สาลิกาคาบข่าว Vol.146 – salika

สาลิกาคาบข่าว-vol.146-–-salika
สาลิกาคาบข่าว Vol.146 – salika

7 ทางรอดการศึกษาไทยในยุคศตวรรษที่ 21 “เปลี่ยนราก เปลี่ยนระบบ เปลี่ยนวิธีคิด”

ดร.อภิชาต ทองอยู่ ประธานคณะทำงานประสานงานด้านการพัฒนาบุคลากรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC HDC) กล่าวถึงการรื้อสร้างระบบที่มืดบอดให้พ้นจาก “การศึกษาที่สิ้นหวัง” นั้น คงต้องรื้อสร้างให้การศึกษาเคลื่อนไปในทิศทางใหม่ “เปลี่ยนราก เปลี่ยนระบบ เปลี่ยนวิธีคิด” ที่ต้องมุ่งมั่นลงมือทำอย่างต่อเนื่อง ตามแนวทางโดยสรุปดังนี้ :
1. กระจายอำนาจสู่สถานศึกษา สนับสนุนให้โรงเรียน & ครูมีอิสระในการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น ปรับบทบาทของกระทรวงฯ ระบบระเบียบให้เป็น “ผู้อำนวยความสะดวก” มากกว่า “ผู้ควบคุม” ส่งเสริม “School-based management” และ “Professional Learning Community (PLC)” ให้กับโรงเรียนทั้งภาครัฐและเอกชน
2. เปลี่ยนระบบเดิมจาก “เน้นสอบ” เป็น “พัฒนาสมรรถนะ” ปรับให้เป็นหลักสูตรเน้นทักษะการคิดวิเคราะห์ การสื่อสาร การแก้ปัญหา และ soft skills ใช้การประเมินแบบ “วัดผลจากการปฏิบัติจริง (performance- based assessment)” ลดความสำคัญของระบบสอบกลางที่แข่งขันสูง (เช่น TCAS) และเปิดทางเลือกหลายเส้นทางให้เด็ก
3. พัฒนาครูให้เป็น “ครูยุคใหม่” ยกระดับการผลิตครูด้วยมาตรฐานใหม่ที่เน้นทั้งทักษะวิชาการและวิธีการสอนที่ทันสมัย จัดระบบการจัดการความรู้สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้กับครู-อาจารย์ และลดภาระงานเอกสารที่ไม่จำเป็นลง
4. รื้อสร้างหลักสูตรใหม่ให้ยืดหยุ่น ทันโลก เรียนรู้ข้ามศาสตร์ ปรับเป็นระบบโมดูล สร้างหลักสูตรที่ตอบโจทย์โลกยุคใหม่ เช่น AI, Data, สิ่งแวดล้อม, ความเป็นพลเมืองโลก ส่งเสริมแนวคิด “เรียนรู้เพื่อใช้ได้จริง” (Learning for life, not just for exams) สนับสนุนการเรียนรู้ผ่านโครงการ (project-based learning) และเรียนรู้แบบบูรณาการ
5. ลดความเหลื่อมล้ำอย่างเป็นรูปธรรม ลงทุนเพิ่มงบประมาณในโรงเรียนที่ขาดแคลนและอยู่ห่างไกล จัดสรรทรัพยากรโดยคำนึงถึง “ความต้องการเป็นหลัก” แทนที่จะเป็นแบบเฉลี่ย
6. เปิดพื้นที่นวัตกรรมการเรียนรู้ สนับสนุนโรงเรียนนำร่อง (sandbox schools) หรือเขตนวัตกรรมการศึกษา ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน มหาวิทยาลัย และโรงเรียน เปิดทางให้มีรูปแบบการศึกษาใหม่ เช่น coding school, online hybrid, micro-credential
7. สร้างนโยบายระยะยาวที่ต่อเนื่อง และจัดตั้ง “องค์กรอิสระด้านนโยบายการศึกษา” ที่ไม่ขึ้นตรงกับรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง จัดทำฐานข้อมูลที่กำหนดนโยบายให้ทันโลก ทันการเปลี่ยนแปลง สร้าง “วิสัยทัศน์ร่วมของชาติ” ให้มีผลรวมที่มุ่ง “สร้างคนให้พร้อมใช้ชีวิตในโลกที่เปลี่ยนแปลง มีสมรรถนะในความพร้อมที่จะเรียนรู้ปรับตัวอยู่ตลอดเวลา

3 กลุ่มธุรกิจอาหาร มีศักยภาพ ปรับตัวฝ่าปัจจัยลบ ไปต่อได้

นางสาวสุภาภรณ์ อังศรีสุรพร ผู้จัดการฝ่ายบริหารโครงการอาวุโส อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงาน Food & Hospitality Thailand (FHT) 2025 กล่าวถึงทิศทางของธุรกิจอาหารและร้านอาหารว่า ภาพรวมของธุรกิจปีนี้อยู่บนความท้าทายอย่างมาก จากการได้รับผลกระทบในหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นต้นทุนวัตถุดิบและการบริหารจัดการที่เพิ่มขึ้น กำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัว จำนวนนักท่องเที่ยวที่ไม่เป็นไปตามเป้าและการแข่งขันที่รุนแรงจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่วนแนวโน้มของธุรกิจอาหารและร้านอาหารที่ยังมีศักยภาพและเติบโตได้มี 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มอาหารและร้านอาหารพรีเมียม ซึ่งจับลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง กลุ่มร้านอาหารที่มีจุดเด่นเฉพาะ ร้านที่มีรางวัลการันตี หรือมีชื่อเสียงมายาวนาน ซึ่งร้านอาหารในกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่แวะเวียนมาเพื่อชิมและรับประทานอาหารหมุนเวียนอย่างสม่ำเสมอ และกลุ่มธุรกิจอาหารแบบ Fast Fashion Food เป็นกลุ่มที่กำลังเป็นกระแสขณะนี้ มีลักษณะการดำเนินธุรกิจที่รวดเร็ว ไม่เน้นการขยายสาขาของแบรนด์เดิม แต่เน้นการสร้างแบรนด์ใหม่ที่ต่อเนื่อง ปรับตัวตามเทรนด์และพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างความสดใหม่และดึงดูดลูกค้า

Google จับมือแบรนด์ดังเกาหลีใต้ เตรียมเปิดตัวแว่นตาอัจฉริยะ AI สุดล้ำ ภายใต้ระบบ Android XR ครั้งแรกของโลก

เปิดมิติใหม่แห่งวงการแฟชั่นและโลกดิจิตัลครั้งสำคัญ! เมื่อยักษ์ใหญ่ Google ประกาศความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์กับแบรนด์แว่นตาชั้นนำระดับโลกจากเกาหลีใต้อย่าง Gentle Monster พันธมิตรแบรนด์แรกที่ได้ถูกรับเลือกในการพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะ AI บนระบบปฏิบัติ Android XR ครั้งแรกของโลก โดยการร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นการเปิดฉากยุคใหม่ของ “แฟชั่นฟังก์ชัน” อย่างแท้จริง โดยแว่นตา AI รุ่นใหม่ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ จะไม่ได้เป็นแค่แกดเจ็ตล้ำๆ แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการทำให้แว่นตาอัจฉริยะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันและแฟชั่นในอนาคต

หลี่เฉียงหนุนจีน-อินโดฯ เกื้อหนุนการค้าการลงทุนสองทาง คัดค้านเอกภาคีนิยมและการกีดกันทางการค้า

(แฟ้มภาพซินหัว : หลี่เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน พบปะกับปวน มหารานี ประธานสภาผู้แทนราษฎรอินโดนีเซีย ในเมืองจาการ์ตาของอินโดนีเซีย วันที่ 25 พ.ค. 2025)
จาการ์ตา, 26 พ.ค. (ซินหัว) — เมื่อวันอาทิตย์ (25 พ.ค.) หลี่เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน เรียกร้องให้จีนและอินโดนีเซียยกระดับการเกื้อหนุนด้านการค้าและการลงทุนสองทาง และร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เป็นธรรมและเอื้ออำนวย
หลี่เฉียงกล่าวระหว่างการหารือกับปวน มหารานี ประธานสภาผู้แทนราษฎรอินโดนีเซีย ว่าทั้งสองฝ่ายควรรับรองการดำเนินโครงการแลนด์มาร์กที่มีความสำคัญ เช่น โครงการทางรถไฟความเร็วสูงจาการ์ตา-บันดุง
นอกจากนี้ หลี่ระบุว่าจีนพร้อมทำงานร่วมกับอินโดนีเซียเพื่อคัดค้านลัทธิเอกภาคีนิยม การกีดกันทางการค้า และการเมืองแบบใช้อำนาจ
ฝ่ายจีนยินดีเพิ่มการสื่อสารและการประสานงานกับอินโดนีเซียภายในหลายกลไกพหุภาคี เช่น สหประชาชาติ (UN) ร่วมปกป้องบรรทัดฐานพื้นฐานที่กำกับดูแลความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และยึดมั่นในระบบการค้าพหุภาคีที่มีองค์การการค้าโลก (WTO) เป็นแกนกลาง
หลี่ยังเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายดำเนินตามจิตวิญญาณแห่งบันดุงที่ยึดมั่นในความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว มิตรภาพ และความร่วมมือ อีกทั้งร่วมส่งเสริมเสถียรภาพและความแน่นอนแก่สันติภาพและการพัฒนาของโลก

Post Views: 67

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.salika.co/2025/05/26/salika-news-vol-146-5/&ct=ga&cd=CAIyHDI4ODcxZTExZDQzMWVlYzA6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw2rzMVQqh3R1PozPuZfGDlr

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *