รู้ตัวหน่อย!!! วิจัยเตือน 3 พฤติกรรมพ่อแม่ “ฉุดไอคิวลูก” ลดลงถึง 20% ทำลายอนาคตไม่รู้ตัว

รู้ตัวหน่อย!!!-วิจัยเตือน-3-พฤติกรรมพ่อแม่-“ฉุดไอคิวลูก”-ลดลงถึง-20%-ทำลายอนาคตไม่รู้ตัว
รู้ตัวหน่อย!!! วิจัยเตือน 3 พฤติกรรมพ่อแม่ “ฉุดไอคิวลูก” ลดลงถึง 20% ทำลายอนาคตไม่รู้ตัว

งานวิจัยจากสหรัฐฯ เผย 3 พฤติกรรมของพ่อแม่ที่ “บั่นทอน”สติปัญญาลูกแบบไม่รู้ตัว ไอคิวอาจลดลง 15–20% 

ผลการศึกษาระยะยาวกว่า 10 ปี จากศูนย์วิจัยจิตวิทยาเด็กแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งติดตามพฤติกรรมการเลี้ยงดูในครอบครัวกว่า 2,000 ครอบครัว พบข้อสรุปที่น่าตกใจว่า พฤติกรรมที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัยของพ่อแม่ อาจทำให้ไอคิวของเด็กลดลงถึง 15–20%! สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่แฝงอยู่ในการใช้ชีวิตประจำวัน และพ่อแม่จำนวนมากกำลังทำโดยไม่รู้ตัว

โดย 3 พฤติกรรมที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า “ทำลาย” พัฒนาการทางสติปัญญาของลูก มีดังนี้

1. ตะคอก ใช้คำพูดรุนแรงกับลูก

งานวิจัยของทีมศาสตราจารย์ Teicher จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ชี้ให้เห็นว่า เด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่ตะคอกหรือใช้คำพูดรุนแรงเป็นประจำ จะมีการเชื่อมโยงของสมองระหว่าง พื้นที่รับรู้ภาษา (Wernicke’s area) และ สมองส่วนหน้าผาก (prefrontal cortex) อ่อนแอลง ส่งผลโดยตรงต่อทักษะการเข้าใจและสื่อสารภาษา

นอกจากนี้ในปี 2011 ทีมวิจัยยังพบว่า เด็กที่ถูก “ทำร้ายทางคำพูด” มีปริมาณสสารสีเทาเพิ่มขึ้นในสมองส่วนขมับซ้าย ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาษา แต่การเพิ่มนี้เป็นสัญญาณของความผิดปกติทางพัฒนาการ

ผลกระทบโดยตรงคือ เด็กจะมีปัญหาด้านการเข้าใจและสื่อสาร ความจำลดลง สมาธิสั้น และพัฒนาการทางสติปัญญาถูกถ่วงรั้ง จนนำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ต่ำลงในระยะยาว

สิ่งที่น่าเศร้าคือ พ่อแม่จำนวนมากพูดว่า “ทำไมพูดเท่าไรก็ไม่เข้าใจ?” แล้วใช้ความรุนแรงทางคำพูดโดยไม่รู้ว่า ช่วงเวลาที่เด็กถูกดุ สมองของพวกเขากำลัง “ปิดรับข้อมูล” เพราะจมอยู่ในความกลัว ความกังวล และความไม่มั่นคงทางอารมณ์ เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดซ้ำบ่อยครั้ง เด็กจะขาดสมาธิ ตอบสนองช้า สูญเสียความมั่นใจ และค่อยๆ เชื่อในคำพูดลบที่พ่อแม่เผลอหลุดปากว่า “โง่” หรือ “ไม่ได้เรื่อง”

2. ติดป้ายแง่ลบและปฏิเสธลูกซ้ำๆ

คำพูดอย่างเช่น “ลูกทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง” , “ขี้เกียจเหมือนอะไรดี”, “ลูกนี่มันไม่ได้ความเลย” แม้เพียงพูดด้วยอารมณ์ชั่วขณะ แต่กลับส่งผลลึกซึ้งลงไปในใจเด็ก จิตวิทยาเรียกพฤติกรรมนี้ว่า “คำทำนายที่กลายเป็นจริง” (Self-fulfilling prophecy) เพราะเมื่อเด็กถูกตีตราว่า “ไร้ความสามารถ” ซ้ำๆ สุดท้ายพวกเขาจะเริ่มเชื่ออย่างนั้นจริงๆ และไม่กล้าลอง ไม่กล้าพลาด ไม่กล้าแสดงออก

บนเว็บไซต์ Zhihu ของจีน มีคำตอบหนึ่งโดดเด่นเมื่อมีคนถามว่า “เด็กที่ถูกปฏิเสธตั้งแต่เล็ก โตขึ้นจะเป็นอย่างไร?” คำตอบคือ “ทำอะไรก็รู้สึกหมดหวัง ไม่มีอะไรที่ทำได้จนสำเร็จจริงๆ” เพราะเด็กที่ถูกวิจารณ์แรงเกินไปจะค่อยๆ สูญเสียความกล้า ไม่กล้าก้าวออกจาก “พื้นที่ปลอดภัย” และคิดว่าตัวเองไร้ค่า อย่างที่ผู้ใหญ่เคยพูด

3. ปล่อยให้ลูกเสพ “ความสุขขยะ”

อีกหนึ่งพฤติกรรมที่ทำลายพัฒนาการลูกแบบเงียบๆ คือ การปล่อยให้ลูกติดกับ “ความสุขขยะ” เช่น วิดีโอสั้น, เกมออนไลน์ หรือท่องโซเชียลมีเดียแบบไม่จำกัด สิ่งเหล่านี้ให้ความรู้สึก “สุขฉับพลัน” จนทำให้เด็กเสพติดง่าย แต่ในระยะยาวจะทำให้สมองขี้เกียจคิด ขาดสมาธิ ควบคุมตัวเองได้น้อยลง และหมดไฟในการเรียนรู้

โดยเฉพาะในช่วงวัยประถม ซึ่งถือเป็น “ช่วงทอง” ของการฝึกนิสัยคิดวิเคราะห์และเรียนรู้ หากเด็กถูกปล่อยให้ใช้เวลากับสิ่งเหล่านี้มากเกินไป จะทำให้ความสามารถในการคิดลึก ทำสิ่งยาก และเรียนรู้ด้วยตนเองค่อยๆ หายไป

แล้วพ่อแม่ควรทำอย่างไร? สิ่งสำคัญที่สุดคือ “สร้างกรอบความคิดแบบเติบโต” (Growth Mindset) ให้ลูกเชื่อว่า “ฉันเก่งขึ้นได้ หากพยายาม” ไม่ใช่ “ฉันก็มีดีแค่นี้ พยายามไปเปล่าประโยชน์”

ชื่นชมลูกที่ความพยายาม ไม่ใช่เน้นแค่ที่ผลลัพธ์ เช่น แทนที่จะพูดว่า “เก่งจังได้ 10 คะแนนเต็ม” ให้เปลี่ยนเป็นพูดว่า “ลูกตั้งใจมากเลยนะ แม่เห็นความพยายามของลูก” หรือเวลาลูกทำสิ่งใดไม่ได้ อย่าเพิ่งด่วนตัดสิน แต่ให้พูดว่า “ยังทำไม่ได้ แต่เราหาวิธีใหม่กันนะ” ควรอดทนและใช้คำพูดนำทางแทนคำดุด่า เพราะคำพูดที่นุ่มนวลและให้กำลังใจต่างหาก ที่ช่วยให้สมองของเด็ก “เปิดรับ” การเรียนรู้ได้ดีที่สุด

อย่ารอจนกว่าลูกจะหมดความมั่นใจหรือหมดไฟในการเรียนรู้ ถึงจะหันกลับมาเปลี่ยนแปลง ความฉลาดของลูกไม่ได้ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมเพียงอย่างเดียว แต่ถูกหล่อหลอมทุกวันจากสายตา คำพูด และการอยู่เคียงข้างของพ่อแม่ เพียงปรับพฤติกรรมของเราในวันนี้ ก็เท่ากับเปิดประตูใหม่ให้อนาคตของลูกได้แล้ว… เพราะเด็กไม่ใช่คนโง่ พวกเขาแค่ต้องการความรัก และการนำทางที่ถูกต้องจากพ่อแม่เท่านั้นเอง

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://news.sanook.com/9800230/&ct=ga&cd=CAIyHDI4ODcxZTExZDQzMWVlYzA6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw2Mb-YGN39qUFmOjuSeHBhj

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *