพื่อการจำหน่าย สุสานและฌาปนสถาน จัดสรรที่ดินเพื่อประกอบอุตสาหกรรม การเลี้ยงสัตว์เพื่อการค้า โรงฆ่าสัตว์ การกำจัดมูลฝอย เป็นต้น – เป็นศูนย์กลางด้านพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัย มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการประกอบกิจกรรมทางธุรกิจ การค้า การบริการให้แก่ประชาชน เช่น โรงแรม ตลาด ร้านค้า อาคารสำนักงาน อาคารพาณิชยกรรมในส่วนของข้อห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ ได้แก่ คลังน้ำมันเพื่อการจำหน่าย คลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว การเลี้ยงสัตว์เพื่อการค้า สุสานและฌาปนสถาน จัดสรรที่ดินเพื่อประกอบอุตสาหกรรม ไซโลเก็บผลิตผลทางการเกษตร กำจัดมูลฝอย ซื้อขายหรือเก็บเศษวัสดุ เป็นต้น – เป็นพื้นที่กำหนดให้เป็นเขตอุตสาหกรรมเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมในอนาคตซึ่งเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมที่มีอยู่เดิม กำหนดให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่ออุตสาหกรรมและคลังสินค้า การประกอบกิจการโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน สำหรับในส่วนของข้อห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดิน ได้แก่ การเลี้ยงสัตว์เพื่อการค้า สุสานและฌาปนสถาน จัดสรรที่ดินเพื่อประกอบพาณิชยกรรม จัดสรรที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย สถาบันการศึกษา สถานสงเคราะห์หรือรับเลี้ยงเด็กสถานสงเคราะห์หรือรับเลี้ยงคนชรา เป็นต้น – เป็นพื้นที่ที่กำหนดให้เป็นเขตอุตสาหกรรมเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมในอนาคตซึ่งเป็นเขตพื้นที่อุตสาหกรรมที่มีอยู่เดิม โดยมีการควบคุมและส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม เป็นอุตสาหกรรมภาคเกษตรกรรมหรืออุตสาหกรรมแปรรูปทางการเกษตร และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการบริการชุมชนเป็นหลัก เช่น การเก็บรักษาหรือลำเลียงพืช เมล็ดพืช หรือผลิตผลจากพืชในไซโล โกดัง หรือคลังสินค้า การผลิตอาหารสำเร็จรูปจากเมล็ดพืชหรือหัวพืช โดยกำหนดห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ไม่เหมาะสมกับพื้นที่ไว้ เช่น คลังน้ำมันเพื่อการจำหน่าย การอยู่อาศัย หรือประกอบพาณิชยกรรมประเภทอาคารสูง หรืออาคารขนาดใหญ่ เป็นต้น – มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นพื้นที่การเกษตรเป็นหลัก เช่น การเลี้ยงสัตว์ การทำเกษตรกรรม ซึ่งที่ดินประเภทนี้ห้ามใช้ประโยชน์ที่ดินที่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ เช่น คลังน้ำมันเพื่อการจำหน่าย โรงแรม จัดสรรที่ดินเพื่อประกอบอุตสาหกรรม จัดสรรที่ดินเพื่อประกอบพาณิชยกรรม จัดสรรที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย โดยในส่วนของโรงงานที่กำหนดให้ดำเนินการได้ เช่น โรงฆ่าสัตว์ การสี ฝัด หรือขัดข้าว การเก็บรักษาหรือลำเลียงพืชเมล็ดพืช หรือผลิตผลจากพืชในไซโล โกดัง หรือคลังสินค้า เป็นต้น – ให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเท่านั้น – มีวัตถุประสงค์เพื่อนันทนาการ การรักษาคุณภาพ สิ่งแวดล้อม สำหรับที่ดินซึ่งเอกชนเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายได้กำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินให้สอดคล้องกับพื้นที่ เช่น นันทนาการและการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การอยู่อาศัย เกษตรกรรม การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ หรือสาธารณประโยชน์โดยกำหนดห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดิน เช่น โรงงานบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชน การเลี้ยงสัตว์เพื่อการค้า จัดสรรที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย การอยู่อาศัยประเภทอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่ การอยู่อาศัยประเภทห้องแถว ตึกแถว หรือบ้านแถว เป็นต้น – เป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ มีวัตถุประสงค์เพื่อการสงวนและคุ้มครองดูแลรักษาหรือบำรุงป่าไม้ สัตว์ป่า ต้นน้ำ ลำธาร และทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีและกฎหมายเกี่ยวกับการป่าไม้ การสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า และการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ สำหรับที่ดินซึ่งเอกชนเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายได้กำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินให้สอดคล้องกับพื้นที่ เช่นการอยู่อาศัย เกษตรกรรม การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ หรือสาธารณประโยชน์ โดยกำหนดห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดิน เช่น การเลี้ยงสัตว์เพื่อการค้า จัดสรรที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย การอยู่อาศัยประเภทอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่ การอยู่อาศัยประเภทอาคารชุด หอพัก หรืออาคารอยู่อาศัยรวม เป็นต้น – มีวัตถุประสงค์ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการศึกษาหรือเกี่ยวข้องกับการศึกษา สถาบันราชการ หรือสาธารณประโยชน์ – มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์ ศิลปวัฒนธรรม หัตถกรรม การท่องเที่ยว การอยู่อาศัย การอนุรักษ์โบราณสถาน การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ หรือสาธารณประโยชน์ – มีวัตถุประสงค์เพื่อการศาสนาหรือเกี่ยวกับการศาสนา การศึกษา สถาบันราชการ หรือสาธารณประโยชน์ – มีวัตถุประสงค์เพื่อกิจการของรัฐ กิจการเกี่ยวกับสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ หรือสาธารณประโยชน์ |
4. กำหนดประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ให้ดำเนินการได้ในที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (สีเหลือง) ที่ดินประเภทพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก (สีแดง) ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) และที่ดินประเภทอุตสาหกรรมเฉพาะกิจ (สีม่วงอ่อน) ตามบัญชีท้ายประกาศกระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์การใช้ประโยชน์ที่ดินแต่ละประเภท
5. การใช้ประโยชน์ที่ดินในบริเวณแนวถนนสาย ก ตามแผนผังแสดงโครงการคมนาคมและขนส่งท้ายประกาศนี้ ห้ามใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่น นอกจากกิจการตามที่กำหนดดังต่อไปนี้
5.1 การสร้างถนนหรือที่เกี่ยวข้องกับถนน และการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ
5.2 การสร้างรั้วหรือกำแพง
5.3 เกษตรกรรมหรือเกี่ยวข้องกับเกษตรกรรมที่มีความสูงของอาคารไม่เกิน 9 เมตร หรือไม่ใช่อาคารขนาดใหญ่
5.4 การอยู่อาศัยที่มีความสูงของอาคารไม่เกิน 9 เมตร หรือไม่ใช่อาคารขนาดใหญ่
5.5 การอยู่อาศัยที่ไม่ใช่ห้องแถว ตึกแถว หรือบ้านแถว
5.6 การอยู่อาศัยที่ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของการจัดสรรที่ดิน
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และการสมัครเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยการแสดงและสิ่งบันทึกเสียงขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO Performances and Phonograms Treaty: WPPT)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ …) พ.ศ. …. ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ให้สอดคล้องกับสนธิสัญญาว่าด้วยการแสดงและสิ่งบันทึกเสียงขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO Performances and Phonograms Treaty : WPPT) เพื่อยกระดับการคุ้มครองสิทธิของนักแสดงและผู้ผลิตสิ่งบันทึกเสียง รวมทั้งรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสภาพการประกอบธุรกิจในปัจจุบัน โดยแก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “โสตทัศนวัสดุ” “ภาพยนตร์” “สิ่งบันทึกเสียง” “นักแสดง” “เผยแพร่ต่อสาธารณชน” และ “การโฆษณา” แก้ไขเพิ่มเติมการคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ สิทธิทางศีลธรรมเพื่อส่งเสริมการคุ้มครองชื่อเสียงและเกียรติคุณของผู้สร้างสรรค์และนักแสดง สิทธิแต่ผู้เดียวของนักแสดง สิทธิได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรมของนักแสดง การได้มาซึ่งสิทธิของนักแสดง การโอนสิทธิของนักแสดงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการลิขสิทธิ์ การคุ้มครองลิขสิทธิ์และสิทธิของนักแสดงระหว่างประเทศ รวมทั้งเพิ่มบทบัญญัติเกี่ยวกับการทำลายของกลางในคดีแพ่ง และปรับปรุงบทกำหนดโทษ
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
3. เห็นชอบการสมัครเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยการแสดงและสิ่งบันทึกเสียงขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก WPPT และเสนอการเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาดังกล่าวให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป
4. เห็นชอบและมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทำภาคยานุวัตรสารเพื่อการสมัครเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยการแสดงและสิ่งบันทึกเสียงขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WPPT) เมื่อรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคี และ พณ. ได้มีหนังสือแจ้ง กต. ทราบถึงการดำเนินการภายในต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการออกกฎและระเบียบที่เกี่ยวข้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สาระสำคัญของเรื่อง
1. โดยที่ได้มีสนธิสัญญาว่าด้วยการแสดงและสิ่งบันทึกเสียงขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก(MPO Performances and Phonograms Treaty : WPPT) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและรักษาระดับการคุ้มครองสิทธิของนักแสดงและผู้ผลิตสิ่งบันทึกเสียงของประเทศสมาชิกให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปแบบเดียวกัน ได้แก่ สิทธิทางเศรษฐกิจของนักแสดง (Economic rights of Performers) เช่น สิทธิในการอนุญาตให้แพร่เสียง แพร่ภาพหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนและสิทธิในการอนุญาตให้บันทึกการแสดงที่ยังไม่ได้มีการบันทึกไว้ สิทธิในการทำซ้ำ จำหน่ายหรือโอนกรรมสิทธิ์ หรือให้เช่าต้นฉบับและสำเนาการแสดงที่มีการบันทึกไว้ในสิ่งบันทึกเสียง และสิทธิในการทำให้สาธารณชนอาจเข้าถึงได้จากสถานที่และในเวลาที่แต่ละบุคคลเป็นผู้เลือก สิทธิทางศีลธรรมของนักแสดง (Moral Rights of Performers) เช่น สิทธิในการเรียกร้องให้ระบุว่าตนเป็นนักแสดงในการแสดงของตน และสิทธิที่จะห้ามกระทำการบิดเบือน ตัดทอน ดัดแปลงหรือทำโดยประการอื่นใดที่เป็นไปในทางที่จะก่อให้เกิดความเสียหายของนักแสดง สิทธิของผู้ผลิตสิ่งบันทึกเสียง (Right of Producers of Phonograms) เช่น สิทธิในการอนุญาตให้ทำซ้ำสิ่งบันทึกเสียง สิทธิในการจำหน่ายหรือการโอนกรรมสิทธิ์ สิทธิ์ในการเช่า สิทธิในการทำให้สาธารณชนอาจเข้าถึงได้จากสถานที่และในเวลาที่แต่ละบุคคลเป็นผู้เลือก สิทธิในการได้รับค่าตอบแทนสำหรับการแพร่เสียงและการเผยแพร่ต่อสาธารณชน (Right to Remuneration for Broadcasting and Communication to the Public) ทั้งนี้ ประเทศภาคีต้องกำหนดอายุการคุ้มครองสำหรับสิทธิของนักแสดงให้มีอายุอย่างน้อย 50 ปีนับแต่วันสิ้นปีที่ได้มีการบันทึกการแสดงไว้ในสิ่งบันทึกเสียง และต้องกำหนดอายุการคุ้มครองสำหรับผู้ผลิตสิ่งบันทึกเสียงให้มีอายุอย่างน้อย 50 ปีนับแต่วันสิ้นปีที่ได้มีการโฆษณาสิ่งบันทึกเสียงหรือหากไม่มีการโฆษณาให้มีอายุอย่างน้อย 50 ปีนับแต่วันสิ้นปีที่ได้มีการบันทึกเสียง
2. ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (10 พฤศจิกายน 2563) เห็นชอบการเข้าเป็นภาคีความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) จากการเข้าร่วมเป็นภาคีตามความตกลงดังกล่าวส่งผลให้ประเทศไทยมีพันธกรณีด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่จะต้องเข้าร่วมเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยการแสดงและสิ่งบันทึกเสียงขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ซึ่งจะต้องปรับปรุงพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้มีเนื้อหาสอดคล้องกับสนธิสัญญาว่าด้วยการแสดงและสิ่งบันทึกเสียงขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WPPT) ให้แล้วเสร็จและมีผลใช้บังคับ ภายในวันที่ 1 มกราคม 2570 ประกอบกับปัจจุบันการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับงานอันมีลิขสิทธิ์ เช่น งานเพลงมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วด้วยปัจจัยทางเทคโนโลยี การใช้ประโยชน์จากงานอันมีลิขสิทธิ์เปลี่ยนแปลงไปอยู่บนแพลตฟอร์ม ต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ตมากกว่าการใช้ประโยชน์จากสำเนางานในรูปแบบเดิม ส่งผลให้พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ไม่สามารถรองรับสภาพการณ์ดังกล่าวที่เปลี่ยนแปลงไปได้ รวมทั้งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯ มีเนื้อหาที่ไม่สอดคล้องกับสนธิสัญญาดังกล่าว
3. พณ. จึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ …) พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการโดยเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มีสาระสำคัญเพื่อให้มีเนื้อหาสอดคล้องกับสนธิสัญญาว่าด้วยการแสดงและสิ่งบันทึกเสียงขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WPPT) เช่น 1) การเพิ่มสิทธิเรียกร้องซึ่งเป็นสิทธิทางศีลธรรมสำหรับผู้สร้างสรรค์หรือนักแสดงให้สามารถเรียกร้องต่อผู้รับโอนสิทธิ์ในงานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิทธินักแสดง รวมถึงบุคคลอื่นให้แก้ไขชื่อผู้สร้างสรรค์ในงานอันมีลิขสิทธิ์หรือนักแสดงในงานของตนให้ถูกต้อง และ 2) การแก้ไขบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิของนักแสดงและกำหนดสิทธิของนักแสดงให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เป็นต้น สำหรับรองรับการเข้าเป็นภาคีของสนธิสัญญาดังกล่าว ซึ่งจะมีผลใช้บังคับภายในวันที่ 1 มกราคม 2570 อันเป็นการปฏิบัติตามพันธกรณีด้านทรัพย์สินทางปัญญาตามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) รวมถึงเป็นการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยลิขสิทธิ์ เพื่อแก้ไขปัญหาการตีความกฎหมายและลดภาระที่เกิดขึ้นต่อประชาชน รวมถึงรองรับการใช้ประโยชน์จากงานอันมีลิขสิทธิ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้วยปัจจัยทางเทคโนโลยีและเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และเป็นไปตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่กำหนดให้รัฐพึงจัดให้มีกฎหมายเพียงเท่าที่จำเป็น และยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็นหรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ โดยร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีสาระสำคัญของการแก้ไขเพิ่มเติม ดังนี้
3.1 การแก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามของคำว่า “โสตทัศนวัสดุ” “ภาพยนตร์” และ “สิ่งบันทึกเสียง” (ร่างมาตรา 3 – ร่างมาตรา 5) โดยกำหนดให้งานอันมีลิขสิทธิ์ในประเภทเหล่านี้สามารถถูกบันทึกในรูปแบบหรือลักษณะใดก็ได้ เช่น การบันทึกลงบน Cloud หรือบันทึกอยู่บนเครือข่ายอื่นใด ซึ่งไม่จำเป็นต้องบันทึกลงเฉพาะบนวัสดุอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น เพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป และแก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามของคำว่า “นักแสดง” (ร่างมาตรา 6) เพื่อกำหนดขอบเขตความคุ้มครองนักแสดงให้ครอบคลุมถึงกรณีการสวมบทและการถ่ายทอดความ เช่น นางแบบเดินแบบเสื้อผ้า พิธีกรซึ่งแสดงท่าทาง เต้นและร้องเพลงให้สนุกสนาน เป็นต้น รวมถึงกรณีการแสดงที่เป็นการแสดงออกซึ่งศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อให้นักแสดงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นมีโอกาสในการได้รับค่าตอบแทนมากขึ้นและส่งเสริมให้มีการลงทุนในอุตสาหกรรมบันเทิงเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นเพิ่มขึ้น รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามของคำว่า “เผยแพร่ต่อสาธารณชน” และ “การโฆษณา” (ร่างมาตรา 7 – ร่างมาตรา8) โดยกำหนดให้การเผยแพร่ต่อสาธารณชนมีความหมายครอบคลุมถึงการทำให้บุคคลทั่วไปในฐานะผู้รับชมสามารถเข้าถึงได้จากสถานที่และเวลาที่บุคคลทั่วไปในฐานะผู้รับชมเป็นผู้เลือกหรือกำหนดเอง เช่น การรับชมการแสดง การบรรยาย ผ่านเว็บไซต์ YouTube ได้ทุกเวลา สำหรับการแก้ไขเพิ่มเติมคำว่า “การโฆษณา” ซึ่งกำหนดให้หมายความถึงการนำสำเนางานที่ทำขึ้นในรูปหรือลักษณะอย่างใด ออกเสนอต่อสาธารณชนไม่ว่าจะโดยวิธีการใด ๆ ซึ่งรวมถึงการนำออกเสนอต่อสาธารณชนผ่านทางอินเทอร์เน็ต เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการตีความกฎหมายในประเด็นการนับอายุความคุ้มครองของงานอันมีลิขสิทธิ์ในบางกรณี เนื่องจากพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฉบับปัจจุบันกำหนดให้การโฆษณา หมายความถึง การนำสำเนาจำลองของงานออกจำหน่าย ซึ่งอาจตีความได้ว่าหมายถึงสำเนางานที่เป็นรูปร่าง (tangible) เท่านั้น ทำให้งานที่นำออกเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตแต่ไม่มีการจำหน่ายสำเนาที่เป็นรูปร่าง เช่น งานภาพยนตร์ จะถือว่ายังไม่มีการโฆษณา (งานภาพยนตร์ได้รับความคุ้มครองลิขสิทธิ์เป็นเวลา 50 ปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานภาพยนตร์นั้นขึ้น แต่ถ้าได้มีการโฆษณาภาพยนตร์นั้นในระหว่างระยะเวลาดังกล่าวให้ลิขสิทธิ์มีอายุ 50 ปีนับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรก) ดังนั้น เจ้าของลิขสิทธิ์ที่ได้เผยแพร่และหาประโยชน์ในงานผ่านทางอินเทอร์เน็ตไปแล้ว เมื่อใกล้ครบระยะเวลาในการคุ้มครองลิขสิทธิ์ (50 ปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานภาพยนตร์นั้นขึ้น) จึงอาจอาศัยช่องว่างของกฎหมายโดยทำสำเนาที่มีรูปร่างขึ้นออกจำหน่าย เพื่อให้อายุการคุ้มครองลิขสิทธิ์ 50 ปี เริ่มนับใหม่ (50 ปีนับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรก)
3.2 การแก้ไขเพิ่มเติมสิทธิทางศีลธรรมของผู้สร้างสรรค์และนักแสดง (ร่างมาตรา 10และร่างมาตรา 16) ซึ่งจากเดิมผู้สร้างสรรค์และนักแสดงมีสิทธิทางศีลธรรม 2 ประการ ได้แก่ 1) สิทธิที่จะแสดงตนว่าเป็นผู้สร้างสรรค์งานดังกล่าวหรือเป็นนักแสดงในการแสดงของตน และ 2) สิทธิที่จะห้ามไม่ให้ผู้รับโอนสิขสิทธิ์หรือผู้รับโอนสิทธิของนักแสดง ตลอดจนบุคคลอื่นใด บิดเบือน ตัดทอน ดัดแปลงหรือทำโดยประการอื่นใดแก่งานหรือการแสดงนั้นจนเกิดความเสียหายต่อชื่อเสียง หรือเกียรติคุณของผู้สร้างสรรค์หรือนักแสดง โดยเป็นการเพิ่มสิทธิในการเรียกร้องให้ผู้รับโอนลิขสิทธิ์หรือสิทธินักแสดง รวมถึงบุคคลอื่นให้แก้ไขชื่อผู้สร้างสรรค์หรือนักแสดงในการแสดงของตนให้ถูกต้อง รวมถึงกำหนดให้สิทธิดังกล่าวมีตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์หรือนักแสดง และหากผู้สร้างสรรค์หรือนักแสดงถึงแก่ความตายก่อนหมดอายุการคุ้มครองงานอันมีลิขสิทธิ์ หรืออายุความคุ้มครองสิทธิของนักแสดง ผู้เป็นทายาทสามารถดำเนินการฟ้องร้องเพื่อบังคับให้เป็นไปตามสิทธิทางศีลธรรมดังกล่าวได้ตลอดอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์หรือการคุ้มครองสิทธิของนักแสดง ทั้งนี้ เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิดังกล่าวแล้ว ศาลอาจมีคำสั่งเพิ่มเติมให้ผู้ละเมิดโฆษณาคำพิพากษาทั้งหมดหรือบางส่วนในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งหรือหลายฉบับครั้งเดียวหรือหลายครั้ง หรือแก้ไขงานที่ถูกละเมิดนั้นโดยวิธีที่เห็นสมควรก็ได้ โดยให้ผู้ละเมิดเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายได้
3.3 การแก้ไขเพิ่มเติมสิทธิแต่เพียงผู้เดียวของนักแสดง (ร่างมาตรา 11 ร่างมาตรา 12 และร่างมาตรา 14) เพื่อให้สอดคล้องกับสนธิสัญญาว่าด้วยการแสดงและสิ่งบันทึกเสียงขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WPPT) โดยกำหนดให้นักแสดงมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวสำหรับการแสดงของตนที่ยังไม่มีการถูกบันทึกไว้ โดยให้สามารถดำเนินการแพร่เสียงแพร่ภาพการแสดงของตนได้ เช่น ผ่านการออกอากาศทางวิทยุ โทรทัศน์ หรือดำเนินการเผยแพร่ต่อสาธารณชนสำหรับการแสดงของตน เช่น การแสดงละครเวทีตามบทที่ได้รับมอบหมาย การบรรเลงดนตรีต่อหน้าสาธารณชน รวมทั้งสามารถบันทึกการแสดงของตน ทั้งนี้ นักแสดงไม่มีสิทธิอนุญาตแพร่เสียงแพร่ภาพหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนในการแสดงของตนเองที่ยังไม่มีการถูกบันทึกไว้ หากนักแสดงได้อนุญาตให้ผู้อื่นดำเนินการแพร่เสียงแพร่ภาพหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนในการแสดงดังกล่าวของตนเองแล้ว นอกจากนี้ ในกรณีที่การแสดงมีการบันทึกไว้แล้ว นักแสดงมีสิทธิในการทำซ้ำ จำหน่ายต้นฉบับหรือสำเนา นำไปเผยแพร่ทางสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศหรือให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนาการแสดงที่มีการบันทึกไว้ได้
3.4 การแก้ไขเพิ่มเติมสิทธิในการได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรมของนักแสดง (ร่างมาตรา 13) กำหนดให้นักแสดงมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนโดยตรงจากเจ้าของลิขสิทธิ์ในกรณีที่มีการนำสิ่งบันทึกเสียงของนักแสดงดังกล่าวไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า หรือนำไปเผยแพร่ทางสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ กรณีที่เจ้าของลิขสิทธิ์และนักแสดงไม่สามารถตกลงค่าตอบแทนที่เป็นธรรมระหว่างกันได้ ให้นักแสดงมีสิทธิ์ได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรมจากเจ้าของลิขสิทธิ์ในสิ่งบันทึกเสียงตามอัตราที่คณะกรรมการลิขสิทธิ์ประกาศกำหนด
3.5 การแก้ไขเพิ่มเติมการโอนสิทธิของนักแสดงให้กับบุคคลอื่น (ร่างมาตรา 15) กำหนดให้นักแสดงสามารถโอนสิทธิแต่เพียงผู้เดียวของตนและสิทธิในการกระทำใด ๆ เกี่ยวกับบันทึกการแสดงของตนทั้งหมดหรือบางส่วน รวมถึงจะโอนให้โดยกำหนดระยะเวลาหรือตลอดความคุ้มครองก็ได้ ถ้าไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ในสัญญาโอนให้ถือว่าเป็นการโอนมีกำหนดระยะเวลา 5 ปี ทั้งนี้ สำหรับการโอนสิทธิในการได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม นักแสดงสามารถโอนได้ไม่เกิน 5 ปี หากทำสัญญาโดยกำหนดระยะเวลานานกว่านั้นให้ลดลงมาเป็น 5 ปี
4. นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอการสมัครเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยการแสดงและสิ่งบันทึกเสียงขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WPPT) และเสนอการเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาดังกล่าวให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไปด้วย เนื่องจากเห็นว่าประโยชน์ของการเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยการแสดงและสิ่งบันทึกเสียงขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกจะเป็นการยกระดับการคุ้มครองสิทธิของนักแสดงและผู้ผลิตสิ่งบันทึกเสียงทำให้นักแสดงและผู้ผลิตสิ่งบันทึกเสียงมีโอกาสใช้ประโยชน์การแสดงและการสร้างสรรค์สิ่งบันทึกเสียงได้มากขึ้น และได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรมสำหรับการแสดงหรือการสร้างสรรค์งาน รวมทั้งเป็นการเปิดโอกาสให้มีการขยายตลาดสำหรับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เนื่องจากจะทำให้เจ้าของลิขสิทธิ์และนักแสดงชาวไทยได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่ในประเทศภาคีสนธิสัญญาอื่น ในขณะเดียวกันเป็นการสร้างความเชื่อมั่นว่าไทยมีความพร้อมที่จะให้ความคุ้มครองผู้สร้างสรรค์และนักแสดงของประเทศอื่นด้วยมาตรฐานสากลที่มีประสิทธิภาพซึ่งจะมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นด้วย/ไม่ขัดข้องกับหลักการของพระราชบัญญัติฯ
3. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติแรงงานทะเล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแรงงานทะเล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ร่างพระราชบัญญัติแรงงานทะเล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่กระทรวงแรงงานเสนอเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. 2558 เพื่อให้พระราชบัญญัติดังกล่าว มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบันและเป็นไปตามอนุสัญญาว่าด้วยแรงงานทางทะเล พ.ศ. 2549 (Maritime Labour Convention, 2006) ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization : ILO) โดยกำหนดให้การจ้างงานระหว่างเจ้าของเรือกับคนประจำเรืออยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และกฎหมาย ว่าด้วยเงินทดแทน เพื่อให้คนประจำเรือได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมายดังกล่าว รวม 7 กรณี เช่น สิทธิเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค สิทธิกรณีคลอดบุตร สิทธิกรณีสงเคราะห์บุตร สิทธิกรณีชราภาพ และสิทธิกรณีว่างงาน (เดิม ไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมาย ว่าด้วยการประกันสังคม และกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน แต่เป็นไปตามประกาศกระทรวงแรงงาน ซึ่งคุ้มครอง 3 กรณี) กำหนดห้ามเจ้าของเรือให้คนประจำเรือซึ่งอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ทำงานในเวลากลางคืน เว้นแต่ในกรณีเป็นการฝึกอบรมที่ได้มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าหรือเป็นการฝึกอบรมตามหลักสูตรที่กรมเจ้าท่าให้การรับรองหรือตามตำแหน่งหน้าที่ที่คนประจำเรือต้องทำในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งไม่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของคนประจำเรือ อันเป็นการยกเลิกระบบอนุญาต แล้วให้กรมเจ้าท่าซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการตรวจสอบเกี่ยวกับการฝึกอบรมการทำงานของคนประจำเรือเป็นผู้ให้การรับรอง (เดิม กำหนดข้อยกเว้นให้ในกรณีเป็นการฝึกอบรมที่ได้มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า หรือเป็นการฝึกอบรมตามตำแหน่งหน้าที่ที่คนประจำเรือต้องทำในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งต้องไม่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของคนประจำเรือ โดยได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานหรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมอบหมาย) และกำหนดบัญญัติบทนิยามคำว่า “การทำงานในเวลากลางคืน” ให้ชัดเจนว่าหมายถึง การทำงานตั้งแต่เวลา 21.00 นาฬิกา ถึง 06.00 นาฬิกา (เดิม กำหนดให้ “การทำงานเวลากลางคืน” เริ่มต้นก่อนเที่ยงคืนและสิ้นสุดหลังจากเวลา 05.00 นาฬิกาเป็นต้นไป และต้องมีระยะเวลาอย่างน้อย 9 ชั่วโมง)
2. กระทรวงแรงงานได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัตินี้และได้จัดทำสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย ตามมาตรา 77ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 และได้เผยแพร่ผลการรับฟังความคิดเห็นพร้อมการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายแล้ว
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมของศูนย์ประเมินความรู้ความสามารถกลาง พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมของศูนย์ประเมินความรู้ความสามารถกลาง เพื่อส่งเสริมและลดภาระแก่ประชาชนซึ่งเข้ารับการประเมินความรู้ความสามารถ ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยให้กระทรวงแรงงานแก้ไขวันใช้บังคับของร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้มีผลตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2568 และตัดร่างข้อ 2 ออก เนื่องจากไม่มีกรณีที่ต้องคืนเงินค่าธรรมเนียม ที่เรียกเก็บไว้เกิน แล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้ง ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2557 มาตรา 7 (2) ประกอบมาตรา 26/3บัญญัติให้ผู้ปฏิบัติงานในสาขาอาชีพ ตำแหน่งงาน หรือลักษณะงาน ที่อาจเป็นอันตรายต่อสาธารณะหรือต้องใช้ความรู้ความสามารถ ต้องได้รับหนังสือรับรองความรู้ความสามารถจากศูนย์ประเมินความรู้ความสามารถกลาง (กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน) โดยปัจจุบันรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ประกาศกำหนดให้สาขาอาชีพช่างไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ เฉพาะสาขาช่างไฟฟ้าภายในอาคาร เป็นสาขาอาชีพที่อาจเป็นอันตรายต่อสาธารณะ ซึ่งต้องดำเนินการโดยผู้ได้รับหนังสือรับรองความรู้ความสามารถตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน ซึ่งหากผู้ปฏิบัติงานในสาขาอาชีพดังกล่าวไม่มีหนังสือรับรองความรู้ความสามารถ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท
2. ปัจจุบันมีผู้ปฏิบัติงานซึ่งเคยเข้ารับการประเมินความรู้ความสามารถ แต่หนังสือหมดอายุแล้ว มีจำนวนประมาณ 50,000 คน และผู้ปฏิบัติงานซึ่งไม่เคยเข้ารับการประเมินความรู้ความสามารถมาก่อน จำนวนประมาณ 18,500 คน จึงมียอดรวมของผู้ที่ไม่มีหนังสือรับรองความรู้ความสามารถทั้งสิ้นประมาณ 68,500 คน ซึ่งอาจทำให้ผู้ปฏิบัติงานดังกล่าว ต้องระวางโทษปรับตามกฎหมายได้
3. รง. พิจารณาแล้วเห็นว่า เนื่องจากกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมของศูนย์ประเมินความรู้ความสามารถกลางและศูนย์ประเมินความรู้ความสามารถที่เป็นหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2559 ได้กำหนดค่าธรรมเนียมการประเมินเพื่อออกหนังสือรับรองความรู้ความสามารถ ในอัตราครั้งละ 1,000 บาท ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบอาชีพในสาขาอาชีพ ตำแหน่งงาน หรือลักษณะงานใดที่อาจเป็นอันตรายต่อสาธารณะเข้ารับการประเมินเพื่อจะได้มีหนังสือรับรองความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้สังคมมีความปลอดภัยมากขึ้น จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมของศูนย์ประเมินความรู้ความสามารถกลาง พ.ศ. …. ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
3.1 ปรับลดอัตราค่าธรรมเนียมการประเมินเพื่อออกหนังสือรับรองความรู้ความสามารถครั้งละ 100 บาท (เดิม ครั้งละ 1,000 บาท)
3.2 กำหนดให้มีผลใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2568 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ทั้งนี้ อัตราค่าธรรมเนียมดังกล่าวใช้บังคับกับศูนย์ประเมินความรู้ความสามารถกลาง (กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน) เท่านั้น ทั้งนี้ ในคราวประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการร่างกฎกระทรวงดังกล่าวด้วยแล้ว
4. รง. ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนที่เกี่ยวข้องทางเว็บไซต์ระบบกลางทางกฎหมาย (www.law.go.th) เป็นระยะเวลา 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม – 3 กุมภาพันธ์ 2568 และได้จัดทำรายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากร่างกฎกระทรวงดังกล่าว รวมทั้งเปิดเผยผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์ผลกระทบแก่ประชาชนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งผู้แสดงความคิดเห็นส่วนใหญ่เห็นด้วยกับหลักการของร่างกฎกระทรวงดังกล่าว
5. เรื่อง ร่างแผนงานด้านทรัพย์สินทางปัญญา (Thailand intellectual Property Work Plan:
IP Work Plan) ระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญากับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative: USTR)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ต่อร่างแผนงานด้านทรัพย์สินทางปัญญา1 [Thailand intellectual Property Work Plan (IP Work Plan)] ระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญากับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (สหรัฐฯ) [United States Trade Representative (USTR] (ร่างแผนงานฯ) และมอบหมาย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบและดำเนินการตามแนวทางภายใต้ร่างแผ่นงานฯ ต่อไปตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้จัดทำรายงานผลการจัดสถานการณ์ คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ2 (รายงานผลการจัดสถานะฯ) เป็นประจำทุกปี โดยแบ่งสถานการณ์คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศคู่ค้าออกเป็น 3 กลุ่ม3 ได้แก่ (1) ประเทศที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญามากที่สุด [Priority Foreign Country (PFC] (2) ประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ [Priority Watch List (PWL)] และ (3) ประเทศที่ต้องจับตามอง [Watch List (WL)] ซึ่งระหว่างปี2550 – 2560 ประเทศไทย (ไทย) ได้ถูกจัดให้อยู่ในบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2560 สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้ปรับสถานะของไทย ให้ดีขึ้น โดยปรับจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษเป็นบัญชีประเทศที่ต้องจับตามอง [คณะรัฐมนตรีมีมติ (23 มกราคม 2561) รับทราบแล้ว และไทยยังคงสถานะในบัญชีดังกล่าวจากนั้นเป็นต้นมา
2. ในปี 2567 พณ. โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญาร่วมกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ จึงได้จัดทำร่างแผนงานฯ เพื่อระบุแนวทางการดำเนินงานที่จะนำไปสู่การถอดไทยจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองและทุกบัญชี โดยทั้งสองฝ่ายสามารถสรุปผลการหารือ ร่างแผนงานฯ ในเดือนกันยายน 2567 และต่อมาเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้ประสานแจ้งยืนยันร่างแผนงานฯ ฉบับสุดท้ายของทั้งสองฝ่ายก่อนทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการตามกระบวนการภายในต่อไป ทั้งนี้ ร่างแผนงานฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
2.1 ลิขสิทธิ์4
(1) เผยแพร่ร่างกฎหมายลิขสิทธิ์และกฎระเบียบหรือมาตรการ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาในโอกาสที่เหมาะสม และเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียให้ความเห็น ต่อร่างกฎหมายลิขสิทธิ์และกฎระเบียบหรือมาตรการ รวมทั้งนำความเห็นดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาด้วย
(2) ในส่วนที่เกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ทางออนไลน์ (รวมถึงช่องทางโทรศัพท์มือถือ) ให้มีการยกระดับการแก้ไขปรับปรุงระบบการชี้แจงหรือระบบแจ้งให้ทราบให้ชัดเจน และนำข้อมูลที่เกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ออกจากระบบ (Notice and Takedown) หรือปิดกั้นการเข้าถึงเนื้อหาที่ละเมิดซึ่งอยู่บนเครือข่าย เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต
(3) ให้สัตยาบันหรือภาคยานุวัติเพื่อเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยลิขสิทธิ์ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก5 (WIPO Copyright Treaty (WCT] และสนธิสัญญาว่าด้วยการแสดงและสิ่งบันทึกเสียงขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก6 [WIPO Performances and Phonograms Treaty (WPPT)]
(4) แก้ไขปรับปรุงกฎหมายเพื่อพัฒนาการป้องกัน การหลบเลี่ยงมาตรการทางเทคโนโลยี7 [Technological Protection Measures (TPM)] ที่มีประสิทธิภาพให้เสร็จสิ้น
(5) ยกระดับหรือแก้ไขปรับปรุงกฎระเบียบ เพื่อกำจัดช่องว่างที่อาจมีตามข้อยกเว้นของการคุ้มครองข้อมูลการบริหารสิทธิ8 [Rights Management Information (RMI)]
(6) แก้ไขปัญหาองค์กรจัดเก็บ [Collective Management Organization (CMO)] โดยคงไว้ซึ่งฐานข้อมูลและระบบการยืนยันที่มีประสิทธิภาพ และรับรองความโปร่งใสและธรรมาภิบาล เช่น การแก้ไขปรับปรุงกฎหมายลิขสิทธิ์ การออกและการใช้บังคับกฎระเบียบหรือการนำมาตรการที่เหมาะสมมาปรับใช้
(7) แก้ไขปัญหาการใช้ซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2562 ที่ให้ พณ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากลั่นกรองการจัดซื้อคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ของหน่วยงานภาครัฐที่มีความรัดกุมและได้มาตรฐานเดียวกัน โดยผลักดันให้มีการดำเนินการอย่างจริงจัง และมีความต่อเนื่องเพื่อให้เป็นแบบอย่างแก่ภาคเอกชนและประชาชน รวมทั้งแสดงออกถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลในการแก้ปัญหาดังกล่าวตามเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
2.2 เครื่องหมายการค้า ปรับปรุงกระบวนการจดทะเบียน เครื่องหมายการค้า โดยการแก้ไขปัญหางานจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าค้างสะสม และเพิ่มจำนวนผู้ตรวจสอบเครื่องหมายการค้า
2.3 สิทธิบัตร10และเภสัชภัณฑ์
(1) แก้ไขปรับปรุงกฎหมายสิทธิบัตร ได้แก่ เผยแพร่ ร่างกฎหมายสิทธิบัตร กฎระเบียบ หรือมาตรการที่อยู่ระหว่างการพิจารณาในโอกาสที่เหมาะสม เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียได้ให้ความเห็นต่อร่างกฎหมายสิทธิบัตร และกฎระเบียบ หรือมาตรการ และนำความเห็นดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาด้วย รวมถึงให้การบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรในร่างกฎหมายสิทธิบัตรสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศของไทย
(2) สร้างระบบที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการใช้ข้อมูล ในเชิงพาณิชย์อย่างไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะข้อมูลผลการทดสอบหรือข้อมูลอื่น ๆ ที่จัดทำขึ้นเพื่อให้เภสัชภัณฑ์และเคมีภัณฑ์ทางการเกษตรได้รับอนุญาตให้วางจำหน่าย
(3) แก้ไขปัญหาคุณภาพในการออกสิทธิบัตรและปัญหางานค้างสะสม โดยเฉพาะในสาขาเภสัชภัณฑ์11 ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบสิทธิบัตร ผ่านการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายสิทธิบัตร การอบรมผู้ตรวจสอบสิทธิบัตรและมาตรการทางปกครองอย่างอื่นที่เหมาะสม
(4) แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการให้สัตยาบันหรือภาคยานุวัติกรรมสารเจนิวา12 (Geneva Act) ภายใต้ความตกลงกรุงเฮกว่าด้วยการจดทะเบียนการออกแบบผลิตภัณฑ์ระหว่างประเทศ13 (Hague Agreement Concerning the International Registration of Industrial Designs) และปรับปรุงระบบจดทะเบียนการออกแบบผลิตภัณฑ์ของประเทศไทย ผ่านแนวทางปฏิบัติและนโยบายของกรมทรัพย์สินทางปัญญา และเตรียมระบบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อรับคำขอภายใต้ความตกลงดังกล่าว
2.4 การบังคับใช้สิทธิ
(1) ให้ข้อมูลสถิติและข้อมูลอื่น ๆ อย่างสม่ำเสมอ14 เพื่อแสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าในการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ตามแผนที่นำทางด้านทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศ ระยะ 20 ปี สู่ประเทศไทย 4.015 (Thailand 4.0 Intellectual Property Roadmap) โดยรวมถึงข้อมูลสถิติรายปีเกี่ยวกับการบังคับใช้สิทธิ ณ จุดผ่านแดน การสืบสวน สอบสวน การจับกุม การยึดอายัด การทำลายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและสถิติการดำเนินการของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา
(2) มีมาตรการบังคับใช้สิทธิทางแพ่งที่มีประสิทธิภาพ เพื่อแก้ไขข้อกังวลกรณีเจ้าของพื้นที่ยุยงหรือส่งเสริมให้ผู้เช่ากระทำการละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้าในเชิงพาณิชย์ เช่น การผลิต หรือการจำหน่ายสินค้า เป็นต้น
(3) สืบสวนและดำเนินคดีทรัพย์สินทางปัญญา ทั่วประเทศให้ประสบผลสำเร็จ ซึ่งรวมถึงการแอบถ่ายภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ การละเมิด ลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ และการละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์ เพื่อให้เกิดการเยียวยาและบทลงโทษ
(4) แก้ไขปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์ โดยการใช้อุปกรณ์และแอปพลิเคชันที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถสตรีมและดาวน์โหลดเนื้อหา ที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของสิทธิ
(5) ดำเนินการในการแก้ไขปัญหาการผลิต การกระจายผลิตภัณฑ์ และการขายเภสัชภัณฑ์ปลอมในไทย
3. พณ. (กรมทรัพย์สินทางปัญญา) ได้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยหน่วยงานมีความเห็นสรุปได้ ดังนี้
3.1 กระทรวงกลาโหม (กห.) (กองทัพเรือและกองทัพบก) กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมวิชาการเกษตร) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) (กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เห็นชอบ/ไม่ขัดข้องตามที่ พณ. เสนอ โดย ตร. (กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ) เห็นควรให้เพิ่มเติมข้อความในส่วนข้อ 2.1 (2) ดังนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ทางออนไลน์ (รวมถึงบนแพลตฟอร์มมือถือ) ให้มีการยกระดับการแก้ไขปรับปรุงระบบการชี้แจงหรือระบบแจ้งให้ทราบให้ชัดเจน และนำข้อมูลที่เกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ออกจากระบบ (Notice and Takedown) หรือปิดกั้นการเข้าถึงเนื้อหา ที่ละเมิดซึ่งอยู่บนเครือข่ายอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตโดยลดขั้นตอนการปลดเว็บไซต์การละเมิดลิขสิทธิ์บนเครือข่าย และให้พนักงานสอบสวนสามารถ ยื่นคำร้องขอปลดเว็บไซต์การละเมิดลิขสิทธิ์บนเครือข่ายโดยตรงต่อศาลเพื่อความรวดเร็ว ทั้งนี้ พณ. ได้ดำเนินการปรับแก้ข้อความดังกล่าวแล้ว รวมถึงดำเนินการเพื่อลดขั้นตอนการปลดเว็บไซต์การละเมิดลิขสิทธิ์บนเครือข่าย และให้พนักงานสอบสวนสามารถยื่นคำร้องขอปลดเว็บไซต์การละเมิดลิขสิทธิ์บนเครือข่ายโดยตรงต่อศาลเรียบร้อยแล้ว
3.2 กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) (กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) เห็นว่า ร่างแผนงานฯ มิได้มีถ้อยคำบทใดที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ ดังนั้น จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย อย่างไรก็ดี โดยที่ร่างแผนงานฯ ดังกล่าวแสดงความมุ่งมั่นของไทยในการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา และเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีผลผูกพัน รัฐบาลไทย พณ. ในฐานะส่วนราชการเจ้าของเรื่องจึงควรพิจารณาเสนอร่างแผนงานดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 4 (7) ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548
_______________________________
1ทรัพย์สินทางปัญญา หมายถึง ผลงานอันเกิดจากการประดิษฐ์ คิดค้น หรือการสร้างสรรค์ของมนุษย์ ซึ่งเน้นที่ผลผลิตของสติปัญญาและความชำนาญ โดยไม่จำกัดชนิดของการสร้างสรรค์หรือวิธีการออกแบบ แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ (1) ลิขสิทธิ์ แบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ เช่น วรรณกรรม (รวมถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์) นาฏกรรม ศิลปกรรม ภาพยนตร์และสิ่งบันทึกเสียง และ (2) ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม แบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ เช่น สิทธิบัตร เครื่องหมายทางการค้าและชื่อทางการค้า
2 มาตรา 301 พิเศษ เป็นบัญญัติหนึ่งในกฎหมายการค้าสหรัฐ โดยมีสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ จัดทำบัญชีรายชื่อ ของประเทศคู่ค้าที่ทำการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นมาตราหลักในการกำหนดอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ในการกำหนดมาตรการตอบโต้ประเทศที่มีการปฏิบัติที่เป็นการละเมิดสิทธิ อันรวมถึงการค้าที่ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐฯ ดังนั้น มาตรา 301 พิเศษ จึงเป็นลักษณะมาตรการฝ่ายเดียวที่ประเมินโดยสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ
3เป็นการจัดกลุ่มประเทศคู่ค้าที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาตามความรุนแรงของการละเมิดในเรื่องดังกล่าว
4 ลิขสิทธิ์ คือ สิทธิในการเป็นเจ้าของผลงานสร้างสรรค์ เช่น หนังสือ เพลง และภาพวาด ซึ่งลิขสิทธิ์จะคุ้มครองผลงานทางความคิดโดยอัตโนมัติเมื่อผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์สร้างสรรค์ผลงาน
5มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงและเสริมสร้างการคุ้มครองลิขสิทธิ์ในยุคดิจิทัล เช่น การคุ้มครองลิขสิทธิ์ที่เผยแพร่ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล (อินเทอร์เน็ตและสื่อออนไลน์) การคุ้มครองสิทธิของผู้สร้าง (ผู้สร้างงานมีสิทธิที่จะควบคุมการทำซ้ำ การแจกจ่าย และการแสดงผลงานของตน รวมถึงการควบคุมการเข้าถึงผลงานในช่องทางต่าง ๆ) และการคุ้มครองสิทธิทางเทคโนโลยี (ระบบการป้องกันการเข้าถึงและการคัดลอก)
6มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงและเสริมสร้างการคุ้มครองสิทธิของนักแสดงและเจ้าของสิ่งบันทึกเสียงในยุคดิจิทัล เช่น การคุ้มครองสิทธิของนักแสดง (นักร้อง นักดนตรี และนักแสดงละคร) ต่อการแสดงของพวกเขา (การแสดงสด การบันทึกเสียงหรือการถ่ายทอดผลงานในสื่อต่าง ๆ) และนักแสดงมีสิทธิในการควบคุมการใช้ผลงานและสิทธิในการได้รับค่าตอบแทนจากการใช้ผลงานของตน รวมถึงการคุ้มครองในยุคดิจิทัล (สนธิสัญญานี้ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองการใช้ผลงานในสื่อดิจิทัล เช่น การสตรีมมิ่งออนไลน์ การดาวน์โหลด หรือการแจกจ่ายผ่านอินเทอร์เน็ต โดยเพิ่มมาตรการคุ้มครองการใช้เทคโนโลยีในการป้องกันการละเมิดสิทธิ เช่น การใช้ระบบป้องกันการคัดลอกหรือการเข้าถึงข้อมูล
7มาตรการทางเทคโนโลยี คือ เทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการทำซ้ำหรือควบคุมการเข้าถึงงานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิ่งบันทึกการแสดง เพื่อที่เจ้าของงานลิขสิทธิ์จะได้ป้องกันไม่ให้ผู้ใดเข้ามาใช้งานลิขสิทธิ์ของตน เช่น การใส่รหัสผ่าน (password) และการใช้เทคโนโลยีเข้ารหัส (encryption)
8ข้อมูลการบริหารสิทธิ เป็นข้อมูลที่ติดตั้งบนผลงานที่มีลิขสิทธิ์ เช่น ชื่อของเจ้าของลิขสิทธิ์ ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิในการใช้งานหรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสิทธิในผลงานนั้น ๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ในช่องทางดิจิทัลเช่น การดาวน์โหลดและการสตรีมมิ่ง ในกรณีนี้ข้อยกเว้นที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองข้อมูลการบริหารสิทธิ ได้แก่ การละเมิดโดยไม่ได้ตั้งใจ การใช้เพื่อการวิจัยหรือการศึกษา และการใช้งานที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของสิทธิ์
9องค์กรจัดเก็บ คือ องค์กรที่จัดตั้งขึ้นเพื่อการจัดการและบริหารสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของเจ้าของสิทธิที่ไม่สามารถดำเนินการจัดการเองได้ หรือไม่สะดวกในการจัดการสิทธิของตนเองในระดับรายบุคคล เช่น การรวบรวมค่าตอบแทนจากการใช้ผลงานที่มีลิขสิทธิ์ (เพลง หนังสือ และภาพถ่าย) และนำมาแจกจ่ายให้เจ้าของสิทธิตามสัดส่วนที่เหมาะสม
10สิทธิบัตร คือ สิทธิในการเป็นเจ้าของสิ่งประดิษฐ์ เช่น เครื่องจักร และเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยการคุ้มครองสิ่งประดิษฐ์หรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ นั้น จะต้องยื่นคำขอและผ่านการพิจารณาก่อนจึงจะได้รับความคุ้มครอง
11เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบโครงสร้างของยาและเภสัชภัณฑ์อย่างละเอียดว่าแนวคิดหรือสูตรทางเคมีไม่ซ้ำซ้อนกับแนวคิดที่มีอยู่เดิม
12ภาคยานุวัติกรรมสารเจนิวา เป็นการปรับปรุงและขยายความตกลงเดิมที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้การจดทะเบียนการออกแบบผลิตภัณฑ์ระหว่างประเทศง่ายและสะดวกขึ้น ซึ่งช่วยส่งเสริมการคุ้มครองการออกแบบในหลายประเทศพร้อมทั้งสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของสิทธิในการออกแบบผลิตภัณฑ์ว่าได้รับการคุ้มครองในระดับสากล
13คือ ข้อตกลงระหว่างประเทศที่ช่วยให้ผู้ที่ต้องการจดทะเบียนการออกแบบผลิตภัณฑ์ในหลายประเทศสามารถทำได้ในกระบวนการเดียว ผ่านการจดทะเบียนกับองค์การทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างประเทศ (WIPO) โดยไม่ต้องทำการจดทะเบียนแยกต่างหากในแต่ละประเทศ
14เป็นสถิติที่หน่วยงานสามารถเปิดเผยได้และไม่ได้มีการละเมิดสิทธิข้อมูลส่วนบุคคล15เป็นแผนกลยุทธ์ที่รัฐบาลไทยกำหนดขึ้นเพื่อส่งเสริมและพัฒนาการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศ โดยมุ่งเน้นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมในยุค Thailand 4.0 แผนนี้ประกอบด้วยหลายประเด็นหลัก เช่น การพัฒนาระบบการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา (กระบวนการจดทะเบียน การบังคับใช้กฎหมาย และการป้องกันการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา) การสร้างนวัตกรรม โดยสนับสนุนการสร้างและการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาในภาคธุรกิจเพื่อส่งเสริมการแข่งขันในตลาดโลก และการส่งเสริมการศึกษาและการฝึกอบรม เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้ในทุกภาคส่วน
6. เรื่อง ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัทศิลาอุตสาหกรรม จำกัด ที่จังหวัดยะลา
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ ดังนี้
1. การขอผ่อนผันให้บริษัท ศิลาอุตสาหกรรม จำกัด (บริษัท ศิลาฯ) ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ตามคำขอประทานบัตรที่ 6/2558 เพิ่มเติม เนื้อที่ 34 ไร่ 3 งาน 25 ตารางวา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2532 [เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กท.วล) เรื่องการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคใต้และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ]
2. การขอผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2533 (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) และวันที่ 4 ตุลาคม 2559 [เรื่อง ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ 1 บี 1 เอเอ็ม และ 1 บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ ของบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ที่จังหวัดสระบุรี]
เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแล้ว อก. โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่จะได้ดำเนินการให้ครบถ้วนถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อนการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เรื่องนี้เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ (16 กันยายน 2540) เห็นชอบและอนุมัติให้ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อสามารถดำเนินการอนุญาตประทานบัตรเหมืองหินอุตสาหกรรมในบริเวณภูเขายะลา ตำบลลิดล อำเภอเมือง จังหวัดยะลา โดยบริษัทศิลาอุตสาหกรรม จำกัด (บริษัท ศิลาฯ) ได้รับการจัดสรรพื้นที่เพื่อการทำเหมืองแร่จำนวน 69 ไร่ 1 งาน 78 ตารางวา (ประทานบัตรมีอายุ 10 ปี หมดอายุวันที่ 1 พฤษภาคม 2549) ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อให้บริษัท ศิลาฯ เข้าใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำดังกล่าวเพื่อการทำเหมืองแร่ในพื้นที่ประทานบัตรเดิมมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอนุมัติให้ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บีเพิ่มเติม สำหรับจัดตั้งสถานที่เพื่อการเก็บขังน้ำขุ่นข้นหรือมูลดินทรายนอกเขตเหมืองแร่ [พื้นที่ในส่วนเพิ่มเติมเป็นพื้นที่ใหม่ที่ยังไม่เคยมีการทำเหมืองมาก่อน แต่เป็นพื้นที่ที่อยู่ในเขตแหล่งหินอุตสาหกรรมตามมติคณะรัฐมนตรี (16 กันยายน 2540)] ดังนี้
วันที่มีมติ คณะรัฐมนตรี | สาระสำคัญของมติคณะรัฐมนตรี | |
พื้นที่ในส่วนของการทำเหมืองแร่ จำนวน 69 ไร่ 1 งาน 78 ตารางวา | พื้นที่ในส่วนของการทำเหมืองแร่ (เพิ่มเติม) จำนวน 34 ไร่ 3 งาน 25 ตารางวา (เสนอในครั้งนี้) | |
18 กันยายน 2550 | อนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรสำหรับทำเหมืองแร่ของบริษัท ศิลาฯ ในพื้นที่ดังกล่าว | บริษัท ศิลาฯ ไม่ได้ยื่นเสนอขอผ่อนผันใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 ปี สำหรับพื้นที่ในส่วนนี้ |
26 พฤษภาคม 2558 | อนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรสำหรับทำเหมืองแร่ของบริษัท ศิลาฯ ในพื้นที่ดังกล่าว | อนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี สำหรับจัดตั้งสถานที่เพื่อการเก็บขังน้ำขุ่นข้นหรือมูลดินทรายนอกเขตเหมืองแร่ (ไม่ใช่เพื่อการทำเหมืองแร่) |
22 กันยายน 2563 | อนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อขอประทานบัตรใหม่ทับพื้นที่ประทานบัตรเดิมสำหรับทำเหมืองแร่ของบริษัท ศิลาฯ ในพื้นที่ดังกล่าว | บริษัท ศิลาฯ ยื่นเสนอขอผ่อนผันใช้ประโยชน์พื้นที่ ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี สำหรับพื้นที่ในส่วนนี้เพื่อการทำเหมืองแร่เพิ่มเติม (จากเดิมที่ใช้เพื่อการเก็บขังน้ำ ขุ่นข้นฯ) ซึ่งคณะรัฐมนตรีไม่ได้มีมติอนุมัติ |
โดยครั้งล่าสุด ในส่วนของพื้นที่ที่ขอเพิ่มเติมเพื่อการทำเหมืองแร่ จำนวน 34 ไร่ 3 งาน 25 ตารางวา
(รวมพื้นที่เดิมและพื้นที่ที่เสนอเพิ่มเติมทั้งหมด จะมีเนื้อที่ จำนวน 104 ไร่ 1 งาน 03 ตารางวา) คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (22 กันยายน 2563) ว่าหากมีความจำเป็นต้องดำเนินการ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมให้ชัดเจนโดยให้คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและแหล่งโบราณคดีในพื้นที่ใกล้เคียงอย่างเคร่งครัด
2. อก. ได้จัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2563 เพื่อดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้นแล้วเห็นว่า พื้นที่เพิ่มเติมดังกล่าว (พื้นที่ จำนวน 34 ไร่ 3 งาน 25 ตารางวา) อยู่ในเขตแหล่งแร่ เพื่อการทำเหมืองตามยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2561 – 2570) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ยังมีศักยภาพแร่หิน และไม่มีสภาพเป็นป่าไม้แต่อย่างใด การผลิตหินปูนได้เพิ่มขึ้นจะทำให้สามารถรองรับความต้องการใช้หินปูนในพื้นที่จังหวัดยะลาและจังหวัดใกล้เคียง ประกอบกับการขอขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นจะทำให้การทำเหมืองมีความปลอดภัยขึ้น เนื่องจากในด้านเทคนิควิศวกรรมจำเป็นต้องใช้พื้นที่สำหรับตัดถนนขึ้นหน้าเหมืองและวางแนวถนนตามความลาดชันจากระดับพื้นราบขึ้นไปทำเหมืองบนภูเขาสำหรับการขนส่งหิน และเมื่อพิจารณาถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและแหล่งโบราณคดีในพื้นที่ใกล้เคียงตามนัยมติคณะรัฐมนตรี (22 กันยายน 2563) แล้ว พบว่า การใช้พื้นที่ดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อแหล่งโบราณคดีดังกล่าว และแม้ว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านฝุ่นละออง แรงสั่นสะเทือน และเสียงในระดับต่ำ แต่สามารถป้องกันและลดผลกระทบที่จะมีต่อชุมชนโดยรอบและสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ภายใต้หลักเกณฑ์ทางราชการ รวมทั้งได้กำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมไว้เป็นเงื่อนไขแนบท้ายการอนุญาตประทานบัตร ประกอบกับที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาการร้องเรียนคัดค้านจากราษฎรในพื้นที่ และที่ประชุมสภาองค์การบริหารส่วนตำบลลิดลมีมติเห็นชอบด้วยแล้ว ทั้งนี้ การใช้ประโยชน์พื้นที่บริเวณเขายะลาจะสามารถทำเหมืองได้เฉพาะบริเวณในพื้นที่เขตแหล่งหินที่ไม่ทับซ้อนกับแหล่งโบราณคดีภาพเขียนสีเขายะลาเท่านั้น และไม่สามารถขยายพื้นที่เพิ่มเติมจากที่เสนอคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ได้อีก อก. จึงขอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการขอผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (7 พฤศจิกายน 2532 15พฤษภาคม 2533 และ 4 ตุลาคม 2559) เกี่ยวกับการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เพื่อให้บริษัท ศิลาฯ ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำดังกล่าวในการทำเหมืองแร่ในส่วนของพื้นที่เพิ่มเติมดังกล่าว (จำนวน 34 ไร่ 3 งาน 25 ตารางวา)
ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงคมนาคม (คค.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณาแล้วไม่ขัดข้อง/เห็นชอบในหลักการ/เห็นควรอนุมัติตามที่ อก. เสนอ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและกรมทรัพยากรธรณีในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ มีความเห็นเพิ่มเติม เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม คำถึงความสามารถในการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษอันเนื่องมาจากการทำเหมืองแร่หินหรือกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษ และผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและพื้นที่ลุ่มน้ำ เพื่อป้องกันผลกระทบด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนและการอนุรักษ์แหล่งโบราณคดีในพื้นที่ (พม.และ สธ.)
7. เรื่อง ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลาทองวิเชียร ที่จังหวัดเพชรบูรณ์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขอผ่อนผันให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลาทองวิเชียร (ห้างหุ้นส่วนฯ ศิลาทองวิเชียร) ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ ตามคำขอประทานบัตรที่ 2/2560 ชนิดแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ที่ตำบลสามแยก อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ เนื้อที่ 136 ไร่ 72 ตารางวา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2533 (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) และวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538 [เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) เรื่อง การกำหนดชั้นลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน)] ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ อนึ่ง เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่แล้ว อก. โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่จะได้ดำเนินการให้ครบถ้วนถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อนการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เดิมคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (16 กันยายน 2540) เห็นชอบและอนุมัติให้ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อสามารถดำเนินการอนุญาตประทานบัตรเหมืองหินอุตสาหกรรมในบริเวณเขาท่าเกย ตำบลสามแยก อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ (อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำ 1 บี) ซึ่งห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลาทองวิเชียร (ห้างหุ้นส่วนฯ ศิลาทองวิเชียร) ได้ยื่นคำขอประทานบัตรตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ที่ตำบลสามแยก อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ เนื้อที่ 136 ไร่ 2 ตารางวา โดยประทานบัตรมีอายุ 10 ปี ตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2543 – 26 ตุลาคม 2553 และคณะรัฐมนตรีมีมติ (18 มิถุนายน 2556) เห็นชอบให้ผ่อนผันให้ห้างหุ้นส่วนฯ ศิลาทองวิเชียร ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรในพื้นที่เดิม โดยประทานบัตรมีอายุ 10 ปี ตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2553 – 26 ตุลาคม 2563
2. ในครั้งนี้ ห้างหุ้นส่วนฯ ศิลาทองวิเชียร ได้ยื่นคำขอประทานบัตรสำหรับการทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้างทับในพื้นที่ประทานบัตรเดิมของห้างหุ้นส่วนฯ ศิลาทองวิเชียรเองเต็มทั้งแปลง (เนื้อที่ 136 ไร่ 72 ตารางวา) และจากการตรวจสอบพบว่า พื้นที่ที่ขอประทานบัตรในครั้งนี้เป็นพื้นที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี ตามมติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งเป็นพื้นที่ในเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองตามแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2566 – 2570) จึงเป็นพื้นที่ที่พิจารณาอนุญาตให้ทำเหมืองได้ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 และเนื่องจากพื้นที่ตามคำขอประทานบัตรดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) จึงขอเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการขอผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (15 พฤษภาคม 2533 และวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538) เกี่ยวกับการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เพื่อให้ห้างหุ้นส่วนฯ ศิลาทองวิเชียร ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำดังกล่าวในการทำเหมืองแร่ที่ตำบลสามแยก อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ เนื้อที่ 136 ไร่ 72 ตารางวา
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณาแล้วไม่ขัดข้อง/เห็นควรอนุมัติตามที่ อก. เสนอ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเห็นเพิ่มเติม เช่น การกำกับติดตามการตรวจสอบและการดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง : ให้ปฏิบัติตามข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ มาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม (มาตรการป้องกันฯ) มาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม (มาตรการติดตามฯ) และมาตรการด้านสาธารณสุข อาชีวอนามัยและความปลอดภัย ที่ระบุไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม(รายงาน EIA) อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันการพังทลายของหน้าเหมือง การดูแลรักษาพื้นที่ห้ามทำเหมือง (Buffer Zone) การปลูกและการดูแลรักษาต้นไม้และพืชคลุมดิน และการจัดการดูแลบ่อดักตะกอนให้มีประสิทธิภาพตลอดระยะเวลาการทำเหมืองเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่โดยรอบโครงการและเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นพื้นที่ (กษ. ทส. สธ. และ สศช.)
8. เรื่อง สรุปสถานการณ์สาธารณภัย และการช่วยเหลือ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์สาธารณภัย และการช่วยเหลือ ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
การคาดหมายลักษณะอากาศ การสั่งการเพื่อเตรียมความพร้อม และการช่วยเหลือ
1. สภาพอากาศ (ระหว่างวันที่ 26 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2568)
ในช่วงวันที่ 26 – 27 พฤษภาคม 2568 ประเทศไทยมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับร่องมรสุมกำลังค่อนข้างแรงพาดผ่านประเทศไทยตอนบน ส่วนในช่วงวันที่ 28 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2568 ประเทศไทยจะมีฝนลดลงแต่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางแห่งในภาคเหนือ เนื่องจากร่องมรสุมจะมีกำลังอ่อนลงและจะเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และประเทศลาว ในช่วงวันที่ 26 – 30 พฤษภาคม 2568 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้และทะเลอันดามันมีกำลังค่อนข้างแรง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร และทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูง 1 – 2 เมตร ส่วนอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 31 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2568 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้และทะเลอันดามันเริ่มมีกำลังอ่อนลง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 1 – 2 เมตร และทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ส่วนอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อนึ่ง ในช่วงวันที่ 27 – 30 พฤษภาคม 2568 หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณอ่าวเบงกอลตอนบน มีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้น คาดว่า จะเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศบังคลาเทศและอินเดีย โดยไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทย
ข้อควรระวัง : ในช่วงวันที่ 26 – 29 พฤษภาคม 2568 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากโดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงการเดินทางผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง และเส้นทางที่มีปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำ ซึ่งอาจเกิดน้ำท่วมขังในระยะสั้นได้สำหรับเกษตรกรควรเสริมความแข็งแรงให้ไม้ผล และเตรียมการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับผลผลิตทางการเกษตรและสัตว์เลี้ยง สำหรับภาคเหนือขอให้ระวังอันตรายดังกล่าว ตลอดช่วง สำหรับชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองตลอดช่วง
2. การแจ้งเตือนและสั่งการเพื่อเตรียมความพร้อม
2.1 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้มีประกาศ แจ้งว่า ได้ติดตามการคาดการณ์สภาพอากาศ ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ พบว่ายังคงมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ โดยมีพื้นที่เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม และน้ำท่วมขังในเขตชุมชนเมือง ระหว่างวันที่ 26 -30 พฤษภาคม 2568 ดังนี้
1) สถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขัง และดินโคลนถล่ม
ภาคเหนือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงราย ลำปาง อุตรดิตถ์ และจังหวัดเพชรบูรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดบึงกาฬ อุดรธานี สกลนคร นครพนม มหาสารคาม กาฬสินธุ์ มุกดาหาร ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และจังหวัดอุบลราชธานี ภาคกลาง จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี จันทบุรี และจังหวัดตราด ภาคใต้ จังหวัดชุมพร ระนอง และจังหวัดพังงา
2) เฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็กที่มีปริมาณน้ำมากกว่าร้อยละ 80 ของความจุเก็บกัก บริเวณจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน น่าน แพร่ พะเยา สุโขทัย พิษณุโลก นครสวรรค์ ชัยภูมิ มุกดาหาร นครราชสีมา ศรีสะเกษ อุบลราชธานี สระบุรี สุพรรณบุรี สระแก้ว ชลบุรี ตราด สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา
จึงขอเน้นย้ำให้จังหวัด และศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต ยกเว้น เขต 1 ปทุมธานี เขต 4 ประจวบคีรีขันธ์ และเขต 16 ชัยนาท เตรียมความพร้อมเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์
2.2 กรมอุตุนิยมวิทยาได้มีประกาศ แจ้งว่า ในช่วงวันที่ 23 – 27 พฤษภาคม 2568มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย จะมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับร่องมรสุมจะพาดผ่านประเทศไทยตอนบนและภาคใต้ตอนบน ทำให้ประเทศไทย มีฝนเพิ่มขึ้นและฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ บริเวณภาคเหนือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้มีประกาศเฝ้าระวัง น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม น้ำท่วมขังในเขตชุมชนเมือง และเฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณน้ำมากกว่าร้อยละ 80 โดยมีพื้นที่เฝ้าระวังสถานการณ์ระหว่างวันที่ 23 – 27 พฤษภาคม 2568 ดังนี้
สถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขัง และดินโคลนถล่ม
ภาคเหนือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ ตาก สุโขทัยกำแพงเพชร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และจังหวัดอุทัยธานี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดเลย หนองคาย บึงภาพ อุดรธานี สกลนคร นครพนม ชัยภูมิ ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ มุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ นครราชสีมาศรีสะเกษ และจังหวัดอุบลราชธานี ภาคกลาง จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี จันทบุรี ตราด และจังหวัดเพชรบุรี ภาคใต้ จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ยะลา นราธิวาสระนอง พังงา ภูเก็ต และจังหวัดกระบี่
2.3 เฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็กที่มีปริมาณน้ำมากกว่าร้อยละ 80บริเวณ จังหวัดเชียงใหม่ลำพูน น่าน แพร่ พะเยา สุโขทัย พิษณุโลก นครสวรรค์ หนองคาย สกลนคร ชัยภูมิ มุกดาหาร นครพนมนครราชสีมา ศรีสะเกษ อุบลราชธานี สระแก้ว ชลบุรี ตราด สุพรรณบุรี สระบุรี สุราษฎร์ธานีนครศรีธรรมราช พัทลุง และจังหวัดสงขลา
กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) จึงขอให้จังหวัดติดตามสถานการณ์และแจ้งเตือนประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยทราบล่วงหน้า และขอให้ศูนย์ปภ. เขต ทุกเขต (ยกเว้นศูนย์ ปภ.เขต 1 ปทุมธานี) ดำเนินการดังนี้
1) ติดตามข้อมูลสภาวะอากาศ และข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด เตรียมความพร้อมเครื่องจักรกลสาธารณภัย รถปฏิบัติการ กำลังพล ให้พร้อมสนับสนุนจังหวัดตลอด 24 ชั่วโมง
2) กรณีประเมินสถานการณ์แล้ว คาดว่าจะเกิดสถานการณ์ หรือสถานการณ์ขยายวงกว้าง ให้มอบหมาย บุคลากร ชุดเผชิญสถานการณ์วิกฤต (ERT) พร้อมเครื่องจักรกลสาธารณภัย รถปฏิบัติการไปปฏิบัติหน้าที่ในศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด ขึ้นการบังคับบัญชาต่อผู้ว่าราชการจังหวัด/ผู้อำนวยการจังหวัด โดยประสานการปฏิบัติกับสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด
3) กรณีทรัพยากรเพื่อสนับสนุนในจังหวัดพื้นที่รับผิดชอบไม่เพียงพอ ให้ประสานขอรับการสนับสนุนจากศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตใกล้เคียง
สรุปสถานการณ์อุทกภัยระหว่างวันที่ 20 – 26 พฤษภาคม 2568
1. จังหวัดลำปาง วันที่ 24 พฤษภาคม 2568 เวลา 23.00 น. เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำไหลหลาก เข้าท่วมในพื้นที่อำเภอแม่ทะ จำนวน 1 ตำบล 4 หมู่บ้าน ได้แก่ ตำบลบ้านกิ่ว (หมู่ที่ 2,4,5,7) บ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 4 ครัวเรือน และไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
2. จังหวัดหนองคาย วันที่ 23 – 25 พฤษภาคม 2568 เกิดฝนตกทำให้เกิดน้ำไหลหลากเข้าท่วมในพื้นที่ อำเภอสระใคร จำนวน 2 ตำบล 8 หมู่บ้าน ได้แก่ ตำบลคอกช้าง (หมู่ที่ 2,6,9,11) และตำบลบ้านฝาง (หมู่ที่ 6,7,10,13) บ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 10 ครัวเรือน และไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
การตรวจเยี่ยมและติดตามสถานการณ์ : วันที่ 25 พฤษภาคม 2568 นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พร้อมคณะ ลงพื้นที่บริเวณด่านศุลกากรแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ติดตามสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พลโทสิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง นายชัยรัตน์ แก้วเพียงเพ็ญ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมด้วยผู้บริหาร ปภ. และผู้แทนส่วนราชการในพื้นที่ ร่วมลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ ณ ด่านศุลกากรแม่สาย
การให้ความช่วยเหลือ : สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด อำเภอ เจ้าหน้าที่ตำรวจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จิตอาสา อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) อาสาสมัคร มูลนิธิ พร้อมหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเข้าสำรวจความเสียหายและให้การช่วยเหลือเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายแล้ว
สรุปสถานการณ์วาตภัย ข้อมูล ณ วันที่ 26 พฤษภาคม 2568
สถานการณ์วาตภัย ระหว่างวันที่ 1 – 26 พฤษภาคม 2568 มีสถานการณ์ในพื้นที่ 47 จังหวัด ได้แก่จังหวัดกาญจนบุรี กาฬสินธุ์ กำแพงเพชร ฉะเชิงเทรา ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตราด ตาก นครพนม นครราชสีมานครสวรรค์ น่าน ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี พะเยา พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ แพร่ มหาสารคาม มุกดาหาร ร้อยเอ็ด ระยอง ราชบุรี ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สงขลา สมุทรปราการ สมุทรสาคร สระแก้วสระบุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อำนาจเจริญ อุดรธานี อุตรดิตถ์ อุทัยธานี และจังหวัดอุบลราชธานี รวม 184 อำเภอ 425 ตำบล1,142 หมู่บ้าน มีผู้เสียชีวิต 1 ราย (จังหวัดตาก) และไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ บ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหาย 3,356 หลัง ด้านธุรกิจ 270 แห่ง เกษตร 213 ไร่ ปศุสัตว์ 12 ตัว ถนน 4 แห่งโรงพยาบาล 1 แห่ง วัด/ศาสนสถาน 10 แห่ง สถานศึกษา 4 แห่ง สาธารณูปโภค 40 แห่ง สถานที่ราชการ 5 แห่ง สาธารณประโยชน์ 5 แห่ง และทรัพย์สินทางราชการ/เอกชน 20 หน่วย
การให้ความช่วยเหลือ : สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด อำเภอ เจ้าหน้าที่ตำรวจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จิตอาสา อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) อาสาสมัคร มูลนิธิ พร้อมหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเข้าสำรวจความเสียหายและให้การช่วยเหลือ
สรุปสถานการณ์อุบัติภัย และเหตุการณ์สำคัญระหว่างวันที่ 20 – 26 พฤษภาคม 2568
1. จังหวัดลพบุรี วันที่ 22 พฤษภาคม 2568 เวลา 07.30 น. เกิดอุบัติเหตุรถตู้ (รับส่งนักเรียน) พลิกคว่ำ บนถนนสาย 2089 ท่ามะนาว สี่แยกสหเมืองทอง บริเวณพื้นที่ หมู่ที่ 2 ตำบลท่ามะนาว อำเภอชัยบาดาล ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 21 ราย และไม่มีผู้เสียชีวิต เจ้าหน้าที่ กู้ชีพ – กู้ภัยเข้าให้การช่วยเหลือ ณ จุดเกิดเหตุและนำผู้ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาลชัยบาดาล
2. จังหวัดสมุทรปราการ วันที่ 23 พฤษภาคม 2568 เวลา 11.30 น. เกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารเก็บสินค้า ของบริษัท มิดาคอร์เปอร์เรชั่น จำกัด เลขที่ 79/269 หมู่ที่ 19 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี เพลิงลุกไหม้ภายในอาคารและสินค้าภายในเสียหาย เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเข้าทำการดับเพลิงจนเพลิงสงบ เวลา 11.00 น. ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
9. เรื่อง การรับรองร่างถ้อยแถลงรัฐมนตรีองค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก หรือ ถ้อยแถลงโตเกียว
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงรัฐมนตรีองค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก หรือ ถ้อยแถลงโตเกียว และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนรับรองร่างถ้อยแถลงโตเกียว ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ
สาระสำคัญของร่างถ้อยแถลงรัฐมนตรีองค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก หรือถ้อยแถลงโตเกียว เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการร่วมมือและทำงานร่วมกันในด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้แก่ การเชื่อมโยงด้านดิจิทัล นวัตกรรมดิจิทัลและความเป็นผู้ประกอบการ ความไว้ใจและความปลอดภัย การเข้าถึงดิจิทัลอย่างทั่วถึงและการเสริมสร้างศักยภาพ ความยั่งยืน และการเป็นคู่พันธมิตรและการทำงานร่วมกัน ทั้งนี้ จะมีการรับรองร่างถ้อยแถลงโตเกียว ระหว่างวันที่ 30-31 พฤษภาคม 2568 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ (กรมองค์การระหว่างประเทศ) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่า ร่างถ้อยแถลงโตเกียวไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และโดยที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือที่เกี่ยวกับองค์การระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย จึงเข้าลักษณะเรื่องที่เสนอคณะรัฐมนตรีได้ ตามนัยมาตรา 4 (8) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548
10. เรื่อง รายงานผลการเดินทางเยือนกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายพิชัย ชุณหวชิร) เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ของรองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัยฯ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เดินทางเยือนกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 19 – 22 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อขยายการประชาสัมพันธ์และสร้างความมั่นคงให้กับนักลงทุนญี่ปุ่น โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
(1) เข้าร่วมงานสัมมนา “Thailand – Japan Investment Forum 2025” ซึ่งมีนักลงทุนจากบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นให้ความสนใจเข้าร่วมงานมากกว่า 400 คน โดยรองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัยฯ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวปาฐกถาถึงความพร้อมในการพัฒนาให้ประเทศไทยเติบโตอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ 4 ประการ ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ (Innovativeness) ความครอบคลุม (Inclusiveness) ความยืดหยุ่น (Resilience) และความยั่งยืน (Sustainability) ผ่านการพัฒนาใน 4 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ (1) การพัฒนาทุนมนุษย์ (2) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งด้านการขนส่ง ด้านดิจิทัลและด้านพลังงาน (3) การพัฒนานวัตกรรมในด้านการเงินเพื่อการเข้าถึงแหล่งเงินทุนครัวเรือน และ SMEs และ (4) การสนับสนุนจากภาครัฐ ทั้งในด้านนโยบาย ด้านกฎระเบียบ และด้านการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ เพื่อเอื้ออำนวยต่อการดำเนินธุรกิจและมีความต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังได้เชิญชวนนักธุรกิจญี่ปุ่นให้เข้ามาลงทุนในสาขาอุตสาหกรรมที่ทันสมัยที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าและสาขาเกษตรที่เป็นภาคการผลิตหลักของไทย โดยไทยสามารถเป็นได้ทั้งตลาด ฐานการผลิต ฐานการวิจัยและพัฒนา และมีศักยภาพที่จะเติมเต็ม supply chain ของธุรกิจญี่ปุ่น
(2) พบหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมของประเทศญี่ปุ่น โดยรองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัยฯ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเห็นว่า ทั้ง 2 ประเทศ ต้องร่วมมือกันในการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ ซึ่งมี 3 ธุรกิจสำคัญ ที่ต้องพิจารณา คือ อุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากแนวโน้มของโลกที่มุ่งสู่การเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว ธุรกิจ Startup และการวิจัยและพัฒนาที่ต้องให้ Startup ของญี่ปุ่นในด้านยา และ Biotechnology มาลงทุนในไทย โดยทางไทยจะพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับ ธุรกิจด้านพลังงานสะอาดที่ประเทศไทยอยู่ระหว่างเปลี่ยนผ่านสู่ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ในขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นมองว่า ในขณะที่ทิศทางของเทคโนโลยียานยนต์ ยังไม่ชัดเจน จำเป็นต้องพิจารณาเทคโนโลยีที่หลากหลายเพื่อบริหารจัดการผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับห่วงโซ่อุปกรณ์ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัยฯ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า ไทยยังคงสนับสนุนเทคโนโลยีไฮบริดและเครื่องยนต์สันดาปภายใน เห็นได้จากพิจารณาปรับปรุงภาษีสรรพสามิตเพื่อให้ยังสามารถแข่งขันได้ สำหรับประเด็นกลไกการหารือว่าด้วยพลังงานและอุตสาหกรรม ทั้ง 2 ฝ่าย เห็นตรงกันว่าจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลและกำหนดประเด็นหารือให้ชัดเจน โดยพิจารณาการประชุมเตรียมการร่วมกันเพื่อรวบรวมข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนการจัดประชุมทางการ
(3) พบหารือกับผู้บริหารขององค์กรส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) ทั้ง 2 ฝ่าย ได้หารือกันในเรื่องการดำเนินธุรกิจของนักลงทุนญี่ปุ่นในไทย โดยรองนายกรัฐมนตรี(นายพิชัยฯ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา ผลประกอบการของบริษัทญี่ปุ่นในไทยลดลงโดยเฉพาะในยานยนต์ แต่ในกลุ่มอื่นค่อนข้างทรงตัวหรือปรับตัวดีขึ้น รัฐบาลเห็นถึงปัญหาดังกล่าวและได้กำหนดมาตรการปรับปรุงภาษีสรรพสามิต เพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งนักลงทุนญี่ปุ่นให้การตอบรับเป็นอย่างดีและพร้อมขยายการลงทุนในไทย ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัยฯ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยังพอให้ญี่ปุ่นช่วยพัฒนา Suppliers ในกลุ่มยานยนต์ ทั้งในกลุ่มที่เป็นการจ้างผลิตและการร่วมทุน การผลักดันให้ Startup ลงทุนวิจัยและพัฒนา จดสิทธิบัตรและนำบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงสนับสนุนให้บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ของญี่ปุ่นลงทุนในส่วนต้นน้ำในประเทศไทย เพื่อช่วยพัฒนาให้คนไทยมีความสามารถในอุตสาหกรรมดังกล่าวสูงขึ้นซึ่งทางผู้บริหารของ JETRO เสนอให้พิจารณาในเรื่องเทคโนโลยีการลดการปล่อยคาร์บอนเพิ่มเติม
(4) พบหารือกับผู้แทนจากกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง ญี่ปุ่น (Ministry of Agriculture, Fprestry and Fisheries : MAFF) และองค์กรการวิจัย การเกษตรและอาหารแห่งชาติ ผู้แทนจาก MAFF ได้อธิบายถึงกระบวนการพัฒนาสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพสูง โดยได้ยกกรณีศึกษาการปลูกส้มแมนดารินในเมืองมิคคาบิ จังหวัดชิซูโอกะ ซึ่งเป็นจังหวัดที่ปลูกส้มแมนดารินมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของประเทศ โดยการพัฒนาส้มแมนดารินเป็นการพัฒนาทั้งการตลาด การผลิต และการขนส่ง รวมทั้งการวิจัยและพัฒนา เช่น ด้านการตลาดมีการจดทะเบียนส้มแมนดารินในพื้นที่เป็นอาหารที่มีสรรพคุณพิเศษเพื่อใช้ในการทำการตลาด ด้านการผลิต รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาการเกษตร เช่น การพัฒนาระบบชลประทานในพื้นที่ การส่งเสริมให้นำเทคโนโลยีทางการเกษตร เช่น ระบบให้น้ำ ปุ๋ย และยาฆ่าแมลงอัตโนมัติ มาใช้ในการปลูกส้มแมนดาริน นอกจากนี้สหกรณ์การเกษตรของพื้นที่มิคคาบิยังลงทุนสร้างสาธารณูปโภคในการคัดแยก บรรจุเละขนส่งส้มแมนดารินในพื้นที่ โดยมีการนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาเพิ่มประสิทธิภาพ
(5) นอกจากนี้ ยังได้พบหารือกับผู้บริหารของบริษัทเอกชนชั้นนำของญี่ปุ่นหลายแห่ง เช่น บริษัท Toshiba Electronic Devices & Storage โดยทั้ง 2 ฝ่าย ได้พูดถึงศักยภาพของไทยในการรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งปัจจุบันไทยมีความพร้อมในการรองรับกิจการเซมิคอนดักเตอร์ ทั้งด้านบุคลากร และระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัยฯ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงขอให้บริษัทพิจารณาขยายการลงทุนเซมิคอนดักเตอร์ในไทย โดยรัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรทักษะสูงเพื่อรองรับการขยายกิจการเซมิคอนดักเตอร์ของบริษัทต่อไป บริษัท Mitsubishi Corporation บริษัท Mitsubishi Motor และบริษัท Isuzu Motors ซึ่งผู้บริหารทั้ง 2 บริษัทยืนยันว่า ไทยเป็นฐานการผลิตรถกระบะที่สำคัญ โดยมีสัดส่วนการผลิตประมาณร้อยละ 40 ของกำลังการผลิตทั่วโลก อีกทั้งยังได้นำเสนอแผนการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ โดยบริษัท Mitsubishi จะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดรุ่นใหม่ในช่วงเดือนมีนาคม 2568 และจะเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่สำหรับใช้ในการขนส่งในปีนี้ ในขณะที่บริษัท Isuzu ได้กำหนดแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงสังเคราะห์ (e – fuel) รวมถึงการพัฒนารถยนต์เชิงพาณิชย์ที่ใช้ระบบสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 บริษัทได้ขอให้รัฐบาลพิจารณามาตรการด้านการสร้างและกระตุ้นความต้องการของตลาด เป็นต้น
2. การเดินทางเยือนกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในครั้งนี้เป็นการช่วยขยายการประชาสัมพันธ์และสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนญี่ปุ่นพิจารณาการลงทุนในไทยต่อไปทั้งในอุตสาหกรรมสำคัญที่ญี่ปุ่นลงทุนอยู่ในปัจจุบัน เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ญี่ปุ่นมีศักยภาพ อาทิ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ อีกทั้งยั้งช่วยให้ได้เรียนรู้ทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และการยกระดับภาคการเกษตรของญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการนำมาพิจารณาประยุกต์ใช้ในการพัฒนานโยบายของประเทศได้
11. เรื่อง การให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 155 ว่าด้วยความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ค.ศ. 1981 และพิธีสาร ค.ศ. 2002 ส่วนเสริมอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 155 ว่าด้วยความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ค.ศ. 1981
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ ดังนี้
1. การให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization: ILO) ฉบับที่ 155 ว่าด้วยความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ค.ศ. 1981 (อนุสัญญา ILO ฉบับที่ 155) และพิธีสาร ค.ศ. 2002 ส่วนเสริมอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 155 ว่าด้วยความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ค.ศ. 1981 (พิธีสารฯ)
2. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ดำเนินการจัดทำสัตยาบันสารเพื่อการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 155 และพิธีสารฯ
3. มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานดำเนินการมอบสัตยาบันสารให้กับผู้อำนวยการใหญ่ ILO ในฐานะผู้เก็บรักษาอนุสัญญา
(กำหนดการเดินทางไปมอบสัตยาบันสารให้กับผู้อำนวยการใหญ่ ILO ในระหว่างการประชุมใหญ่ ประจำปี ILO สมัยที่ 113 ระหว่างวันที่ 9-13 มิถุนายน 2568 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส)
สาระสำคัญของเรื่อง
1.ที่ประชุมใหญ่ของ ILO สมัยที่ 110 เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2565 ได้ยกระดับเรื่องหมวดว่าด้วยสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงานของ ILO โดยในหมวดดังกล่าว ประกอบด้วย อนุสัญญา ILO ฉบับที่ 155 ว่าด้วยความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ค.ศ. 1981 (เสนอในครั้งนี้) และอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 187 ว่าด้วยกรอบเชิงส่งเสริมการดำเนินงาน ความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ค.ศ. 2006 (ให้สัตยาบันแล้วเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2559) โดยประเทศสมาชิกทั้งหมดจะต้องให้คำมั่นที่จะเคารพและส่งเสริมสิทธิขั้นพื้นฐานในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ ไม่ว่าประเทศนั้นจะให้สัตยาบันอนุสัญญาที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ปัจจุบันมีประเทศสมาชิก ILO ที่ให้สัตยาบันอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 155 แล้ว จำนวน 83 ประเทศ จาก 187 ประเทศ โดยเป็นประเทศในภูมิภาคอาเซียน จำนวน 4 ประเทศ ได้แก่ สหพันธรัฐมาเลเซียสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐสิงคโปร์ และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
2. อนุสัญญา ILO ฉบับที่ 155 มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้รัฐสมาชิกที่ให้สัตยาบัน อนุสัญญาฯ ดำเนินการจัดทำนโยบายแห่งชาติเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงาน อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน และดำเนินการตามขั้นตอน ที่จำเป็น ทั้งปฏิบัติการระดับประเทศ เช่น (1) การพิจารณากำหนดเงื่อนไขในการออกแบบการก่อสร้าง และการวางผังสถานที่ประกอบการ (2) การจัดทำและปฏิบัติตามขั้นตอนในการแจ้งอุบัติเหตุและโรคที่เกิดจากการทำงาน (3) ผู้ออกแบบ ผู้ผลิต และผู้นำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์ หรือสสารที่ใช้ในการทำงานจะดำเนินการให้เป็นที่พอใจได้ว่าจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยของผู้ที่นำสิ่งเหล่านี้ไปใช้ และปฏิบัติการระดับสถานประกอบการ เช่น (1) นายจ้างต้องทำให้มั่นใจว่าสถานที่ทำงาน เครื่องจักร อุปกรณ์และกระบวนการภายใต้การควบคุมของตนมีความปลอดภัยและปราศจากความเสี่ยงต่อสุขภาพ (2) คนงานหรือผู้แทนของคนงานในสถานประกอบการต้องได้รับการฝึกอบรมที่เหมาะสมเรื่องความปลอดภัยและอาชีวอนามัย เพื่อให้เกิดผลใช้บังคับตามนโยบายดังกล่าว ทั้งนี้ ประเทศไทย มีการดำเนินการที่สอดคล้องกับอนุสัญญาดังกล่าว เช่น การดำเนินการตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และพิธีสารฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดขั้นตอนการบันทึกและการแจ้งอุบัติเหตุและโรคจากการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงการจัดทำสถิติประจำปีด้านอุบัติเหตุและโรคจากการทำงาน
3. รง. ได้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากรณีการให้สัตยาบันอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 155 และพิธีสารฯ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) พิจารณาแล้วเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง และ กต. (กรมองค์การระหว่างประเทศ) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ไม่ขัดข้อง และมีความเห็นสอดคล้องกันว่า อนุสัญญาฯ และพิธีสารฯ มีถ้อยคำและบริบทที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ จึงเป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยโดย หาก รง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาฯ ได้ โดยไม่ต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้เป็นไปตามอนุสัญญาฯ และพิธีสารฯ ดังกล่าว อนุสัญญาฯ และพิธีสารฯ ก็ไม่เข้าข่ายเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาก่อนการแสดงเจตนาให้มีผลผูกพัน ทั้งนี้ รง. ได้ยืนยันแล้วว่า สามารถปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาฯ และพิธีสารฯ ได้ภายใต้กฎหมายภายในของไทย โดยไม่ต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้เป็นไปตามอนุสัญญาฯและพิธีสารฯ
ทั้งนี้ กษ. สคก. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาแล้วไม่ขัดข้อง/เห็นชอบด้วย
12. เรื่อง (ร่าง) แถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์ ครั้งที่ 44
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อ (ร่าง) แถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์ ครั้งที่ 44 [(ร่าง) แถลงการณ์ฯ] ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงสารัตถะหรือถ้อยคำของ (ร่าง) แถลงการณ์ฯ ข้างต้น ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้ พณ. สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ร่วมรับรอง (ร่าง) แถลงการณ์ฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ
[จะมีการรับรอง (ร่าง) แถลงการณ์ฯ โดยไม่มีการลงนาม ในการประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์ ครั้งที่ 44 ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 2 มิถุนายน 2568 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส]
สาระสำคัญ
1. การประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์ (Cairns Group Ministerial Meeting) มีความสำคัญในฐานะเวทีที่สร้างแรงสนับสนุนทางการเมืองเพื่อเสริมสร้างระบบการค้าสินค้าเกษตรโลกให้เป็นไปอย่างเสรีและเป็นธรรม ผ่านการปฏิรูปการค้าสินค้าเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) โดยการรวมกลุ่มของประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรเป็นหลัก จำนวน 20 ประเทศสมาชิก โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (20 กุมภาพันธ์ 2567) เห็นชอบในหลักการต่อร่างแถลงการณ์ของการประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์ ครั้งที่ 43 ซึ่งสนับสนุนการปฏิรูปการค้าสินค้าเกษตรและความมั่นคงทางอาหารและให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เข้าร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ดังกล่าว
2. การประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์ ครั้งที่ 44 กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 2 มิถุนายน 2568 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยที่ประชุมจะมีการรับรอง (ร่าง) แถลงการณ์ฯ ซึ่งเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกันของประเทศสมาชิก โดยไม่มีถ้อยคำหรือบริบทที่ทำให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่มีการลงนามในขั้นตอนใด ๆ โดย (ร่าง) แถลงการณ์ฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ เช่น (1) เน้นย้ำถึงความสำคัญของระบบการค้าพหุภาคีที่ยึดถือกฎเกณฑ์ทางการค้าเป็นพื้นฐานสำคัญ และให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทางการค้า ภายใต้ WTO เพื่อรักษาระบบการค้าที่มีเสถียรภาพและคาดการณ์ได้ (2) เสริมสร้างความเป็นธรรมและยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้านการค้าสินค้าเกษตร ผ่านการปฏิรูปการค้าสินค้าเกษตรที่ครอบคลุมทุกประเด็น ซึ่งกำหนดไว้ตามมาตรา 20 ของความตกลงเกษตร รวมถึงการสร้างความคืบหน้าในประเด็น 3 เสาหลัก ภายใต้ความตกลงเกษตร คือ การเปิดตลาด การอุดหนุนภายใน และการแข่งขันการส่งออก เพื่อให้กระบวนการปฏิรูปมีความก้าวหน้าและสมดุล
3. โดยที่เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่าง ประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย จึงเข้าข่ายเรื่องที่เสนอคณะรัฐมนตรีได้ตามนัยมาตรา 4 (7) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ประกอบกับ กต. (กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย) และ สคก. เห็นว่า (ร่าง) แถลงการณ์ดังกล่าวไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
*********
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/96838&ct=ga&cd=CAIyHDI4ODcxZTExZDQzMWVlYzA6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw2IizAIzTNDFX1lZ2z-nvp9