สังคมไทยยังให้ความสนใจต่อ “ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การศึกษาฉบับใหม่” ที่ต่างมีความคาดหวังจะเห็นการยกระดับการศึกษาให้มีคุณภาพ สามารถพัฒนาไปตามการเปลี่ยน แปลงของโลก
เพราะการศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศ “ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาฉบับใหม่” จึงเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษา ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนที่เปลี่ยนไปในยุคปัจจุบันสู่อนาคต
จึงมีผลต่อระบบการศึกษาทั้งหมด “สภาองค์กรของผู้บริโภค” จึงจัดเวทีสะท้อนเสียงคนหน้างานต่อร่าง พ.ร.บ.การศึกษา นำเสนอแนวทางในการปรับปรุงระบบการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคม และอนาคตของประเทศโดย ลีนวัฒน์ ริ้วธำรงสฤษฏ์ คณะอนุกรรมการด้านการศึกษา ในมุมมองของผู้เรียน บอกว่า
ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาฉบับใหม่มีความน่าสนใจ “ในเชิงยกเครื่องระบบการศึกษาไทยที่ไม่เคยถูกปรับปรุงมานาน” แต่ก็ยังมีเนื้อหาต้องเพิ่มเติมอีกมาก เพื่อให้เด็กเข้าถึงการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ “ไม่หลุดออกจากระบบ” อย่างการอุดหนุนให้เด็กเรียนฟรี “ภาครัฐ” ควรสนับสนุนให้สามารถเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม

เพราะโครงการเรียนฟรีมีเฉพาะโรงเรียนรัฐ “ควรให้โรงเรียนเอกชนมาเป็นส่วนหนึ่งด้วย” ส่วนกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ควรลดการพิสูจน์ความจน เปิดโอกาสให้กู้เงินเรียนได้ง่ายเพื่อพัฒนาสู่ตลาดอาชีพ
ทั้งเปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วม “ในคณะกรรมการการศึกษา” แต่ก็มีความกังวลหากโรงเรียนเป็นนิติบุคคล “นักเรียนที่มีบทบาทในคณะกรรมการฯ” อาจรับผิดชอบทางกฎหมายกระทบต่อสถานะทางการศึกษา เช่นนี้ควรมีมาตรการกลไกรับฟังความเห็นของนักเรียนบรรจุไว้ในร่างกฎหมายฉบับใหม่ที่สามารถตัดสินใจได้ทุกเรื่อง
ถัดมาคือ “หลักสูตรการศึกษา” ด้วยปัจจุบันการใช้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็ว แต่ว่าหลักสูตรการศึกษาไทยกลับไม่ถูกพัฒนาที่ควรจะเป็น ดังนั้นควรกำหนดเวลาการปรับปรุงหลักสูตรแกนกลางให้ชัดเจน “เปิดโอกาสให้โรงเรียนปรับเนื้อหาเพิ่มเติม” ตามบริบทของแต่ละพื้นที่ให้สอดรับการใช้ชีวิตของคนท้องถิ่นนั้น
ขณะที่ “โรงเรียนควรมีความปลอดภัย” โดยเฉพาะการกลั่นแกล้งบูลลี่กันในโรงเรียน และออนไลน์ที่เป็นปัญหาน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงความปลอดภัยในการเดินทางของนักเรียนที่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุก็มีความสำคัญ “บทบาทครู” ควรทำหน้าที่ในการสอนอย่างเต็มที่ “มิใช่ต้องมีงานพิเศษ” ทั้งงานธุรการการเงิน งานพัสดุ งานวิชาการ

กลายเป็นโฟกัสนักเรียนลดน้อยลง “เขตการศึกษา” ต้องสนับสนุนส่งเสริมโรงเรียนในสิ่งที่ขาดแคลนมากกว่าบทบาทการกำกับติดตามในส่วนการกระจายอำนาจทางการศึกษาสู่ “ท้องถิ่น” อาจต้องลดกำแพงข้อจำกัดในระเบียบต่างๆ เพื่อให้ อปท.มีส่วนร่วมพัฒนาการศึกษาทั้งภาคบังคับ-ขั้นพื้นฐานสอดรับความต้องการพื้นที่ และผู้เรียน
“เท่าที่ดูร่าง พ.ร.บ.การศึกษาฉบับใหม่หลายร่างนั้นก็ปรากฏสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นอยู่บ้างเพียงแต่ยังไม่ระบุลงเนื้อหารายละเอียดให้ชัดเจน ดังนั้นจึงอยากสะท้อนในมุมมองข้อเสนอของเด็กและเยาวชนถึงประเด็นสำคัญ เพื่อให้การศึกษาไทยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนอย่างแท้จริง” ลีนวัฒน์ ว่า
เช่นเดียวกับ ปาริชาต ชัยวงษ์ คณะอนุกรรมการด้านการศึกษา มุมมองของคุณครู บอกว่า ความจริงควรมีการจัดลำดับความสำคัญ “เชิงอำนาจระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวกับโรงเรียน” เพื่อจำกัดเขตอำนาจเหนือหน่วยอย่าง “เขตพื้นที่การศึกษา” เพราะตาม พ.ร.บ.การศึกษาฯ มักให้อำนาจสิทธิกำกับควบคุมส่งเสริมสนับสนุน
แต่ไม่มีช่องให้โรงเรียนนำเสนอ “สิ่งที่ต้องการ หรือไม่ต้องการ” แล้วงานบางอย่างก็ไม่เป็นไปตามหลักจรรยาบรรณจนภาระหน้าที่ครู และผู้บริหารโรงเรียนเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็นอย่างโรงเรียนสีขาว โรงเรียนสีเขียว โรงเรียนวิถีพุทธ หรือโรงเรียนที่เป็นจุดเน้นของเขตพื้นที่การศึกษาขณะนั้นต้องการให้เกิดขึ้นเป็นแบบอย่างเดียวกัน
ทำให้เป็นภาระบนบ่า ผอ.ร.ร.จะต่อต้านระบบหรือไม่ต่อต้าน ดังนั้นหากแก้ไขระบบได้อยากเสนอว่า “ร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่” ควรมีพื้นที่สำหรับคุ้มครองเสรีภาพ “พิทักษ์สิทธิครู” เพื่อให้ทำการสอนได้อย่างเต็มที่เชื่อมโยงกับ “สิทธิของนักเรียน” แม้ว่าร่าง พ.ร.บ.หลายฉบับให้ความสำคัญกับสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างครอบคลุมค่อนข้างมาก

แต่ขาดการกำหนดหน้าที่หน่วยงานรับผิดชอบโดยตรงให้ชัด เช่นนี้อาจจะกลับมาเป็นหน้าที่โรงเรียนต้องรับภาระได้ ซึ่งหากระบุหน่วยงานมีหน้าที่รับผิดชอบไว้ก็จะดี เพื่อความรับผิดชอบจะไม่มาตกกับโรงเรียนดังเดิม
ประเด็นถัดมา “เป้าหมายการศึกษา” ถ้านำร่าง พ.ร.บ.แต่ละฉบับมาเปรียบเทียบก็พบว่า “อุดมคติการศึกษาแตกต่างกันหลายฉบับ” บางร่างเน้นศีลธรรมจรรยาสร้างคนดีเป็นเป้าหมายจัดการการศึกษา บางร่างเน้นตอบโจทย์ตลาดแรงงานนำสู่การสร้างโอกาสมีงานทำ กระตุ้นเศรษฐกิจ บางร่างเน้นพลเมืองโลกเข้าใจสิทธิมนุษยชน
สิ่งที่น่าสนใจคือ “รูปแบบทางการศึกษา” ในร่าง พ.ร.บ.หลายฉบับพยายามเบลอเส้นแบ่งขอบเขตรูปแบบทางการศึกษาที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ 2542 ทั้งในระบบ นอกระบบและตามอัธยาศัย จึงอยากเสนอแนวทางให้สามารถถ่ายโอนหน่วยกิตผนวกรูปแบบการเรียนรู้ให้เป็นเนื้อเดียวกันได้ก็จะดียิ่งขึ้น
ด้าน ดร.ศุภโชค ปิยะสันติ์ คณะอนุกรรมการด้านการศึกษา ในฐานะ ผอ.โรงเรียน บอกว่า หากย้อนดู พ.ร.บ.การศึกษาฯ 2542 เคยระบุเรื่องการกระจายอำนาจไว้แล้ว “ผ่านมา 20 ปีกลับยังไม่สามารถกระจายอำนาจได้จริง” ทั้งที่โรงเรียน ผู้บริหาร และชุมชน ต่างก็มีความพร้อมมากขึ้นกว่าในอดีตด้วยซ้ำ
เพราะเส้นทางการมอบหมาย “นโยบายการศึกษามีความซับซ้อน” จนขาดการบูรณาการทำให้เด็กไม่สามารถเปลี่ยนผ่านระหว่างระบบได้ จึงเสนอให้ระบบควรมีความยืดหยุ่นสามารถเปลี่ยนสายการเรียนได้ง่ายขึ้น
แม้แต่นโยบายเรียนฟรี 15 ปี “ก็มีความเหลื่อมล้ำ” เพราะมีการเรียกเก็บสำหรับโรงเรียนต้องการคุณภาพสูง เช่นนี้ต้องจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสมให้เกิดความเสมอภาคแท้จริง “หลักสูตร และการเรียนรู้” ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรเพียงแต่กำหนดในร่าง พ.ร.บ.ให้ชัด เพราะการสอนแบบท่องจำเกินไปไม่ตอบโจทย์เด็กยุคใหม่
ดังนั้นร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้หากออกมาคงต้องใช้ไปอีก 10 ปี จึงต้องมองไปข้างหน้าจนมีคำถามว่าสิ่งที่เราคุ้นเคยยังจำเป็นอยู่หรือไม่ แล้วถ้าดูแนวโน้มในหลายประเทศยืนยันได้ว่า “การกระจายอำนาจ” ด้วยการให้อำนาจในการตัดสินใจของพื้นที่ที่มักจะเข้าใจเด็กมากที่สุด เพื่อให้หลักสูตรการศึกษาสามารถเชื่อมโยงวิถีชุมชนอย่างแท้จริง
นี่คือข้อเสนอที่มีต่อ “ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาฉบับใหม่” เพื่อให้ระบบการศึกษาไทยก่อเกิดการยกระดับเปลี่ยนแปลงนำไปสู่การมีคุณภาพที่ดี ตอบโจทย์ทั้งผู้เรียน ครู และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน…
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thairath.co.th/news/local/2862404&ct=ga&cd=CAIyHDI4ODcxZTExZDQzMWVlYzA6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw17h3KMe3Rc3YqiO2FtNgIM