ผลจากสงครามของทรัมป์-ฮาร์วาร์ด จะคงอยู่นานกว่าวาระของประธานาธิบดีสหรัฐฯ
-
- Author, แอนโธนี ซูร์เชอร์
- Role, ผู้สื่อข่าวอาวุโสประจำอเมริกาเหนือ
- Twitter, @awzurcher
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ยุ่งวุ่นวายตลอด 7 วันที่ผ่านมา เมื่อวันจันทร์ เขาขู่ว่าจะนำเงินทุนวิจัย 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดไปใช้กับโรงเรียนอาชีวศึกษา วันอังคาร ทำเนียบขาวส่งจดหมายถึงหน่วยงานของรัฐบาลกลางสั่งให้หน่วยงานเหล่านี้ทบทวนสัญญามูลค่าประมาณ 100 ล้านดอลลาร์ที่รัฐบาลมอบให้แก่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และ “หาผู้รับเงินทุนรายอื่น” ที่เป็นไปได้ เมื่อวันพุธ เขายังย้ำเรื่องนี้เพิ่มเติม
“ฮาร์วาร์ดต้องประพฤติตัวให้ดี” ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่รวมตัวกันที่ห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาว
“ฮาร์วาร์ดปฏิบัติต่อประเทศของเราอย่างไม่ให้เกียรติอย่างยิ่ง และสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ ก็ยิ่งทำให้ประเทศของเราถลำลึกขึ้นเรื่อย ๆ”
เมื่อรวมกับความพยายามอื่น ๆ ของฝ่ายบริหาร เช่น การอายัดทุนวิจัยกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ และการสั่งระงับไม่ให้นักศึกษาต่างชาติลงทะเบียนเรียนที่ฮาร์วาร์ด คำสั่งของทรัมป์ถือเป็นการโจมตีโดยตรงต่อสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มีชื่อเสียงและร่ำรวยที่สุดแห่งหนึ่งของชาติ
ถึงแม้การยื่นฟ้องศาลของฮาร์วาร์ดได้นำไปสู่การยกเลิกและระงับคำสั่งของรัฐบาลทรัมป์ชั่วคราว แต่ผลกระทบนี้ยังคงรู้สึกได้ในระบบการศึกษาระดับสูงของอเมริกา
เกร็ก วูล์ฟสัน ประธานสมาคมศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยแห่งสหรัฐฯ (AAPU) กล่าวว่า “พวกเขาทำหลายสิ่งหลายอย่างทุกวัน และบางอย่างก็แอบแฝงเข้ามา แต่ที่สำคัญกว่านั้น พวกเขากำลังเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม พวกเขากำลังเปลี่ยนแปลงผู้คน”
ที่มาของภาพ, Getty Images
ในพิธีประสาทปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเมื่อวันพฤหัสบดี นักศึกษาหลายคนบอกว่ามี “ความกังวลที่ชัดเจน” ในมหาวิทยาลัย
“ผู้คนรู้ดีว่าทรัมป์กำลังพยายามทำบางอย่างแบบนี้ แต่พวกเขารู้สึกตกใจเมื่อมันเกิดขึ้นจริง” บัณฑิตสัญชาติอังกฤษกล่าวยอมรับ ทว่าเขาไม่ขอเปิดเผยชื่อจริง เนื่องจากกังวลว่าการแสดงความเห็นต่อสาธารณะอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อวีซ่าทำงานในสหรัฐฯ
“หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับฮาร์วาร์ดได้ ก็อาจเกิดขึ้นกับมหาวิทยาลัยไหน ๆ ในประเทศก็ได้” เขากล่าวเสริม
ผลที่ตามมาจากการต่อสู้ระหว่างฮาร์วาร์ดและทรัมป์ครั้งนี้ มีผลกระทบลึกซึ้งกว่าการบริหารจัดการมหาวิทยาลัยไอวีลีกเพียงแห่งเดียว มาตรการที่ทรัมป์ใช้อยู่นี้อาจเป็นก้าวย่างล่าสุดและดูเหมือนทะเยอทะยานที่สุด ที่ฝ่ายอนุรักษนิยมใช้ในการทำลายรากฐานดั้งเดิมบางประการของการสนับสนุนพรรคเดโมแครตหรือไม่
หากเป็นเช่นนั้น วิทยาเขตก็กลายเป็นสนามรบที่สำคัญในการกำหนดภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมและการเมืองของอเมริกา
ข้อกล่าวหาต่อต้านชาวยิวและอคติ
ทรัมป์และรัฐบาลของเขายกคำอธิบายต่าง ๆ มากมายเกี่ยวกับการกระทำของพวกเขา รวมทั้งการรับรู้ว่าอาจารย์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดขาดผู้มีแนวคิดอนุรักษนิยม รวมถึงข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการรับนักศึกษาต่างชาติมากเกินไป และการมีความสัมพันธ์ทางการเงินกับจีน
โดยทำเนียบขาวระบุถึงสาเหตุโดยตรงที่สุดคือ การที่มหาวิทยาลัยดูเหมือนจะล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาต่อต้านชาวยิวในวิทยาเขต หลังเกิดการประท้วงต่อต้านอิสราเอลในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วสหรัฐฯ ตั้งแต่สงครามในฉนวนกาซาเริ่มต้นขึ้น
ในเดือน ธ.ค. 2023 อธิการบดีมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง 3 คน – รวมถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในขณะนั้น คลอดีน เกย์ – อึกอักในการให้คำตอบว่าการเรียกร้องให้ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว” ละเมิดจรรยาบรรณนักศึกษาเกี่ยวกับการกลั่นแกล้งทางวาจาและคุกคามหรือไม่ ซึ่งจุดชนวนให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
ดร.เกย์ ผู้ถูกถามคำถามนี้ในระหว่างกระบวนการไต่สวนของรัฐสภาเกี่ยวกับการต่อต้านชาวยิวในมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ตอบว่า ขึ้นอยู่กับบริบท ต่อมาเธอได้กล่าวขอโทษโดยบอกกับหนังสือพิมพ์ของนักศึกษาว่า “เมื่อคำพูดทำให้ความทุกข์และความเจ็บปวดทวีความรุนแรงขึ้น ฉันไม่รู้ว่าคุณจะรู้สึกอะไรได้อีกนอกจากความเสียใจ”
ที่มาของภาพ, Getty Images
ในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเมื่อปี 2024 ทรัมป์สัญญาว่าจะตัดเงินทุนของรัฐบาลกลางและการรับรองจากรัฐบาลสำหรับวิทยาลัยที่เขากล่าวว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ “การโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านชาวยิว” เมื่อทรัมป์หวนคืนสู่ทำเนียบขาวในเดือน ม.ค. 2025 เขาก็เริ่มดำเนินการตามนี้
มหาวิทยาลัยหลายแห่ง รวมถึงโคลัมเบียซึ่งเผชิญการประท้วงที่เป็นข่าวโด่งดังมากที่สุด ตกลงที่จะเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบรักษาความปลอดภัยในมหาวิทยาลัยครั้งใหญ่ และกำกับดูแลภาควิชาการศึกษาตะวันออกกลาง เอเชียใต้ และแอฟริกา อย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น
ในเดือน เม.ย. ฮาร์วาร์ดได้เผยแพร่ผลการตรวจสอบของคณะทำงานของมหาวิทยาลัย (ซึ่งได้รับมอบหมายก่อนที่ทรัมป์จะชนะการเลือกตั้ง) เกี่ยวกับการต่อต้านชาวยิวและอคติต่อชาวมุสลิมในมหาวิทยาลัยของตนเอง พบว่า นักศึกษาชาวยิวและชาวมุสลิมจำนวนมากเผชิญกับอคติ การกีดกัน และการแปลกแยกจากหลักสูตรของมหาวิทยาลัยและชุมชน
อย่างไรก็ตาม ข้อเรียกร้องของรัฐบาลนั้นมีมากกว่าการเรียกร้องให้จัดการกับปัญหาต่อต้านชาวยิว ในจดหมายถึงมหาวิทยาลัย “คณะทำงานร่วมเพื่อต่อต้านปัญหาต่อต้านชาวยิว” ได้ระบุรายการการเปลี่ยนแปลงที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดจะต้องดำเนินการ รวมถึงการยุติโครงการความหลากหลาย การปฏิรูปการรับสมัครและการจ้างงาน การคัดกรองนักศึกษาต่างชาติที่มีมุมมองที่ไม่เห็นด้วยกับ “ค่านิยมแบบอเมริกัน” และการขยายและปกป้อง “ความหลากหลายของมุมมอง” ในหมู่นักศึกษาและคณาจารย์
ที่มาของภาพ, Getty Images
ยุทธศาสตร์กดดันอย่างรวดเร็วและก้าวร้าวของทรัมป์ ทำให้คนจำนวนมากในแวดวงอุดมศึกษาต้องตกตะลึง เพราะไม่มีมีใครเคยจินตนาการถึงขอบเขตของข้อเรียกร้องหรือพลังที่อยู่เบื้องหลังข้อเรียกร้องเหล่านี้
“มันไม่ได้เกี่ยวกับการศึกษาระดับสูง” นายวูล์ฟสันโต้แย้ง “การศึกษาระดับสูงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่พวกเขาเห็นว่ามีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมของเรา”
แต่ความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลงระยะยาวอาจขึ้นอยู่กับว่ามหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ เลือกที่จะรองรับความต้องการของฝ่ายบริหาร หรือเลือกจะยืนหยัดและต่อสู้ต่อไป เช่นเดียวกับที่ฮาร์วาร์ดกำลังพยายามทำอยู่
สงครามต่อต้านการศึกษาระดับสูง
แม้ว่าฮาร์วาร์ดจะตกเป็นเป้าหมายอันโดดเด่นที่สุดสำหรับความโกรธเกรี้ยวของรัฐบาล และเป็นตัวอย่างชัดเจนที่สุดในการลุกขึ้นมาต่อต้าน แต่ฮาร์วาร์ดเป็นเพียงหนึ่งในมหาวิทยาลัยชื่อดังของอเมริกาหลายแห่งที่ถูกตัดเงินทุนหรือตกเป็นเป้าหมายของการสอบสวน
มหาวิทยาลัยพรินซ์ตันและมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียรายงานว่า รัฐบาลได้ระงับการให้ทุนวิจัยหลายร้อยล้านดอลลาร์ กระทรวงศึกษาธิการได้เริ่มการสอบสวนมหาวิทยาลัย 10 แห่งที่กล่าวหาว่าต่อต้านชาวยิว และเตือนมหาวิทยาลัยอื่น ๆ อีกหลาย 10 แห่งว่าอาจถูกสอบสวนในลักษณะเดียวกัน นอกจากนี้กระทรวงยังกำลังสอบสวนมหาวิทยาลัยอีก 52 แห่งที่จัดหลักสูตรที่อิงตามเชื้อชาติอย่างผิดกฎหมาย
สำหรับบางคน นี่อาจหมายถึงสงครามต่อต้านการศึกษาระดับสูงของชนชั้นสูงโดยรัฐบาลทรัมป์พยายามที่จะปรับปรุงมหาวิทยาลัยให้มีภาพลักษณ์ที่เอื้อต่อกลุ่มอนุรักษนิยมมากขึ้น ซึ่งสำหรับบางคน นี่ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
ชาร์ลี เคิร์ก นักเคลื่อนไหวฝ่ายอนุรักษนิยม ผู้ก่อตั้งกลุ่มเทิร์นนิงพอสต์ยูเอสเอ (Turning Point USA) กล่าวในการสัมภาษณ์กับสำนักงานข่าวฟอกซ์นิวส์เมื่อเดือนที่แล้วว่า “มหาวิทยาลัยไม่ได้มีไว้สำหรับแสวงหาความรู้ แต่มีไว้สำหรับผลักดันมุมมองโลกแบบฝ่ายซ้ายอย่างแข็งกร้าว เราอยู่ที่นี่เพื่อเปลี่ยนแปลงโลก”
ที่มาของภาพ, Getty Images
หลายคนในฝ่ายขวามองมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ว่าเป็นแหล่งบ่มเพาะการปลูกฝังลัทธิเสรีนิยมมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของการต่อต้านสงครามแบบหัวรุนแรงฝ่ายซ้ายในช่วงทศวรรษ 1960 ความถูกต้องทางการเมืองในช่วงทศวรรษ 1990 การต่อต้านทุนนิยมของ “ขบวนการยึดวอลล์สตรีท” (Occupy Wall Street) ในช่วงทศวรรษ 2000 หรือการเคลื่อนไหว “แบล็กไลฟ์แมตเทอร์” (Black Lives Matter) และการเดินขบวนต่อต้านอิสราเอลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ผลสำรวจแสดงให้เห็นความแตกต่างในความเชื่อระหว่างผู้ที่เรียนและไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย จากการสำรวจล่าสุดของบริษัทสำรวจความคิดเห็น Civiqs พบว่า ผู้ที่ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยมีความคิดเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับสิ่งที่ทรัมป์ทำในช่วงดำรงตำแหน่ง โดย 49% ไม่เห็นด้วย และ 47% เห็นด้วย
ในทางกลับกัน ผู้สำเร็จการศึกษาในระดับวิทยาลัยกลับมีมุมมองที่แตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากมีถึง 58% ไม่เห็นด้วยกับการบริหารของทรัมป์ มีเพียง 38% เท่านั้นที่เห็นด้วย
ริก เฮสส์ นักวิจัยอาวุโสและผู้อำนวยการด้านการศึกษานโยบายที่สถาบันอเมริกันเอ็นเตอร์ไพร์ส (American Enterprise Institute – AEI) กล่าวว่า “ผมคิดว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากความรู้สึกว่ามหาวิทยาลัยเหล่านี้ได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยของสหรัฐฯ [ประชาธิปไตย] สีน้ำเงิน และนี่คือผลที่ตามมา”
มหาวิทยาลัย ‘นำสิ่งนี้มาสู่ตัวเอง’
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นายเฮสส์กล่าวว่า การศึกษาในระดับอุดมศึกษาของอเมริกามีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลอย่างใกล้ชิดมากขึ้น และต้องพึ่งพาเงินทุนจากรัฐบาลมากขึ้น
เขากล่าวว่า คณะทำงานของทรัมป์เพียงแค่ใช้กลไกควบคุมการศึกษาระดับสูงที่ใช้โดยรัฐบาลเดโมแครตเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งรวมถึงการสืบสวนด้านสิทธิมนุษยชน กฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติของรัฐบาลกลาง และการควบคุมเงินทุน
เขาเสริมว่า “ในรูปแบบคลาสสิกของทรัมป์ มันเป็นกรณีที่แน่นอนที่คันโยกเหล่านี้ถูกปรับขึ้นไปถึงระดับ 11”
และมีการคุ้มครองตามขั้นตอนและกฎหมายน้อยกว่าในช่วงที่ โจ ไบเดน และ บารัค โอบามา จากพรรคเดโมแครตเป็นประธานาธิบดี
แต่เขากล่าวด้วยว่า มันเป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยเหล่านี้นำมาสู่ตัวเองด้วยการฝักใฝ่ทางการเมืองอย่างเปิดเผยในช่วงดำรงตำแหน่งวาระแรกของทรัมป์ และทำให้มหาวิทยาลัยชั้นนำกลายเป็นหน้าตาของการศึกษาระดับสูงของอเมริกา
“ราคาที่ต้องเสียไปสำหรับการจัดเก็บภาษีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปีก็คือ สถาบันต่าง ๆ ควรทั้งรักษาสัญญาที่ให้ไว้ เช่น การบังคับใช้กฎหมายสิทธิมนุษยชน และยึดมั่นต่อภารกิจที่พวกเขาให้บริการแก่คนทั้งประเทศอย่างชัดเจน” นายเฮสส์กล่าว
การระงับเงินทุนของรัฐบาลกลางจากมหาวิทยาลัยอาจเป็นความท้าทายใหม่สำหรับการศึกษาระดับอุดมศึกษา แต่สำหรับบางคน นี่เป็นเพียงความพยายามล่าสุดของกลุ่มอนุรักษนิยมที่ต้องการเซาะกร่อนบ่อนทำลายเสาหลักดั้งเดิมที่สำคัญของอำนาจเสรีนิยม
จากการผสมผสานระหว่างกฎหมายและกฎของศาล อิทธิพลของสหภาพแรงงาน ซึ่งจัดหาบุคลากรและเงินทุนอาสาสมัครให้กับพรรคเดโมแครต ได้ลดน้อยลงมานานแล้ว ก่อนที่ทรัมป์จะประสบความสำเร็จครองใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งเป็นชนชั้นแรงงานผิวขาวในการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีถึง 3 ครั้ง
การปฏิรูปคดีความในระดับรัฐยังทำให้เม็ดเงินมหาศาลที่ทนายความในการพิจารณาคดีสามารถนำไปสมทบเข้ากองทุนของพรรคเดโมแครตลดลงด้วย และความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะลดจำนวนพนักงานของรัฐบาล ซึ่งถึงจุดสูงสุดจากการลดจำนวนผู้สมัครตำแหน่งงานภาครัฐของ Doge ภายใต้การนำของ อีลอน มัสก์ ได้กัดกร่อนกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตอีกกลุ่มหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม นายวูล์ฟสัน วิตกว่าอาจสูญเสียบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าไป หากบังคับใช้มาตรการบางอย่างของรัฐบาลทรัมป์
“การที่เรามีมหาวิทยาลัยที่มีหลายเชื้อชาติ หลายวัฒนธรรม และหลายประเทศ ถือเป็นผลดีต่อมหาวิทยาลัยของเรา” เขากล่าวและเสริมด้วยว่า “มันสร้างชุมชนที่หลากหลายจริง ๆ และความคิดทางปัญญาที่หลากหลายจริง ๆ”
ไอวีลีกส์สู้กลับอย่างไร
มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งอาจมีชื่อเสียงจากคณะนิติศาสตร์อันโด่งดัง ได้เปลี่ยนศาลให้กลายเป็นเครื่องมือหลักในการต้านทานแรงกดดันของทรัมป์
เมื่อวันพฤหัสบดี ผู้พิพากษาของรัฐบาลกลางได้สั่งระงับความพยายามของรัฐบาลในการห้ามไม่ให้นักเรียนต่างชาติรับวีซ่าเพื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยอย่างไม่มีกำหนด
มหาวิทยาลัยยังฟ้องร้องเพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลทรัมป์ยุติการให้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางกว่า 2.2 พันล้านเหรียญ แม้ว่าคดีดังกล่าวจะยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา
“การแลกเปลี่ยนที่เกิดกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยอื่น ๆ เป็นเรื่องที่ชัดเจน” มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเขียนไว้ในคำร้องที่ยื่นต่อศาลรัฐบาลกลาง “ให้รัฐบาลเข้ามาควบคุมสถาบันการศึกษาของคุณอย่างละเอียดถี่ถ้วน หรือเสี่ยงต่อความสามารถของสถาบันในการแสวงหาความก้าวหน้าทางการแพทย์ การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ และวิธีแก้ปัญหาใหม่ ๆ”
ที่มาของภาพ, AFP/Getty Images
อลัน การ์เบอร์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ออกมาปกป้องมหาวิทยาลัยของตนเช่นกัน โดยกล่าวว่า ฮาร์วาร์ดจะ “ยืนหยัด” มั่นคงในพันธสัญญาที่ให้ไว้กับการศึกษาและความจริงในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับเอ็นพีอาร์
“ฮาร์วาร์ดเป็นสถาบันที่เก่าแก่มาก เก่าแก่กว่าประเทศชาติเสียอีก” เขากล่าวและพูดต่อไปว่า “ตราบใดที่ยังมีสหรัฐฯ อยู่ ฮาร์วาร์ดก็คิดว่าบทบาทของมันคือการรับใช้ประเทศชาติ”
ในขณะเดียวกัน ทรัมป์ได้แชร์คำพูดอันแข็งกร้าวของตัวเองเมื่อวันพุธ “ฮาร์วาร์ดต้องการต่อสู้” และ “พวกเขาต้องการแสดงให้เห็นว่าพวกเขาฉลาดแค่ไหน และพวกเขากำลังจะโดนถีบก้น”
ทำลายกำแพงหอคอยงาช้าง
ผลสำรวจความคิดเห็นแสดงให้เห็นว่า ฐานเสียงทางการเมืองของทรัมป์สนับสนุนความพยายามของเขาและข้อความเบื้องหลัง อย่างไรก็ตามผลสำรวจเดียวกันนี้บ่งชี้ว่าประชากรส่วนใหญ่สนับสนุนมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ และไม่เห็นด้วยกับการตัดงบประมาณที่ทรัมป์เสนอ
เมื่อมองข้ามความคิดเห็นไป ความเป็นจริงของการบรรลุการปรับระบบการศึกษาระดับสูงของอเมริกาในระดับพื้นฐานนี้ แม้จะใช้เครื่องมือต่าง ๆ มากมายที่รัฐบาลกลางสามารถใช้ได้ ก็ยังเป็นงานที่น่ากังวล
อย่างไรก็ตาม ตามที่นายวูล์ฟสันกล่าว การซ่อมแซมสิ่งที่เขากล่าวว่าเป็นความเสียหายที่เกิดกับความเป็นอิสระทางวิชาการนั้นก็เป็นเรื่องท้าทายพอ ๆ กัน
สมาชิกสมาคมศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยแห่งอเมริกาจำนวนมากขึ้น กังวลต่อผลที่ตามมาจากการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง หรือการดำเนินการวิจัยที่ไม่ได้รับความนิยม
“การทำลายล้างเป็นเรื่องจริง” นายวูล์ฟสันโต้แย้ง “แม้ว่าศาลจะเข้ามาแทรกแซง แต่โครงการการศึกษาระดับสูงในประเทศนี้ ก็ยังคงถูกบ่อนทำลายอย่างหนักเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวที่ไร้ความรอบคอบของทรัมป์”
นายเฮสส์ ซึ่งผลักดันการปฏิรูปการศึกษาแบบอนุรักษนิยมมาหลายปี มีความกังวลน้อยกว่า เขามองว่าแนวทางที่ไร้ระเบียบและไร้ทิศทางของทรัมป์ ซึ่งรวมถึงความเห็นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วด้วย อาจมีประสิทธิภาพน้อยกว่าการปรับโครงสร้างมหาวิทยาลัยของสหรัฐฯ ที่มีวิธีการแบบเป็นระบบมากขึ้น
“ทั้งหมดนี้เป็นการทดลองที่ทะเยอทะยาน” นายเฮสส์กล่าว “ยังคงเป็นคำถามที่ยังเปิดกว้างว่ากลยุทธ์นี้จะได้ผลหรือไม่”
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะชัดเจนก็คือ แม้ว่ามหาวิทยาลัยในอเมริกาจะต่อต้านหรืออยู่ได้นานกว่าความพยายามของทรัมป์ แต่มหาวิทยาลัยเหล่านั้นก็ไม่สามารถแยกตัวออกจากสงครามล้างผลาญของการเมืองอเมริกันได้อีกต่อไป กำแพงของหอคอยงาช้างถูกทำลายไปแล้ว โดยไม่คำนึงว่าใครจะเชื่อว่าเป็นพวกป่าเถื่อน หรือผู้ปลดปล่อยที่อยู่ที่ประตู
BBC InDepth คือแหล่งข้อมูลบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชันสำหรับการวิเคราะห์ที่ดีที่สุด พร้อมมุมมองใหม่ ๆ ที่ท้าทายสมมติฐานและรายงานเชิงลึกเกี่ยวกับปัญหาสำคัญที่สุดในแต่ละวัน ดูเพิ่มเติมที่นี่
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.bbc.com/thai/articles/c5ygqw10gyko&ct=ga&cd=CAIyHDI4ODcxZTExZDQzMWVlYzA6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw1dh_iSWCgmkLTlwKq0ZkkC