มองเผินๆ อาจจะดูไม่ค่อยเข้ากันสักเท่าไหร่
ไม่ว่าจะ ซุ้มขายไก่ย่างข้างๆ บูธตัดผม ที่มีหุ่นแบบชุดหมอลำวางอยู่ใกล้ๆ
ร้านกาแฟที่เด็กๆ กำลังง่วนอยู่กับส่วนผสมชงเสิร์ฟลูกค้า จะตั้งอยู่ข้างเครื่องทอผ้าภูมิปัญญาจากกลุ่มชาติพันธุ์
หรือ แผงขายมะพร้าวที่ตั้งอยู่ติดกับ ซุ้มหนังสือในห้องสมุด
ความแปลกตาที่เห็นนี้ล้วนเป็น “รูปธรรม” ของ “ผลการเรียน” สำหรับโรงเรียนในความหมายใหม่ ที่เปิดโอกาสให้เรียนได้ทุกที่ ในแคมเปญ เพราะทุกที่คือโรงเรียน โดย กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. เพื่อสื่อสารกับสังคม
โดยเปลี่ยนลานกิจกรรม ชั้น G ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมาให้กลายเป็น สมุดพกขนาดย่อมของเด็กๆ ในโครงการนี้
โต๊ะเรียนนอกห้อง
เมื่อการศึกษาถือเป็น “ความจำเป็นพื้นฐาน” ที่ทุกคนต้องมี แต่ความจริงก็คือ ยังมีเด็กไทยอีกเกือบ 9 แสนคนกำลังเติบโตขึ้นโดยไร้โอกาสในระบบการศึกษา
ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่ต้องการเรียนรู้ แต่ระบบที่มีอยู่อาจไม่ยืดหยุ่นพอที่จะรับพวกเขาไว้ได้ และการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้มุ่งเน้นจำกัดกรอบเนื้อหาอยู่ในตำรา หรือหน้าจอ แต่ยังหมายถึงทักษะชีวิตที่จะติดตัวต่อไปในวันพรุ่งนี้ด้วย
ในแคมเปญ เพราะทุกที่คือโรงเรียน ที่มุ่งเป้าเรื่องการศึกษาแบบยืดหยุ่น ห้องเรียนของแต่ละคนจึงมีรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างกันออกไป
สำหรับ คิก – สุธิชัย เป็นสุข ที่เติบโตมากับท้องร่อง และสวนมะพร้าว ที่นี่จึงเป็นทั้ง ห้องทำงาน และห้องเรียนของเขาไปโดยปริยาย
ถ้าตัดแก่เกินไป เนื้อจะหนา แต่น้ำจะหวาน ถ้าตัดอ่อนเกินไป น้ำจะเปรี้ยว… นี่คือความเชี่ยวชาญในวิชา “ตัดมะพร้าว” ของเด็กม.5 โรงเรียนเนกขัมวิทยา ในหลักสูตร Learn to Earn : Earn to Learn
“อายุกำลังดีของการตัดมะพร้าวต้องอยู่ที่ ชั้นครึ่งครับ” เขาบอก
ส่วน วรัญญาภรณ์ วันทา หรือ ฮักแพง ห้องเรียนของเธอ ก็คือ หน้าเวทีใต้แสงสปอตไลท์ ของคณะสาวน้อยลำเพลินโชว์ ในชื่อ ฮักแพง เพขรบ้านแพง ที่มีคิวแสดงแน่นไปถึงกลางปีหน้าแล้ว
นอกจากวิชาคำนวณ ขนาดเวทีที่ใช้สำหรับโชว์ ยังมีเรื่องวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ช่วยให้ตัวเธอได้รู้ และเข้าใจศาสตร์ของหมอลำมากขึ้นไปอีก
ยิ่งไปกว่านั้น “การได้เรียนในชั้นเรียน” ของฮักแพงเองยังเป็นเหมือน Safe Zone ทางความรู้สึกในฐานะนักเรียนคนหนึ่งด้วย
ขณะที่ เนส – คติกร ทองนรินทร์ อดีตหัวโจก ของ หมู่ 1 บ้านหนองสนิท ใน จ.สุรินทร์ ที่หันหลังให้กับห้องเรียนไปเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ก่อนตัดสินใจกลับมาเข้าห้องเรียนอีกครั้ง เพื่อความฝันที่อยากจะสลัดภาพ “เด็กมีปัญหา” ออกไป และสานต่อร้านตัดผมของแม่
นอกจากร้านตัดผมที่เป็นเอกสารประกอบการเรียน เขามีโทรศัพท์อีก 1 เครื่องเป็นแบบฝึกหัดเอาไว้สื่อสารกับคุณครูในหลักสูตร ร้านตัดผม อบต.หนองสนิท
“อย่างน้อยก็ทอนเงินได้ ไม่ต้องกลัวใครโกงครับ” รอยยิ้มของเขาหมายความตามนั้น
หรือตัวของ น้องฝ้าย – กุลธิดา ณัฐเศรษฐาวิชญ์ นักเรียนกะเหรี่ยงโพล่ง แห่งผืนป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จากศูนย์การเรียนชุมชนศรีสุวรรณสะเนพ่อง (วิถีกะเหรี่ยงทุ่งใหญ่นเรศวร) อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เธอก็สามารถที่จะช่วยพ่อแม่ ทำนา ทำสวนที่บ้าน ขณะที่ก็สามารถเรียนวิชาถ่ายภาพเพื่อสามารถไปต่อยอดได้ในอนาคต
“โรงเรียนของหนูเป็นบ้านดิน ตั้งอยู่ใกล้พื้นที่ป่า มีแม่น้ำลำธาร เป็นโรงเรียนที่ไม่มีรั้ว ไม่มีประตู”
ทั้งหมด เป็นตัวอย่างหน้าตาของห้องเรียนบางส่วนของเด็กๆ ที่เข้าร่วมแคมเปญกับบรรดาหุ้นส่วนทางการศึกษาที่เป็นความร่วมมือ ระหว่าง กสศ. และภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน ภายใต้แนวคิด ทุกคนสามารถเป็นครูได้ และทุกที่คือโรงเรียน
โรงเรียนนอกรั้ว
“การเรียนในหลักสูตรนี้จะจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของนักเรียนกลุ่มนี้” ปริมประภา สุวรรณพรม คุณครูจากศูนย์การเรียนปัญญากัลป์ จ.อุบลราชธานี ฉายภาพของตัวรูปแบบการเรียนในความหมายใหม่ที่เกิดขึ้น
“ความยืดหยุ่น” และ “สอดคล้องกับวิถีชีวิต” เป็น 2 คำสำคัญสำหรับครูผู้สอน
อย่างตัวเธอที่รับผิดชอบ หลักสูตรหมอลำศึกษา ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อกลุ่มนักแสดงหมอลำโดยเฉพาะจะถอดกระบวนการของหมอลำ ตั้งแต่หลังเวทีถึงหน้าเวที มาเป็นแกนหลักในการออกแบบรายวิชา บูรณาการ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ เช่น ไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรืออังกฤษ เป็นต้น
ตั้งแต่ การคำนวณหาพื้นที่จัดเวที หรือระยะห่างของนักแสดง ในวิชาคณิตศาสตร์ การออกแบบชุด การเย็บปักถักร้อย ในวิชาศิลปะ การร้องเพลง การวิเคราะห์คำร้อง ในวิชาดนตรี หรือภาษาไทย
“เวลาเรียนจะ ยืดหยุ่นและอิงกับตารางชีวิตของน้องหมอลำ ซึ่งมักจะทำงานช่วงเย็น 17.00 น. เป็นต้นไป” ครูปริมของเด็กๆ ยกตัวอย่าง
สิ่งที่หลักสูตรหมอลำศึกษา และอีกหลายๆ หลักสูตรที่ออกแบบมา ถูกนำเสนอภายใต้กรอบคิด หาก “โรงเรียน” ไม่จำเป็นต้องมีรั้วล้อม ขณะที่ ทุกหัวตลาด โต๊ะกาแฟ ฟาร์มไก่ หรือแม้แต่ร้านค้า กลายเป็นพื้นที่เรียนรู้ได้ล่ะ
นั่นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการหาความหมายใหม่ให้ห้องเรียนร่วมกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนหลุดจากระบบการศึกษา ด้วยรูปแบบ การเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น (Flexible Learning) ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกสถานที่ ทุกเวลา
“เราไม่ได้แค่ดึงเด็กกลับเข้าสู่ระบบเดิม แต่เรากำลังร่วมกันสร้างระบบใหม่ที่ยืดหยุ่นตอบโจทย์ชีวิตของเด็กจริง ๆ” ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการ กสศ. เล่าถึงเป้าประสงค์ของโครงการ
เขาย้ำว่า เป้าหมายของการศึกษาคือการเปิดโอกาสให้เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ของตนเอง ไม่ใช่เพียงผู้รับความรู้แบบเดิม
“การศึกษา หรือการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น จะช่วยเป็นตาข่ายรองรับ ความต้องการที่แตกต่าง หลากหลายให้กับผู้เรียนกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น เด็กยากจน ด้อยโอกาสที่หลุดจากระบบการศึกษา ทั้งกลุ่มพ่อแม่วัยรุ่น เด็กและเยาวชนในกระบวนการยุติธรรม เด็กกำพร้า เด็กในพื้นที่ห่างไกล เด็กที่เผชิญกับความเจ็บป่วยและปัญหาสุขภาพ เป็นต้น”
แคมเปญนี้จึงถูกออกแบบมา จากการทำความเข้าใจปัญหาเชิงลึกและมองเห็นคุณค่าของเด็กและเยาวชนจำนวนมากที่ออกจากระบบการศึกษา เพื่อทำงานหารายได้ เพราะตอบโจทย์ความต้องการเร่งด่วนของครอบครัวและตัวเองมากกว่า
บางส่วนจำเป็นต้องออกจากการศึกษาเพื่อดูแลผู้ป่วยในครอบครัว ขณะที่อีกจำนวนไม่น้อย ตั้งข้อสงสัยถึงเป้าหมายของการเรียน เรียนแล้วได้อะไร หรือแม้แต่การเรียนที่ตอบสนองต่อสิ่งที่ใฝ่ฝัน อยากเป็น อยากทำ ไม่ได้มีอยู่ในระบบการศึกษา
เปิดประตูโอกาส และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีเด็กและเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษาอายุระหว่าง 13-24 ปี จำนวน 880,463 คน ลดลงจากปี 2567 ซึ่งมีอยู่ราว 1.02 ล้านคน แต่ยังเป็นตัวเลขที่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างชัดเจน
จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 29,452 คน ของ กสศ. พบว่า เด็กและเยาวชนจำนวนมากที่หลุดจากระบบการศึกษา ร้อยละ 78.23 ไม่มีเป้าหมายทางการศึกษาและอาชีพที่ชัดเจน ขณะที่ร้อยละ 49.42 แสดงความต้องการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ มากกว่าการเรียนแบบวิชาการในระบบเดิม
ตัวเลขเชิงสถิติเหล่านี้กำลังบอกอะไร…?
บางคนต้องแลกกระดาษ และปากกา กับ จอบเสียม
หลายคนหันหลังให้ชั้นเรียนเพื่อดูแลครอบครัว
อีกหลายคนเพียงแค่ไม่เห็นภาพฝันของตนในห้องเรียนที่มีเพียงตำราและเก้าอี้เรียงแถว
“ถ้าเรายุติปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษาได้ เศรษฐกิจไทยจะโตเพิ่มขึ้นอีก 1.7% ของ GDP” เสียงยืนยันจาก ผู้จัดการ กสศ. ถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น หากระบบการศึกษาบ้านเราสามารถรองรับเด็กเอาไว้ได้โดยที่ไม่มีใครหายไป
ตัวเลขเกือบ 9 แสน ของเด็กนอกรั้วโรงเรียนจึงเป็นทั้งโอกาส และความท้าทายในเวลาเดียวกัน
ดร.ณหทัย ทิวไผ่งาม ในฐานะรองประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา (Thailand Zero Dropout) ระดับชาติ ยอมรับว่า ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่เป็นกำแพงสำคัญในการแก้ปัญหาดังกล่าว
“เรารู้ว่ามีข้อจำกัดเรื่องข้อกฎหมาย ระเบียบต่าง ๆ เรื่องความเท่าเทียมของผู้จัดการเรียนการสอนในรูปแบบศูนย์การเรียนว่ามีความขมขื่นแค่ไหน ในฐานะตัวแทนรัฐบาล ดิฉันจะรับเอาข้อเสนอต่าง ๆ เหล่านั้นไปผลักดัน ทั้งในฝ่ายนิติบัญญัติ และในฝ่ายนโยบายของรัฐบาลด้วย”
การดำเนินโครงการ Thailand Zero Dropout ปีที่ 2 เธอมองถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หอการค้า สภาอุตสาหกรรม และชุมชน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตในทุกพื้นที่
คู่ขนานกันไป ก็คือ การผลักดันพระราชบัญญัติการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้เป็นจริง ให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ปี 2542 ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถจัดการศึกษาได้ ไม่จำกัดแค่โรงเรียนในระบบ
รวมทั้ง เครื่องมือการทำงานเชิงรุกเพื่อนำการศึกษา การเรียนรู้ไปให้เด็กเยาวชน เช่น กลไกตำบล,โรงเรียนเคลื่อนที่ Mobile School, ธนาคารหน่วยกิต Credit Bank ที่ช่วยให้การเรียนรู้ทุกรูปแบบ การประกอบอาชีพสามารถเทียบโอนหน่วยกิต เชื่อมต่อกันได้ทั้งหมด ซึ่งตอนนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการกำลังร่วมกันพัฒนา เพื่อเก็บข้อมูลการเรียนรู้ทั้งในระบบและนอกระบบ เชื่อมโยงสู่การรับรองวุฒิการศึกษาในอนาคต
ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ต้องจับตาดูว่าจะเกิดขึ้นได้ในรูปแบบไหน และช่วยรองรับรูปแบบการเรียนรู้ในความหมายใหม่แบบนี้ได้อย่างไร
“ตัวหนูได้ช่วยสอนทำอาหารบ้าง แล้วเราก็ช่วยกันเอาไปขาย บางทีเป็นขนมโดนัท บางทีก็เป็นลูกชิ้นค่ะ” น้ำหวาน – กนกลดา บุญทอง จากโรงเรียนบ้านหนังสือจุดฝัน กลุ่มเด็กและเยาวชนหนองเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี เล่าถึงกิจกรรมในชั้นเรียนด้วยน้ำเสียงสดใส
มันเป็นรอยยิ้มที่เติมเต็มความฝัน หลังจากที่ตัวเธอหลุดออกจากระบบไป แล้วได้กลับมาเข้าเรียนอีกครั้ง
“จนตอนนี้หนูเรียนจบการศึกษาชั้นมัธยมปลายแล้วค่ะ”
เสียงนั้นเต็มไปด้วยความภูมิใจ และรูปธรรมของการเรียนได้ทุกที่ …เพราะทุกที่คือ โรงเรียนอย่างชัดเจน
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/judprakai/1183831&ct=ga&cd=CAIyHDI4ODcxZTExZDQzMWVlYzA6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw0GwPJ5d4avZkHVYQqXHE8C