สภาวะกลุ่มสินค้าระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ภายใต้ภาษีทรัมป์ 2.0 – กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

สภาวะกลุ่มสินค้าระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ภายใต้ภาษีทรัมป์-2.0-–-กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
สภาวะกลุ่มสินค้าระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ภายใต้ภาษีทรัมป์ 2.0 – กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

เนื้อหาสาระข่าว: ข้อมูลล่าสุดจากการเผยแพร่ผลการศึกษาและการวิเคราะห์ผลกระทบจากแนวโน้มนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ จากสำนัก Wood Mackenzie และสมาคมพลังงานสะอาด (Clean Energy Associates) สำหรับกลุ่มสินค้าระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System: BESS) ซึ่งรวมถึงส่วนประกอบทั้งหลายในระบบดังกล่าว ในผลสรุปจากการศึกษาพบว่าค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนที่เกี่ยวกับสินค้ากลุ่มนี้ในสหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้น 12% – 50% ขึ้นอยู่กับว่าในท้ายที่สุดแล้ว    ตัวนโยบายกำแพงภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์จะลงตัวที่อัตราใดกันแน่ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรนั้น สหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับสภาวะต้นทุนสินค้ากลุ่มนี้ที่แพงขึ้น สวนทางกับทิศทางการเติบโตของการใช้พลังงานสะอาดซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

จากการรวบรวมข้อมูลของ Wood Mackenzie พบว่าในปัจจุบันสหรัฐฯ สามารถผลิตกลุ่มสินค้าระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ได้เพียง 6% ของปริมาณความต้องการทั้งหมดเท่านั้น และคาดการณ์ว่าอาจขยับไปถึง 40% ได้ภายในปี 2030 ภายใต้สถานะและเงื่อนไขในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามอัตราเหล่านี้ไม่สามารถเทียบได้กับเศษเสี้ยวของโครงการและอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการผลิตเซลล์แบตเตอรี่ในสหรัฐฯ ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งยังมิได้นับรวมถึงการบริโภคในระดับที่เล็กกว่าลงไป ทำให้ในปัจจุบันสหรัฐฯ พึ่งพาการนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้เป็นหลักแทบจะทั้งหมด ซึ่งประเทศจีนคือผู้ส่งออกรายสำคัญที่สุด (ข้อมูลปรากฎตามแผนภาพที่ 1)

นั่นหมายความว่าภายใต้สงครามการค้าและความไม่แน่นอนของนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ที่กำลังทำกับประเทศจีนนั้น สร้างความหวั่นวิตกให้กับบรรดาผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องของสหรัฐฯ แม้ว่าในขณะนี้สหรัฐฯ และจีนจะได้มีข้อตกลงชะลอการเรียกเก็บอัตรากำแพงภาษีชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน กลุ่มสินค้าระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่จากประเทศจีนเข้าข่ายอัตรากำแพงภาษีอยู่ที่ 40% ซึ่งมีการคาดการณ์อัตรากำแพงภาษีชุดใหม่ในกรณีที่หลากหลายเมื่อพ้นกำหนด 90 วันนี้ไปแล้ว โดยในกรณีที่สูงที่สุดอัตรากำแพงภาษีสินค้ากลุ่มนี้จากประเทศจีนรวมแล้วอาจสูงถึง 150% เลยทีเดียว (ทั้งนี้ประเทศผู้ส่งออกรายอื่นอาจมีอัตราที่แตกต่างกันไป)

สภาวะกลุ่มสินค้าระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ภายใต้ภาษีทรัมป์ 2.0

แผนภาพที่ 1: แสดงข้อมูลสถิติมูลค่าการนำเข้า (USD) กลุ่มสินค้าระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ทั้งหมดจากประเทศผู้ส่งออก 5 อันดับแรกมายังสหรัฐฯ ในปี 2024

โดยสำหรับในส่วนของการคำนวณอัตราภาษีกลุ่มสินค้าระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่จากประเทศจีนนั้น ทางสมาคม CEA ได้แจกแจงไว้ว่าในการคำนวณอัตรากำแพงภาษีกลุ่มสินค้าดังกล่าวจากประเทศจีน ในท้ายที่สุดแล้วอาจประกอบด้วยอัตรากำแพงภาษี 5 อัตรา ประกอบด้วย

1) อัตรากำแพงภาษีตามพรบ. International Emergency Economic Powers Act (IEEPA)

2) อัตราภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม (พึ่งมีการปรับอัตราเพิ่มขึ้นเป็น 50% ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 4 มิถุนายน 2025 เป็นต้นมา)

3) อัตราภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff หรือที่ประธานาธิบดีทรัมป์เรียกว่า “Liberation Day Tariff”) ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2025 เป็นต้นมา

4) อัตราภาษีนำเข้าที่กำหนดขึ้นเฉพาะสินค้าจากประเทศจีน (Section 301 of the Trade Act of 1974) ซึ่งในปัจจุบันอยู่ที่ 7.5% และจะปรับขึ้นเป็น 25% เมื่อเข้าสู่ปี 2026

และ 5) อัตราภาษีเพิ่มเติมสำหรับ Active Anode Material จากประเทศจีน ซึ่งในปัจจุบันยังไม่ถูกกำหนดเป็นอัตราภาษี แต่กำลังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการสืบสวนเกี่ยวกับมาตรการ AD/CVD โดยกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ

ซึ่งโดยสรุปในภาพรวมนั้นอัตราภาษีกลุ่มสินค้าระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่จากประเทศจีนที่นำเข้ามายังสหรัฐฯในขณะนี้จนถึงวันที่ 12 สิงหาคม (ครบกำหนด 90 วัน) จะอยู่ที่ 40.9% และจากนั้นเป็นต้นไปถึงวันสุดท้ายของปีคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 64.9% และเมื่อเข้าสู่ปีถัดไปอาจปรับขึ้นไปถึง 82.4% ซึ่งทั้งหมดต้องเน้นย้ำว่าการวิเคราะห์และคาดการณ์จากข้อมูลที่มีในขณะนี้เท่านั้น

บทวิเคราะห์/ข้อเสนอแนะ: ภายใต้เงื่อนไขและสภาวะที่กำลังเกิดขึ้นกับสินค้ากลุ่มสินค้าระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่อย่างนี้ ทำให้บรรดาผู้ประกอบการและผู้นำเข้าสินค้ากลุ่มเหล่านี้ต่างพยายามเสาะหาแหล่งนำเข้าสินค้าทางเลือกที่ทดแทนกันได้ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงอัตรากำแพงภาษีนำเข้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ เฉกเช่นเดียวกับสินค้าประเภทอื่นๆ ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งโอกาสทางการค้าของผู้ประกอบการและผู้ส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ของประเทศไทยในการช่วงชิงโอกาสการขยายตลาดสินค้ามายังสหรัฐฯ แม้ว่าในปัจจุบันประเทศไทยจะมีมูลค่าการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้มายังสหรัฐฯ ไม่มากเมื่อเทียบกับผู้ส่งออกรายอื่นในภูมิภาคเดียวกัน (ข้อมูลตามแผนภาพที่ 2) โดยอาศัยการพัฒนาเชิงคุณภาพ และการแข่งขันทางราคา ควบคู่ไปกับการติดตามความเปลี่ยนแปลงของอัตราภาษีอย่างใกล้ชิด แม้ว่าจะเป็นที่รู้กันว่าจีนเป็นผู้ผลิตระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ที่มีต้นทุนที่ต่ำที่สุดในขณะนี้แล้วก็ตาม แต่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องหรือที่ต้องใช้ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ ยังคงมีความต้องการอย่างมากในอนาคต

สภาวะกลุ่มสินค้าระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ภายใต้ภาษีทรัมป์ 2.0

แผนภาพที่ 2: แสดงข้อมูลสถิติมูลค่าการนำเข้า (USD) กลุ่มสินค้าระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ทั้งหมด จากประเทศไทยและประเทศผู้ส่งออกรายอื่นในภูมิภาคมายังสหรัฐฯ ในปี 2024

ที่มา: Energy Storage News  เรื่อง: “U.S. Import Tariff Analysis Spells Out Extent of Challenge Facing U.S. Battery Storage Industry”  โดย: Andy Colthorpe  สคต. ไมอามี /วันที่ 4 มิถุนายน 2568

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.ditp.go.th/post/205799&ct=ga&cd=CAIyHDI4ODcxZTExZDQzMWVlYzA6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw0q5eymjndvuNPfzX3E7q85

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *