‘วิกฤตขาดแคลนเภสัชกร-แข่งขันสูง’ ผ่าความมั่นคงทางยาของไทย
จากการวิเคราะห์ข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม พบว่า ปริมาณการผลิตและจำหน่ายยาของไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ปรับตัวลดลงที่ 7.2%YoY และ 8.5%YoY ตามลำดับ
- เภสัชกร มีบทบาททุกมิติตั้งแต่ต้นน้ำไปถึงปลายน้ำในอุตสาหกรรมยา โดยเฉพาะการผลิตและพัฒนายา งานวิจัย นวัตกรรมใหม่ๆ และการให้บริการด้านยา ซึ่งจะไม่เกี่ยวกับการควบคุมราคายา หรือการผลิตยาเชิงพาณิชย์
- บาลานซ์ระหว่างการเข้าถึงยา กับราคาที่สมเหตุสมผล ไม่ใช่ราคาถูกจนไม่เหลือทุนให้ภาคเอกชนได้นำมาต่อยอดวิจัย และพัฒนายาได้
- ปัจจัยที่ทำให้ทยมีความมั่นคงทางยาได้ ต้องสนับสนุนภาคการศึกษาให้อาจารย์ทำวิจัย ผลิตและพัฒนายา คิดค้นสารสกัดใหม่ๆ และส่งเสริมภาคเอกชน มีหน่วยงานแมชชิ่ง ระหว่างภาคการศึกษากับภาคเอกชนเข้าด้วยกัน
จากการวิเคราะห์ข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม พบว่า ปริมาณการผลิตและจำหน่ายยาของไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ปรับตัวลดลงที่ 7.2%YoY และ 8.5%YoY ตามลำดับ โดยมีสาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อจากทั้งในและต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมยายังคงเผชิญความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบตัวยาสำคัญ (APIs) จากต่างประเทศในสัดส่วนสูง รวมถึงต้นทุนการผลิตที่ยังคงถูกกดดันจากระดับราคาพลังงาน ประกอบกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการปรับปรุงโรงงานให้ได้ มาตรฐาน GMP-PIC/S
ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของผู้ประกอบการ อีกทั้ง ผู้ผลิตยาของไทยยังมีแนวโน้มต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นจากการนำเข้ายาราคาถูกโดยเฉพาะจากจีนและ อินเดียซึ่งมีความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิต
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
‘ทีเซลส์’ เสริมแกร่งอุตสาหกรรมยา ดัน ATMPs ด้วยวิจัยต่อยอดร่วมAI
‘ยา -ผลิตภัณฑ์การแพทย์’ไม่กระทบ ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าจากไทย36%
“เภสัชกร”เบื้องหลังยาไทยมั่นคง
“เภสัชกร”มีบทบาทเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยาหลากหลายด้าน ตั้งแต่การผลิต การควบคุมคุณภาพ การตลาด และการให้บริการยาในสถานพยาบาลหรือร้านยา ดังนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่า เภสัชกรมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของวงจรอุตสาหกรรมยา ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ
ศ.ดร.ภก.พรศักดิ์ ศรีอมรศักดิ์ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ถึงสถานการณ์ความมั่นคงยาของประเทศไทยว่า การจะมองว่าประเทศไทยมีความมั่นคงด้านยาอยู่ในระดับใด ต้องพิจารณาว่าประเทศสามารถพึ่งพาตนเองได้หรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ อย่าง การเกิดโควิด-19 ว่าไทยมียาเพียงพอ และสามารถที่จะจัดหาให้รองรับความต้องการในการป้องกัน ดูแลรักษาผู้คนหรือไม่ รวมถึงการวิจัยและพัฒนาตัวยาใหม่ๆ ขึ้นมา ทั้งในกระบวนการผลิต วัตถุดิบ และการบริการเข้าถึงยาอย่างทั่วถึง หากผลิตหรือพัฒนายาขึ้นได้ภายในประเทศ ก็จะทำให้ความมั่นคงทางยาของประเทศมีมากขึ้น
“เภสัชกร มีบทบาททุกมิติตั้งแต่ต้นน้ำไปถึงปลายน้ำในอุตสาหกรรมของยา โดยเฉพาะการผลิตพัฒนายา งานวิจัย และนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงการให้บริการด้านยา ทั้งในโรงพยาบาล หรือร้านยาต่างๆ ซึ่งกลุ่มเภสัชกรส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องงานวิจัยและด้านวิชาการเป็นหลัก ส่วนประเด็นการควบคุมราคายา หรือการแข่งขันในอุตสาหกรรมยาจะเป็นเรื่องของภาคธุรกิจและภาครัฐ หรือส่วนงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง”
ไทยต้องพึ่งพาวัตถุดิบยาต่างชาติ
กระบวนการผลิตยาภายในประเทศ อย่าง การผลิตยาสามัญ วัตถุดิบทางยาจำเป็นต้องพึ่งพาต่างชาติ สถานการณ์โควิด-19 มีการปิดประเทศ ทำให้ไม่สามารถขนส่งวัตถุดิบทางยาข้ามประเทศได้ ดังนั้น หากประเทศไทยยังไม่สามารถผลิตวัตถุดิบทางยาได้ จำเป็นต้องกระจายแหล่งการนำเข้าจากหลากหลายประเทศ
ศ.ดร.เภสัชกรพรศักดิ์ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยไม่สามารถผลิตวัตถุดิบทางยาได้ เพราะต้องยอมรับเรื่องความคุ้มทุนเชิงธุรกิจ และการแข่งขันกับประเทศมหาอำนาจ ดังนั้น จะให้ทางภาคเอกชน ผู้ประกอบการผลิตยาขึ้นมาคงเป็นไปได้ยาก ส่วนภาคการศึกษา อย่าง คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่างๆ จะเป็นการผลิตเภสัชกรที่มีคุณภาพ มาตรฐาน มีองค์ความรู้ มีความเชี่ยวชาญ และมีจริยธรรมวิชาชีพ รวมถึงมีบทบาทในการศึกษาวิจัยและพัฒนายาสามัญ สารสกัดผลิตภัณฑ์เม็ดยา ผลิตสารช่วยทางเภสัชกรรม และเทคโนโลยีสมัยใหม่
“ขั้นตอนการวิจัย การผลิตและพัฒนายา เป็นกระบวนการที่ใช้เวลา 10-20 ปี และกว่าจะได้ยา ต้องมีการศึกษาทั้งโครงสร้างทางเคมี การออกฤทธิ์ การทดสอบในหลอดทดลอง ทดลองในสัตว์ และทดลองในคน อีกทั้งต้องมีการควบคุมที่เข้มข้น ยิ่งยาเคมีมีข้อจำกัดมาก การจะผลิตในไทยสามารถทำได้น้อย ส่วนใหญ่จะเป็นยาสมุนไพร หรือยาจากธรรมชาติ ที่ทั้งมหาวิทยาลัย เภสัชกร ภาครัฐ ภาคเอกชนเข้ามาสนับสนุนการวิจัยมากขึ้น และกระตุ้นภาคการศึกษา ทำให้เกิดการต่อยอดทางพาณิชย์ ครบวงจรในอุตสาหกรรมยา”
นอกจากนั้น การเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง จำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก และการพัฒนายาโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงต้องขึ้นทะเบียนยาจากอย. ร่วมด้วย เพื่อความปลอดภัย และประสิทธิภาพจริง คุณภาพของยา
บาลานซ์เข้าถึงยา-ราคาสมเหตุสมผล
ปัจจุบัน การแข่งขันธุรกิจยา ประเภทยาสามัญ มีการแข่งขันในเชิงราคา ภาครัฐเอง รพ.ต่างๆ อยากได้ยาราคาถูก ทำให้โรงงานยาในเมืองไทยแข่งขันกันลดราคา ทำให้ได้กำไรน้อย โอกาสเอาเม็ดเงินไปวิจัย พัฒนา หรือลงทุนเทคโนโลยีก็น้อยไปด้วย
ศ.ดร.เภสัชกรพรศักดิ์ กล่าวด้วยว่าการผลิตและพัฒนายาในประเทศ จะไม่ได้เป็นยาใหม่ แต่เป็นยาสามัญที่ยาต้นแบบหมดสิทธิบัตร และขณะนี้มีหลายๆ บริษัทผลิตยาสามัญขึ้น ฉะนั้น โดยส่วนตัวมองว่า ต้องบาลานซ์ระหว่างการเข้าถึงยา กับราคาที่สมเหตุสมผล ไม่ใช่ราคาถูกจนไม่เหลือทุนให้ภาคเอกชนได้นำมาต่อยอดวิจัย และพัฒนายาได้ อีกทั้งก็ไม่ควรจะราคาแพงจนประชาชนไม่สามารถเข้าถึงยาได้ จึงควรมีหน่วยงานกลางในการประสานกับงานวิจัยและใช้ประโยชน์ได้จริง ทำให้งานวิจัยไปสู่เชิงพาณิชย์ ที่ทำให้เกิดการผลิตยาและการกระจายยาที่เหมาะสม
ผลิตเภสัชกร เสริมความมั่นคงทางยา
ขณะนี้สภาคณบดีคณะเภสัชศาสตร์แห่งประเทศไทย (สคภท.), สภาเภสัชกรรม, ราชวิทยาลัยเภสัชกรรมแห่งประเทศไทย และเครือข่ายสมาคมองค์กรวิชาชีพเภสัชกรรม หลายๆองค์กรมีการส่งเสริมการพัฒนาเภสัชกรให้มีคุณภาพ มีจริยธรรมวิชาชีพ และส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล ไม่ให้เกิดความสิ้นเปลือง หรือใช้ยาโดยไม่จำเป็น และพยายามรณรงค์ พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้นิสิตนักศึกษาตระหนักในส่วนนี้
“การผลิตเภสัชกร แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มทำงานกับผู้ป่วย อย่าง บริบาลเภสัชกรรมในโรงพยาบาล 2.กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ เภสัชกรรมอุตสาหการ และ3.กลุ่มคุ้มครองผู้บริโภคด้านยา โดยหลักสูตรแต่ละมหาวิทยาลัยจะมีมาตรฐานตามสภาวิชาชีพ และจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ รวมถึงส่งเสริมการศึกษาและการวิจัยด้านเภสัชกรรม สภาเภสัชกรรมมีบทบาทสำคัญในการรับรองใบอนุญาตผู้ประกอบวิชาชีพ รับรองปริญญา/วุฒิบัตร,และควบคุมมาตรฐานทางวิชาการของเภสัชกร ซึ่งอาจมีจุดเน้นที่แตกต่างกัน แต่ทุกคณะทุกมหาวิทยาลัยต้องผ่านข้อบังคับของสภาเภสัชกรรมถึงจะเปิดการเรียนการสอนได้”
ไทยสามารถผลิตเภสัชกรได้ประมาณ 2,000 คน ต่อปี ซึ่งปัญหาการขาดแคลนเภสัชกรเริ่มตั้งแต่ปีที่ 2567 ที่ผ่านมา โดยมาตรฐาน GDP มีการกำหนดว่าร้านยาต้องมีเภสัชกรปฎิบัติงานประจำตลอดเวลา ซึ่งกฎหมายนี้กำหนดมา 7-8 ปีแล้วแต่มีการผ่อนผันมาตลอด จนกระทั่งปีที่ผ่านมา ไม่มีการผ่อนผันแล้ว ถ้าร้านยาไม่มีเภสัชกรประจำก็ต้องปิดร้าน หรือขายได้เฉพาะยาสามัญประจำบ้าน แต่ยาควบคุมไม่สามารถขายได้
ร้านยามีประมาณ 5,000 ร้าน พอกฎหมายบังคับให้ใช้ทำให้ร้านยามีการดึงเภสัชกรจากโรงพยาบาล หรือโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้เกิดการขาดแคลน และคาดว่าจะใช้เวลา 4-5 ปี จะมีการฟื้นตัวกลับมา
“ปัจจัยที่ทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงทางยาได้ จะต้องมีการสนับสนุนภาคการศึกษาให้อาจารย์ทำวิจัย ผลิตและพัฒนายา คิดค้นสารสกัดใหม่ๆ และต้องส่งเสริมภาคเอกชน หากมีหน่วยงานที่มาเชื่อมแมชชิ่ง ระหว่างภาคการศึกษากับภาคเอกชน เพราะอุตสาหกรรมยามีอัตราการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งยาเป็นปัจจัย 1 ใน 4 และมีผู้สูงอายุมากขึ้น ความต้องการและปริมาณการใช้ยาน่าจะมีการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โอกาสและธุรกิจยาก็จะเติบโตได้ แต่ต้องมีการควบคุมมาตรฐานให้เป็นไปตามเกณฑ์ การผลิตยาของโรงงานหรือบริษัทนั้นๆ ต้องมีคุณภาพ เพื่อให้ได้ยาคุณภาพ และปลอดภัย”
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.bangkokbiznews.com/health/well-being/1185131&ct=ga&cd=CAIyHDI4ODcxZTExZDQzMWVlYzA6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw02ijFxdlm8_8UEGe3QWpZz