‘พริษฐ์’ จี้รีเซตงบการศึกษา 6 ด้าน เหน็บทุน ‘ODOS’ เหมือนหวยเลขท้าย 2 ตัว | เดลินิวส์

‘พริษฐ์’-จี้รีเซตงบการศึกษา-6-ด้าน-เหน็บทุน-‘odos’-เหมือนหวยเลขท้าย-2-ตัว-|-เดลินิวส์
‘พริษฐ์’ จี้รีเซตงบการศึกษา 6 ด้าน เหน็บทุน ‘ODOS’ เหมือนหวยเลขท้าย 2 ตัว | เดลินิวส์

เมื่อวันที่ 30 พ.ค. เวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญเป็นพิเศษ ที่มีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วันที่ 3 โดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายงบประมาณด้านการศึกษา ว่า แม้การลงทุนในการศึกษาและการยกระดับภาคการศึกษานั้น เป็นการลงทุนที่ไม่เห็นผลทันที แต่ยังเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญมากต่อการทำให้ประเทศเราอยู่รอดและแข่งขันกับโลกในอนาคตได้ ขณะที่งบประมาณด้านการศึกษาของไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2567 ปีละ 4 เปอร์เซ็นต์ และกระทรวงศึกษาธิการได้รับงบประมาณเพิ่มมากที่สุด แต่ในรัฐบาลปัจจุบัน โครงสร้างงบประมาณการศึกษาไม่มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นหากเราต้องการให้เกิดความคุ้มค่า ต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาพใหญ่ โดยต้องรีเซตอย่างน้อย 6 ด้าน ซึ่งด้านแรก คือหลักสูตรที่ต้องไม่ใช่เหล้าเก่าในขวดใหม่ เพราะหลักสูตรเป็นหัวใจสำคัญของระบบการศึกษา แม้ปีนี้เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่กระทรวงศึกษาธิการประกาศว่าจะเดินหน้าหลักสูตรใหม่ฉบับปี 2568 ซึ่งเริ่มใช้บ้างแล้ว แต่เมื่อดูรายละเอียดไส้ใน กลับพบว่าหลักสูตรฉบับใหม่ถูกจัดทำแบบลวกๆ ไม่รอบคอบ และเสี่ยงต่อการทำให้หลักสูตรใหม่นี้เสียของ

“รัฐบาลเล่นท่ายากและท่าพิสดารโดยไม่จำเป็น ทางเลือกที่รัฐบาลสามารถเลือกได้แต่ไม่เลือก คือการเพิ่มการต่อยอดจากหลักสูตรฐานสมรรถนะ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการและผู้เชี่ยวชาญ และมีการเตรียมการวิจัยมาหลายปี ใช้งบประมาณหลายล้านบาท อบรมครูไปแล้วหลายส่วน นำร่องแล้วกว่า 200 โรงเรียน แต่สิ่งที่รัฐบาลเลือกคือการตั้งหลักสูตรขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ภายในระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือน ผมนับได้ 116-224 วัน” นายพริษฐ์ กล่าว

นายพริษฐ์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลไม่เผื่อเวลาเพียงพอให้ครูและสถานศึกษาเตรียมความพร้อมสำหรับหลักสูตรใหม่ เรามีการเปิดภาคเรียนเมื่อวันที่ 16 พ.ค. ที่ผ่านมา แต่เอกสารทั้งหมดเกี่ยวกับหลักสูตรใหม่ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 1 เม.ย. ที่ผ่านมา โรงเรียนมีเวลา 45 วัน ในการศึกษาและปรับวิธีการจัดการเรียนการสอนของครูให้สอดคล้องกับหลักสูตรใหม่ กระบวนการที่อาจไม่รอบคอบเพียงพอ อาจทำให้หลักสูตรใหม่ไม่ประสบความสำเร็จ ด้านที่ 2 คือเรื่องภาระงานครู ซึ่งทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าขาดแคลนอัตรากำลังคน การแก้ปัญหานี้ไม่ใช่การเพิ่มคนด้วยการสร้างงานเสมอไป แต่ถ้าสามารถลดภาระงานที่ไม่จำเป็นสำหรับครูออกไป อาทิ โครงการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมและธรรมาภิบาลในสถานศึกษา จะทำให้ครูมีเวลามากขึ้นในการเตรียมการเรียนการสอน

นายพริษฐ์ กล่าวว่า ด้านที่ 3 คือต้องลดความเหลื่อมล้ำ รัฐบาลต้องไปไกลกว่าการแจกทุน ซึ่งตนไม่ได้หมายความว่าการแจกทุนนั้นไม่ดี แต่การแจกทุนการศึกษาภายใต้ทรัพยากรที่จำกัด แต่การแจกทุนเท่าไหร่ก็อาจไม่พอ สำหรับโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุนการศึกษา หรือโอดอส (One Dicstrict One Scholarship – ODOS) ของรัฐบาล เป็นโครงการที่ช่วยเหลือนักเรียนกว่า 5,700 คน แต่ถ้าคิดเป็นจำนวนนักเรียนที่ได้ทุน ก็เหมือนกับการถูกหวยเลขท้าย 2 ตัว แม้ทุน ODOS จะสร้างอนาคตให้กับเด็กที่ได้รับทุนอย่างแน่นอน แต่รัฐบาลต้องเอาจริงเอาจังกว่านี้ในการแก้ปัญหาอื่น เพื่อทำให้เด็กที่ขาดโอกาสอีกจำนวนมาก ได้หลุดพ้นจากกับดักความยากจน โดยการหาทางออกของโรงเรียนขนาดเล็กที่ยังขาดงบประมาณ และต้องแก้ไขสถานการณ์ทางการเงินของกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ซึ่งรัฐบาลยังไม่แก้ปัญหาเชิงรุกมากเพียงพอ มิฉะนั้น โครงการ ODOS จะเป็นเพียงกิจกรรมเพื่อสังคมหรือซีเอสอาร์ ที่มีการประชาสัมพันธ์ให้ดูดี แต่ไม่ได้แก้ไขตัวกิจการหลักของกระทรวงศึกษาธิการ

นายพริษฐ์ กล่าวว่า ด้านที่ 4 คือการลงทุนในเทคโนโลยี รัฐบาลต้องไม่เน้นแค่การสร้างของเล่นใหม่ ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ลงทุนจำนวนมาก 13,000-15,000 ล้านบาท ในโครงการต่างๆของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีด้านการศึกษา เช่น โครงการแพลตฟอร์ม Anywhere Anytime เทียบเท่ากับการสร้างอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) 6-7 อาคาร ซึ่งหากเรากังวลเช่นไร กับการก่อสร้างอาคารที่อาจร้างหรือหรูหราเกินจำเป็น เราก็ต้องมาตรวจสอบการสร้างแพลตฟอร์มนี้เช่นกันที่อาจร้าง ไม่มีคนใช้ ซ้ำซ้อนกว่าที่มีอยู่ หรือหรูหราเกินจำเป็น ด้านที่ 5 คือการรีเซตใบปริญญาให้เชื่อมกับอนาคต ไม่เป็นแค่ใบการันตี ตนเข้าใจดีว่าใบปริญญาอาจจะเป็นใบเบิกทางในหลายด้านของชีวิต แต่ต้องยอมรับว่าการมีใบปริญญาในเวลานี้ไม่เพียงพอในการรับประกันว่าจะมีงานทำที่รายได้ดี หลังจากเรียนจบ เพราะหลักสูตรที่เรามีอาจไม่รับประกันว่าเด็กที่จบการศึกษามาอาจตอบโจทย์ความต้องการของตลาด ขณะที่กระทรวง อว. เคยยอมรับกับกรรมาธิการฯ ของตนว่าหลักสูตรไม่ได้ตอบโจทย์กับการศึกษา ซึ่ง อว. ยังไม่ได้ใช้งบประมาณที่ตอบโจทย์ในการเพิ่มแรงจูงใจให้มหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง มีการปรับสาขาวิชาและคณะให้เท่าทันตลาดมากขึ้น

นายพริษฐ์ กล่าวอีกว่า ด้านที่ 6 คือการรีเซตบทบาทรัฐเกี่ยวกับการยกระดับแรงงาน หลายครั้งที่รัฐเผลอไปคิดแทนตลาด โครงการที่เข้าข่ายในเรื่องนี้ คือโครงการเชฟ 1 หมู่บ้าน 1 อาหารไทย ภายใต้นโยบายซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งปีนี้ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 70 ล้านบาท เพื่อผลิตเชฟเข้าสู่เข้าสู่อุตสาหกรรมอาหาร ตนคิดว่าในห้วงเวลาที่ธุรกิจร้านอาหารกำลังซบเซา มีการปิดธุรกิจร้านอาหารเพิ่มขึ้น 89 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2567 หลายคนบอกว่าเป็นการเผาจริง แต่รัฐบาลไปวิเคราะห์และจับสัญญาณตลาดอย่างไร ถึงได้ข้อสรุปเป็นแบบนี้ ตนขอเสนอโมเดลหนึ่งที่ชื่อว่า “เอกชนเลือก ผู้เรียนฝึก รัฐจ่าย” เป็นการรวบงบประมาณของโครงการ ยกระดับทักษะที่ให้ผู้เรียนไปเลือกเองว่าจะเรียนเกี่ยวกับอะไร

“การศึกษานั้น ไม่ได้มีแค่ความสำคัญกับอนาคตของประเทศ เพื่ออนาคตของลูกหลานเรา แต่การศึกษานั้นเป็นบริการแรกที่เราได้รับจากรัฐเกิดขึ้นในประเทศนี้ ดังนั้น หากเราต้องการให้ประชาชนในประเทศนี้มีสัมผัสแรกกับรัฐที่ดี ผมเห็นว่าวาระการปฏิรูปการศึกษานั้น เป็นวาระที่เร่งด่วนและรอไม่ได้ เหมือนกับที่มีท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ ไม่ทำตอนนี้แล้วจะทำตอนไหน” นายพริษฐ์ กล่าว

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.dailynews.co.th/news/4762571/&ct=ga&cd=CAIyHDI4ODcxZTExZDQzMWVlYzA6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw2gpyzu9YE0flEnthClAwYf

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *