นอกจากนโยบายเศรษฐกิจแบบเน้นการปกป้องผลประโยชน์ภายในประเทศแล้ว อีกหนึ่งนโยบายสำคัญที่มีส่วนอย่างยิ่งต่อชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา คือแนวทางต่อต้านผู้อพยพ (anti-immigration policy)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
การกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2025 ของทรัมป์ ถือเป็นการพลิกทิศทางนโยบายคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ อย่างรุนแรง จากประเทศที่เคยเป็นผู้นำในการเปิดรับผู้อพยพ กลับกลายเป็นรัฐที่ใช้นโยบายปิดกั้น ทั้งในรูปแบบการเนรเทศขนานใหญ่ การพยายามยกเลิกสิทธิพลเมืองโดยกำเนิด (birthright citizenship) และการลิดรอนสิทธิผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัยซึ่งเคยได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศ
เพื่อสร้างภาพลักษณ์ด้านลบต่อผู้อพยพ ทรัมป์ใช้วาทกรรมรุนแรงอย่างเปิดเผย โดยกล่าวหาผู้อพยพจากลาตินอเมริกา แอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชียว่าเป็น “อาชญากร” “ปรสิต” หรือ “ไวรัส” พร้อมใช้ถ้อยคำที่สื่อถึงแนวคิดเหยียดเชื้อชาติ เช่น “ผู้อพยพกำลังทำให้เลือดของประเทศเราปนเปื้อน” ซึ่งมีนัยชัดเจนถึงอุดมการณ์ชาตินิยมสุดโต่ง
อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ สหรัฐอเมริกาก่อตั้งขึ้นโดยผู้อพยพ และประชากรเกือบทั้งหมดในปัจจุบัน ล้วนมีที่มาจากการอพยพทั้งทางตรงหรือโดยสืบเชื้อสาย ยกเว้นเพียงชนพื้นเมืองอเมริกัน (Native Americans) เท่านั้น ตลอดกว่า 200 ปีของการเป็นมหาอำนาจ สหรัฐฯ เติบโตขึ้นจากแรงงานและความสามารถของผู้อพยพ แม้แต่ในยุคปัจจุบันที่แรงงานต่างชาติมีบทบาทสำคัญในทุกภาคเศรษฐกิจ ตั้งแต่เกษตรกรรม อุตสาหกรรม จนถึงภาคบริการและเทคโนโลยีขั้นสูง
ในบทความนี้ SPOTLIGHT จะพาผู้อ่านสำรวจบทบาทของแรงงานต่างชาติในตลาดแรงงานสหรัฐฯ พร้อมทำความรู้จักผู้บริหารในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกซึ่งหลายคนเคยมี หรือยังมีสถานะเป็น “ผู้อพยพ” กลุ่มคนที่แม้จะถูกด้อยค่าในเชิงวาทกรรม แต่กลับมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อความยิ่งใหญ่ของอเมริกา
สหรัฐฯ มีแรงงานต่างชาติมากที่สุดในโลก แฝงตัวในทุกอุตสาหกรรม
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สหรัฐอเมริกานับว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่พึ่งพาแรงงานต่างชาติมากที่สุดในโลก ทั้งในแง่จำนวนคนทำงานที่เกิดในต่างประเทศ และบทบาทที่แรงงานเหล่านี้มีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม ในขณะที่หลายประเทศกำลังเจอกับปัญหาขาดแคลนแรงงานและการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ สหรัฐฯ กลับสามารถรักษาความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานเอาไว้ได้ เพราะมีแรงงานจากทั่วโลกเข้ามาช่วยเติมเต็มอยู่เสมอ
ภายใต้คำนิยามของสถิติแรงงานสหรัฐฯ (BLS) กลุ่มที่เรียกว่า “แรงงานต่างชาติ” ในที่นี้ หมายถึงคนที่ไม่ได้เกิดในสหรัฐฯ และพ่อแม่ก็ไม่ได้เป็นพลเมืองอเมริกัน โดยตัวเลขจาก BLS เมื่อเดือนมิถุนายน 2024 ระบุว่า สหรัฐฯ มีแรงงานต่างชาติอยู่ประมาณ 32.2 ล้านคน คิดเป็น 19% ของแรงงานทั้งหมดในประเทศ ซึ่งอยู่ที่ราว 169 ล้านคน นี่ถือเป็นจำนวนแรงงานต่างชาติที่สูงที่สุดในโลก และยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี
ในแง่ของความหลากหลาย แรงงานต่างชาติในสหรัฐฯ มีความโดดเด่นมาตั้งแต่ในอดีต ทั้งในด้านเชื้อชาติและภูมิหลังทางวัฒนธรรม ข้อมูลในปี 2023 ระบุว่า แรงงานเชื้อสายฮิสแปนิกมีสัดส่วนมากที่สุดที่ 47.6% ตามด้วยชาวเอเชีย 25.1% คนผิวขาว 15.3% คนผิวดำ 10.7% และกลุ่มอื่น ๆ อีก 1.3%
ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงข้อมูลประชากร แต่ยังสะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ไหลเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจของอเมริกา คนจากหลากหลายพื้นเพกำลังทำงานร่วมกันในทุกภาคส่วน ตั้งแต่สายงานบริการจนถึงเทคโนโลยีขั้นสูง กลายเป็นพลังร่วมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง
ที่สำคัญคือ แรงงานกลุ่มนี้ไม่ได้ทำงานอยู่แค่ในสายงานแรงงานล่างเหมือนในภาพจำทั่วไป แต่กระจายตัวอยู่แทบทุกภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นงานที่ใช้แรงงานเข้มข้น หรือสายงานที่ต้องใช้ทักษะขั้นสูง
ในด้านอุตสาหกรรม แรงงานต่างชาติไม่ได้กระจุกตัวอยู่ในภาคแรงงานล่างเท่านั้น แต่แทรกซึมอยู่ในแทบทุกภาคเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสำคัญที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนประเทศ ดังนี้
- การศึกษาและบริการสุขภาพ: 5.5 ล้านคน หรือ 18.4% ของแรงงานต่างชาติทั้งหมด
- บริการวิชาชีพและธุรกิจ: 4.7 ล้านคน (15.8%)
- ก่อสร้าง: 3.3 ล้านคน (11.1%)
- การผลิต: 3.2 ล้านคน
- ค้าส่งและค้าปลีก: 3 ล้านคน
- สันทนาการและโรงแรม: 3 ล้านคน
- ขนส่งและสาธารณูปโภค: 2.1 ล้านคน
- การเงิน: 1.6 ล้านคน
- บริการอื่น ๆ (เช่น ร้านเสริมสวย อู่ซ่อมรถ องค์กรศาสนา): 1.6 ล้านคน
- ภาครัฐ: 766,000 คน
- เกษตรกรรม ป่าไม้ ประมง และล่าสัตว์: 439,000 คน
- เทคโนโลยีสารสนเทศ: 415,000 คน
- เหมืองแร่: 74,000 คน
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณา “สัดส่วน” ของแรงงานต่างชาติในแต่ละอุตสาหกรรม จะพบว่า อุตสาหกรรมก่อสร้าง เป็นภาคที่มีสัดส่วนแรงงานต่างชาติมากที่สุด โดยคิดเป็น 28.6% ของแรงงานทั้งหมดในอุตสาหกรรมนั้น รองลงมาคือ บริการวิชาชีพและธุรกิจ ที่ 22.9% และ บริการอื่น ๆ ที่ 21.9%
ข้อมูลทั้งหมดนี้ชี้ชัดว่า แรงงานต่างชาติไม่ใช่เพียงกลุ่มที่เข้ามาเติมเต็มช่องว่างแรงงานทั่วไป แต่ยังเป็น “กลไกเชิงโครงสร้าง” ที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นภาคบริการสุขภาพที่กำลังเผชิญวิกฤตแรงงานผู้ดูแล ภาคเทคโนโลยีที่ต้องการทักษะขั้นสูง หรือภาคก่อสร้างและโลจิสติกส์ที่ต้องการแรงงานในปริมาณมาก
เมื่อพิจารณาร่วมกับแนวโน้มประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นและการขาดแคลนแรงงานในหลายภาคส่วน แรงงานต่างชาติจึงไม่ใช่เพียง “แรงงานเสริม” แต่เป็นหนึ่งในเสาหลักของเสถียรภาพและความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจอเมริกันในศตวรรษที่ 21
ผู้อพยพ: แรงขับเคลื่อนธุรกิจ เทคโนโลยี และนวัตกรรมสหรัฐฯ
ท่ามกลางกระแสวิพากษ์จากฝ่ายอนุรักษนิยมที่มองว่าผู้อพยพ “แย่งงาน” ชาวอเมริกัน ในความจริง สถานการณ์การสร้างงานและการจ้างงานในสหรัฐฯ กลับเป็นอีกด้านหนึ่ง
ข้อมูลจาก National Bureau of Economic Research ระบุว่า ผู้อพยพมีแนวโน้มในการเริ่มต้นธุรกิจมากกว่าคนอเมริกันถึง 80% และในปี 2023 บริษัทกว่า 45% ในดัชนี Fortune 500 มีผู้ก่อตั้งเป็นผู้อพยพรุ่นแรกหรือรุ่นที่สอง สะท้อนว่าผู้อพยพไม่ได้เป็นเพียงผู้เข้ามาแย่งงาน แต่กลับเป็นผู้สร้างโอกาสและจ้างงานให้กับชาวสหรัฐฯ
ภาคเทคโนโลยีคือหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจน รายงาน Silicon Valley Index 2025 โดย Joint Venture Silicon Valley ระบุว่า แรงงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของซิลิคอนแวลลีย์กว่า 66% เป็นผู้ที่เกิดในต่างประเทศ ซึ่งถือว่าสูงกว่าสัดส่วนประชากรผู้อพยพในพื้นที่ที่อยู่ที่ 41% ในปี 2023
“ตัวเลขนี้ทำให้คนจำนวนมากแปลกใจ” รัส แฮนค็อก ซีอีโอของ Joint Venture กล่าว “เรามักลืมไปว่า ซิลิคอนแวลลีย์ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เป็นของอเมริกาโดยลำพัง แต่มันคือเวทีนานาชาติที่รวมคนเก่งจากทั่วโลก”
ในมุมของนักลงทุน อนิส อุซซามัน ประธาน Pegasus Tech Ventures กล่าวเสริมว่า แรงงานต่างชาติเปรียบเสมือน “ส่วนผสมหลัก” ที่ขับเคลื่อนการเติบโตของทั้งสตาร์ทอัพและบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เพราะพวกเขานำเสนอทั้งความสามารถระดับโลก มุมมองหลากหลาย และความเข้าใจตลาดในระดับสากล
ข้อมูลยังเผยอีกว่า ในแรงงานเทคโนโลยีระดับปริญญาตรีขึ้นไปในซิลิคอนแวลลีย์นั้น 23% มาจากอินเดีย, 18% จากจีน และมีเพียง 17% เท่านั้นที่เกิดในแคลิฟอร์เนีย
ฌอน แรนดอล์ฟ แห่ง Bay Area Council ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple, Google และ Meta ระบุว่า ชื่อเสียงของซิลิคอนแวลลีย์ในฐานะศูนย์กลางเทคโนโลยีระดับโลก เป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดผู้มีความสามารถจากทั่วโลกให้เข้ามาร่วมพัฒนาและต่อยอดนวัตกรรม และบริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น Apple, Google, Meta, Intel, Cisco, Oracle, Netflix หรือ NVIDIA ล้วนมีจุดเริ่มต้นจากผู้อพยพหรือทายาทของผู้อพยพ สะท้อนให้เห็นว่าแรงงานข้ามชาติไม่ใช่ผู้มาแทนที่ แต่คือกำลังสำคัญในการเสริมสร้างเศรษฐกิจและนวัตกรรมของประเทศ
แรนดอล์ฟอธิบายว่า แรงงานต่างชาติเข้าถึงโอกาสในซิลิคอนแวลลีย์ผ่านหลากหลายช่องทาง เช่น โครงการ incubator และ accelerator รวมถึงองค์กรที่เชื่อมต่อผู้ประกอบการต่างชาติให้เข้าสู่ระบบนิเวศนวัตกรรม ขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่เองก็มักโยกย้ายพนักงานจากต่างประเทศเข้าสู่สำนักงานใหญ่ใน Bay Area
ด้านสถาบันการศึกษา UC Berkeley และ Stanford ก็มีบทบาทสำคัญในการดึงดูดนักศึกษาต่างชาติมาเรียนในสาย STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม คณิตศาสตร์) เพื่อเตรียมเข้าสู่ตลาดแรงงานในซิลิคอนแวลลีย์ จำนวนผู้สำเร็จการศึกษาในสาขาเหล่านี้ใน Bay Area เพิ่มขึ้น 117% ตั้งแต่ปี 2002 โดยในปี 2023 มีผู้จบมากกว่า 21,500 คน แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการแรงงานเทคโนโลยี ซึ่งขาดแคลนตำแหน่งกว่า 20,000 ตำแหน่งในช่วงปี 2019-2023
แรนดอล์ฟเตือนว่า “ระบบการศึกษาของอเมริกายังไม่สามารถผลิตบัณฑิตได้เพียงพอและตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรม หากทำได้ พวกเขาคงถูกจ้างงานไปนานแล้ว”
ในปี 2024 เงินทุนจากนักลงทุนร่วมทุนหลั่งไหลเข้าสู่ซิลิคอนแวลลีย์และซานฟรานซิสโกมากกว่า 6.9 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ผลักดันให้ผู้ประกอบการทั่วโลกมองหาโอกาสที่นี่ งานวิจัยจาก Bay Area Council ชี้ว่า 45% ของสตาร์ทอัพเทคโนโลยีในภูมิภาคนี้ก่อตั้งโดยผู้ที่เกิดในต่างประเทศ หลายคนเริ่มต้นจากการทำงานในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ก่อนจะออกมาตั้งกิจการของตัวเอง
ผู้อพยพ: ผู้นำตัวจริงของบริษัทเทคฯ ชั้นนำในสหรัฐฯ
หากจะยกตัวอย่างถึงบทบาทและอิทธิพลของแรงงานต่างชาติในเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ไม่มีภาพไหนจะชัดเจนไปกว่าผู้ที่ก้าวขึ้นมานั่งตำแหน่งสูงสุดในบริษัทระดับโลกอย่าง Nvidia, Alphabet, และ Tesla บริษัทเหล่านี้ไม่เพียงเป็นกำลังหลักของเศรษฐกิจอเมริกัน แต่ยังมีบทบาทนำในนวัตกรรมระดับโลก และที่สำคัญ ผู้บริหารสูงสุดของแต่ละแห่งล้วนมีจุดเริ่มต้นในฐานะ “ผู้อพยพ” ทั้งสิ้น

- เจนเซน หวง (Jensen Huang) CEO และผู้ก่อตั้ง Nvidia บริษัทผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เจนเซน หวง (Jensen Huang) เกิดที่ไต้หวันในปี 1963 ก่อนจะย้ายตามครอบครัวไปอยู่ประเทศไทย และต่อมาย้ายถิ่นฐานเข้าสหรัฐอเมริกาเมื่อเขาอายุเพียง 9 ขวบ หวงเติบโตในรัฐออริกอน และสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลายจากโรงเรียน Aloha High School ในช่วงวัยรุ่น เขาทำงานพาร์ตไทม์ในร้านอาหาร Denny’s ตั้งแต่ล้างจาน เสิร์ฟอาหาร ไปจนถึงเป็นพนักงานบริการ
เขาเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่ Oregon State University และจบปริญญาตรีด้านวิศวกรรมไฟฟ้าในปี 1984 หลังจากนั้น หวงศึกษาต่อจนจบปริญญาโทด้านวิศวกรรมไฟฟ้าที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในปี 1992
หลังเรียนจบ หวงเริ่มต้นเส้นทางอาชีพที่ AMD ในตำแหน่งวิศวกรผลิตภัณฑ์ ซึ่งทำให้เขาได้คลุกคลีกับการออกแบบและทดสอบไมโครชิป โดยเฉพาะด้านหน่วยความจำและไมโครโปรเซสเซอร์ นี่คือจุดเริ่มต้นของประสบการณ์ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของซิลิคอนแวลลีย์
ในปี 1993 เขากลับมาที่ร้าน Denny’s อีกครั้ง ไม่ใช่ในฐานะพนักงาน แต่เพื่อหารือแนวคิดก่อตั้งบริษัทใหม่กับคริส มาเลโชว์สกี (Chris Malachowsky) และเคอร์ติส พรีม (Curtis Priem) ทั้งสามร่วมกันก่อตั้ง NVIDIA โดยมีเป้าหมายแรกเริ่มคือการยกระดับประสบการณ์การเล่นเกมบนคอมพิวเตอร์ พวกเขาอยากเปลี่ยนเกม 2 มิติแบบ Pac-Man ให้กลายเป็นภาพ 3 มิติที่สมจริงระดับภาพยนตร์
จากความฝันเล็ก ๆ ในวันนั้น NVIDIA กลายเป็นผู้นำในโลกกราฟิก โดยเปิดตัว RIVA 128 และ GeForce ที่ช่วยผลักดันคำว่า “GPU” เข้าสู่วงการเทคโนโลยี และต่อมาในช่วงปี 2000 บริษัทได้เปิดตัว CUDA ซึ่งเปลี่ยน GPU ให้กลายเป็นเครื่องมือประมวลผลทั่วไปที่ไม่จำกัดแค่การแสดงผลกราฟิกอีกต่อไป
ในปี 2006 NVIDIA ได้มอบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI เครื่องแรกให้กับอีลอน มัสก์ เพื่อใช้พัฒนาแพลตฟอร์ม OpenAI ที่ต่อมาคือ ChatGPT ที่เราใช้กันในปัจจุบัน
วันนี้ หวงมองไกลกว่านั้น เขาเชื่อว่าอนาคตของ AI จะไม่จำกัดอยู่แค่ในจอคอมพิวเตอร์ แต่จะเป็น “AI ทางกายภาพ” หุ่นยนต์ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ รถยนต์ไร้คนขับ หรือแม้แต่เครื่องตัดหญ้าอัตโนมัติ เขาคาดการณ์ว่า ภายใน 10 ปี ทุกสิ่งที่เราใช้ในชีวิตจะมี AI เป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อน
จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ของเด็กผู้อพยพในร้าน Denny’s วันนี้ เจนเซน หวง คือผู้นำหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก และมีมูลค่ามากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
- ซุนดาร์ พิชัย (Sundar Pichai) จากผู้อพยพอินเดียสู่ CEO Alphabet และ Google
ซุนดาร์ พิชัย (Sundar Pichai) หรือชื่อเต็มว่า พิชัย ซุนดาราราจาน เกิดเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 1972 ที่เมืองเจนไน ประเทศอินเดีย เขาเติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลาง โดยบิดาเป็นวิศวกรไฟฟ้าที่ทำงานในบริษัทอังกฤษด้านชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่มารดาเคยทำงานเป็นเสมียนพิมพ์ดีด
พิชัยมีความสามารถโดดเด่นด้านการเรียนตั้งแต่เด็ก เขาสอบเข้าเรียนที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งอินเดีย (IIT) เมืองคารัคปูร์ และจบปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมโลหการ จากนั้นเขาได้รับทุนการศึกษาเพื่อเดินทางไปศึกษาต่อในสหรัฐฯ โดยสำเร็จปริญญาโทด้านวัสดุศาสตร์และฟิสิกส์เซมิคอนดักเตอร์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ก่อนจะคว้าปริญญาโทบริหารธุรกิจ (MBA) จาก Wharton School มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย
หลังจากเรียนจบ พิชัยเริ่มต้นทำงานกับ McKinsey & Company ก่อนจะเข้าร่วมกับ Google ในปี 2004 โดยรับหน้าที่บริหารผลิตภัณฑ์ เขามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโครงการสำคัญหลายอย่าง เช่น Google Chrome, Chrome OS และ Google Drive ในปี 2013 เขาได้รับมอบหมายให้ดูแล Android ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการมือถือของ Google
ในปี 2015 เมื่อ Google ได้จัดโครงสร้างองค์กรใหม่โดยตั้งบริษัทแม่ชื่อ Alphabet ซุนดาร์ พิชัยก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นซีอีโอของ Google และในปี 2019 เขาได้รับตำแหน่งซีอีโอของ Alphabet ควบคู่กัน
การบริหารของพิชัยช่วยผลักดัน Google ให้เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการค้นหาข้อมูล บริการคลาวด์ ปัญญาประดิษฐ์ หรือระบบปฏิบัติการมือถือ Android นวัตกรรมเหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจและสังคมทั่วโลก ขณะเดียวกันก็สร้างมูลค่าและงานจำนวนมากให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ
เรื่องราวของซุนดาร์ พิชัย เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่า ผู้อพยพไม่ได้เป็นเพียงผู้เข้ามาเติมเต็มกำลังแรงงาน แต่ยังสามารถเป็นผู้นำที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและอนาคตทางเศรษฐกิจของอเมริกา
- อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ผู้อพยพที่เคยทำงานในสหรัฐฯ โดยไม่มีใบอนุญาต
ก่อนจะกลายเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกเทคโนโลยี อีลอน มัสก์ (Elon Musk) คือ “ผู้อพยพ” ที่เริ่มต้นชีวิตในสหรัฐฯ ด้วยวีซ่านักเรียน ไม่มีเงิน ไม่มีเครือข่าย และไม่มีสถานะถาวร เขาต้องฝ่าฟันระบบตรวจคนเข้าเมืองที่ซับซ้อนกว่าจะได้เป็นพลเมืองอเมริกันอย่างเต็มตัว และเรื่องราวของเขาคือภาพสะท้อนของความพยายาม ความอดทน และพลังของผู้อพยพในระบบเศรษฐกิจอเมริกัน
มัสก์เกิดในปี 1971 ที่เมืองพริทอเรีย ประเทศแอฟริกาใต้ โดยเติบโตในช่วงที่การเมืองอยู่ภายใต้ระบบแบ่งแยกสีผิว (Apartheid) เขาเติบโตในครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ่อเป็นวิศวกร แม่เป็นนักโภชนาการและนางแบบ
เมื่ออายุ 17 ปี มัสก์เลือกที่จะออกจากแอฟริกาใต้เพื่อหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร และใช้สัญชาติแคนาดาที่เขาได้รับจากมารดาในการเดินทางเข้าแคนาดาในปี 1989 โดยไม่มีเงินติดตัวมากนัก เขาต้องทำงานหนักและอาศัยอยู่กับญาติหรือบนโซฟาของเพื่อนเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
หลังจากอพยพเข้าแคนาดา มัสก์เข้าศึกษาต่อที่ Queen’s University ในออนแทรีโอ และย้ายมาเรียนที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียในปี 1995 ขณะนั้นเขาเดินทางเข้าสหรัฐฯ ด้วยวีซ่านักเรียน (F-1 หรือ J-1) ซึ่งไม่อนุญาตให้ทำงานนอกวิทยาเขตอย่างเสรี และห้ามเริ่มต้นธุรกิจ
หลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย มัสก์ลาออกจาก Stanford University เพียงสองวันหลังเข้าเรียนระดับบัณฑิตศึกษา เพื่อเริ่มต้น Zip2 บริษัทสตาร์ทอัพด้านซอฟต์แวร์ แต่ ณ ขณะนั้น เขายังไม่ได้รับวีซ่าทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
หนังสือพิมพ์และสำนักข่าว Washington Post รายงานว่าเขาน่าจะทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตในช่วงสั้นๆ ในปี 1995 ซึ่งในเชิงกฎหมาย การเขียนโค้ด หรือมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ ในขณะถือวีซ่านักเรียน ถือเป็นการละเมิดกฎหมายคนเข้าเมือง
หลังจาก Zip2 เริ่มมีรายได้และจ้างพนักงานเพิ่ม มัสก์ได้รับวีซ่า H-1B ซึ่งออกให้แก่ผู้มีทักษะเฉพาะทาง ทำให้เขาทำงานและดำเนินธุรกิจได้อย่างถูกต้อง หลังจากนั้นเขาขอกรีนการ์ด (ถิ่นที่อยู่ถาวร) และสุดท้าย ได้รับสัญชาติอเมริกันในปี 2002 รวมแล้วใช้เวลาประมาณ 7 ปีในกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง
ต่างจากนักลงทุนรายใหญ่บางราย มัสก์ไม่ได้ใช้วีซ่าประเภท EB-5 (ที่มอบกรีนการ์ดให้กับผู้ลงทุนขั้นต่ำ 1 ล้านดอลลาร์ในธุรกิจที่สร้างงาน) เขาสร้างธุรกิจจากศูนย์ ด้วยเงินสนับสนุนจากนักลงทุนภายนอกและความสามารถของตัวเอง
มัสก์เคยให้สัมภาษณ์ว่าในช่วงปีแรกในอเมริกา เขาอยู่แบบประหยัดที่สุด นอนบนโซฟา ใช้เงินวันละไม่เกิน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ กินพาสต้า ซอสถั่วกระป๋อง และทำงานแทบไม่หลับไม่นอน และเขาไม่ได้มีเครือข่าย หรือเงินทุนจากครอบครัวอย่างที่หลายคนเข้าใจ
หลังจากขายบริษัท Zip2 ให้กับ Compaq ในปี 1999 อีลอน มัสก์ได้รับเงินส่วนตัวประมาณ 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งกลายเป็นทุนตั้งต้นสำหรับการสร้างอาณาจักรเทคโนโลยีที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น Tesla, SpaceX, Neuralink และแพลตฟอร์ม X (ชื่อเดิมคือ Twitter) ธุรกิจเหล่านี้เติบโตจนสามารถจ้างงานชาวอเมริกันในสหรัฐฯ ได้มากกว่า 137,000 คน ปรากฏการณ์นี้ทำให้มัสก์เป็นหนึ่งในตัวอย่างชัดเจนของผู้อพยพรุ่นแรกที่ไม่เพียงสร้างธุรกิจจากศูนย์บนผืนแผ่นดินอเมริกัน แต่ยังกลายเป็นผู้สร้างงานและโอกาสให้กับชาวอเมริกันนับแสนคนทั่วประเทศ
อ้างอิง: Forbes, USAFacts, Brookings, Devissues, The Spokesman Review, LCR
คอนเทนต์แนะนำ
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.amarintv.com/spotlight/economy/515921&ct=ga&cd=CAIyHDI4ODcxZTExZDQzMWVlYzA6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw27mQIvGZBPm9cvpnkxugw6