วันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 2025 คณะนักวิทยาศาสตร์นานาชาติที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งสหพันธ์สวิสในซูริก (Swiss Federal Institute of Technology in Zurich) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตีพิมพ์ในวารสาร Science รายงานผลการศึกษาวิจัยผลการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิบรรยากาศโลกต่อการละลายของธารน้ำแข็ง ละเอียดที่สุดที่เคยทำกันมาก่อน โดยใช้ข้อตกลงปารีส คือ อุณหภูมิเฉลี่ยเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสเหนืออุณหภูมิก่อนยุคอุตสาหกรรมเป็นจุดเปรียบเทียบ
พบว่าการควบคุมอุณหภูมิบรรยากาศโลกไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสจะสามารถรักษาธารน้ำแข็งไว้ได้มากกว่าสองเท่าที่อุณหภูมิ 2.7 องศาเซลเซียส เป็นผลงานสำคัญสนับสนุนวาระ “2525 ปีสากลสหประชาชาติการอนุรักษ์ธารน้ำแข็ง” และ “2025-2034: ทศวรรษแห่งปฏิบัติการวิทยาศาสตร์เย็นยวดยิ่ง” ขององค์กรสหประชาชาติ รวมไปถึงการประกาศโดยสหประชาชาติให้วันที่ 21 เดือนมีนาคมของทุกปีเป็น “วันธารน้ำแข็งโลก” เริ่มต้นจากวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 2025
“เชื่อ คิด และทำ อย่างวิทยาศาสตร์” วันนี้จะนำท่านผู้อ่านไปดูผลงานการศึกษาวิจัยของคณะนักวิทยาศาสตร์ว่าทำกันอย่างไร แตกต่างไปจากที่ทำกันมาก่อนเกี่ยวกับเรื่องผลจากภาวะโลกร้อนต่อธารน้ำแข็งอย่างไร ไปดูว่าเรื่องของธารน้ำแข็งเกี่ยวกับแหล่งน้ำของโลกอย่างไร และไปดูว่าผลการศึกษาวิจัยใหม่จะมีส่วนช่วยองค์การสหประชาชาติในการต่อสู้กับวิกฤตโลกร้อนในบริบทใหม่ของการเมืองโลกได้อย่างไร? แค่ไหน?
แต่ก่อนไปเปิดดูผลการวิจัยใหม่ เราไปดูอย่างเร็ว ๆ เรื่องของธารน้ำแข็ง ความสำคัญของธารน้ำแข็งต่อแหล่งน้ำของโลก และการเปิด “ตัวชี้วัด” ที่สำคัญของภาวะโลกร้อนก่อน

ธารน้ำแข็งกับแหล่งน้ำของโลกและการชี้วัดเรื่องโลกร้อน
โดยภาพรวม ตามข้อมูลจากสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Geological Survey) หรือ ยูเอสจีเอส (USGS) โลกของเรามีน้ำในรูปแบบและแหล่งต่างๆ ดังนี้:
- ปริมาณของน้ำทั้งหมดที่โลกมี คือ 1.386 พันล้านลูกบาศก์กิโลเมตร
- เป็นน้ำเค็ม 97.5% ประกอบด้วยน้ำในมหาสมุทรเสียส่วนใหญ่ (96.5%)
- เป็นน้ำจืดเพียง 2.5% ส่วนใหญ่ในรูปของธารน้ำแข็ง (glacier) และลานหรือชั้นน้ำแข็ง (รวม 68.7% ของน้ำจืดทั้งหมด) รองลงมาเป็นน้ำบาดาล (30.1% ของน้ำจืดทั้งหมด) ที่เหลือเพียง 1.2% ของทั้งหมด เป็นน้ำจืดในรูปของน้ำแข็งบนพื้นผิวดินและในชั้นดินเยือกแข็ง (permafrost) ทะเลสาบ แม่น้ำ ในบรรยากาศของโลก และในส่วนร่างกายหรือตัวตนของสิ่งมีชีวิตบนโลก เช่น มนุษย์
จากข้อมูลเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่า ธารน้ำแข็งและลานน้ำแข็งที่แถบบริเวณขั้วโลกใต้ คือ แอนตาร์กติกา ที่แถบขั้วโลกเหนือ ดังเช่น กรีนแลนด์ และในแถบพื้นที่เป็นภูเขาอากาศหนาวเย็น เป็นแหล่งเก็บน้ำจืดขนาดใหญ่ ที่สามารถเคลื่อนที่ไหลเลื่อนลงสู่พื้นที่ต่ำกว่าได้ ถ้าอุณหภูมิของบรรยากาศโลกที่มักเรียกกันว่าอุณหภูมิโลก สูงขึ้น!
อย่างตรงๆ “โลกร้อน” ทำให้เกิดผล 2 อย่างชัดเจนกับธารน้ำแข็ง คือ:
หนึ่ง: ธารน้ำแข็งขยับเคลื่อนที่ มีผลต่อสภาพแวดล้อมของที่อยู่เดิมและที่อยู่ใหม่ คือ สภาพภูมิประเทศเปลี่ยนแปลง แหล่งที่อยู่อาศัยของทั้งสัตว์และพืชที่ต้องเปลี่ยนไป ซึ่งจริงๆ แล้วก็มีทั้งส่วนที่ดีและส่วนที่เป็นภัยคุกคามต่อระบบนิเวศ แต่โดยภาพรวมจะทำให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อระบบนิเวศมากกว่าผลดี
สอง: เมื่อธารน้ำแข็งละลาย รวมไปถึงการละลายของลานน้ำแข็งครอบคลุมแถบบริเวณขั้วโลก ก็จะมีผลต่อระบบน้ำของโลก 2 อย่าง คือ ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้น และมีน้ำจืดจากธารน้ำแข็งและลานน้ำแข็งละลายไปเพิ่มให้แก่แหล่งน้ำอื่นๆ ที่ห่างไกลออกไป ดังเช่นประเทศไทยด้วย
ดังนั้น สภาพการเปลี่ยนแปลงของธารน้ำแข็งจึงเป็น “ตัวชี้วัดอย่างเป็นรูปธรรม” สำหรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก

ผลการวิจัยใหม่และความสำคัญของข้อตกลงปารีส
คณะวิจัยประกอบด้วย นักวิทยาศาสตร์ 21 คน จาก 10 ประเทศ ร่วมกันสร้างแบบจำลองธารน้ำแข็งขึ้นมา 8 แบบ แล้วศึกษา แนวโน้มการสูญเสียน้ำแข็งจากธารน้ำแข็งมากกว่า 200,000 แห่ง ที่อยู่นอกแอนตาร์กติกและกรีนแลนด์ โดยตั้งสมมติฐานว่า อุณหภูมิโลกจะคงที่อยู่เป็นเวลาหลายพันปีสำหรับแต่ละฉากทัศน์
ผลจากการศึกษา พบว่า ในทุกฉากทัศน์การสูญเสียมวลธารน้ำแข็ง เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาหลายทศวรรษแรกๆ แต่หลังจากนั้น น้ำแข็งก็จะละลายช้าลงต่อไปอีกเป็นหลายศตวรรษ แม้แต่เมื่อไม่มีการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก
คณะวิจัยรายงานว่า การตอบสนองสำหรับช่วงระยะเวลายาวนานนี้ มีความสำคัญ คือ ธารน้ำแข็งจะยังได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิความร้อนวันนี้ ต่อไปอีกยาวนานในอนาคต ทำให้ธารน้ำแข็งถอยร่นสู่ที่สูงขึ้น ก่อนที่จะถึงจุดสมดุลใหม่
จุดแข็งที่แตกต่างสำคัญข้อหนึ่งของการศึกษาวิจัยใหม่ คือ คณะวิจัยสามารถพยากรณ์ความเปลี่ยนแปลงของธารน้ำแข็งโลก เป็นช่วงเวลายาวนานหลายศตวรรษ นับเป็นครั้งแรกของการศึกษาวิจัยเรื่องนี้ ที่ทำกันมาก่อน ซึ่งมักจะปักหมุดการศึกษาไปที่จุดเริ่มต้นของศตวรรษที่ยี่สิบสอง คือ ปี ค.ศ. 2100 โดยที่การวิจัยครั้งนี้ ทำกับแบบจำลองที่แตกต่างกันมากถึง 8 แบบ แทนที่จะเป็นเพียงหนึ่งหรือสองแบบที่เคยทำกันมา
กล่าวคือ การศึกษาเกี่ยวกับธารน้ำแข็งส่วนใหญ่ที่ทำกันมาก่อน มักจะหยุดที่ปี ค.ศ. 2100 ซึ่งคณะวิจัยกล่าวว่า มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการจำลองผลกระทบระยะยาวของนโยบายภูมิอากาศวันนี้
ตัวอย่างเช่น ผลจากการศึกษาที่ตั้งเป้าไปเฉพาะที่ปี ค.ศ. 2100 ได้ประมาณการออกมาว่า ประมาณ 20% ของมวลธารน้ำแข็งวันนี้จะหายไป ไม่ว่าโลกจะร้อนในอนาคตเพียงใด…
แต่ผลจากการศึกษาใหม่ พบว่า เกือบสองเท่าของปริมาณนั้น จะหายไปภายใต้สภาพการณ์วันนี้ เมื่อพิจารณาผลการศึกษาเป็นช่วงเวลาหลายศตวรรษ
กล่าวคือ คณะวิจัยพบว่า ประมาณ 40% ของธารน้ำแข็ง จะสูญหายไป
คณะวิจัยรายงานอีกด้วยว่า ถึงแม้ธารน้ำแข็งจะเป็นตัวชี้วัดที่ดีของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะเราสามารถเห็นด้วยตาของเราเองว่า ภูมิอากาศโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างไร…
แต่เนื่องจากธารน้ำแข็งมีเวลาการปรับตัวสำหรับช่วงเวลาที่ยาวนานขึ้น ดังนั้น ขนาดของธารน้ำแข็งที่เราเห็นในปัจจุบัน จะน้อยกว่าผลที่เกิดขึ้นจริงจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ…
อย่างตรงๆ สถานการณ์สำหรับธารน้ำแข็ง จริงๆแล้ว เลวร้ายกว่าที่ปรากฏให้เราเห็นในวันนี้อย่างมาก

แต่ผลจากการศึกษาวิจัยก็มี “ผลปลอบใจ” สำหรับคำถามว่า “ทุกอย่างสายเกินไปแล้วใช่ไหม?”
เพราะคำตอบตรงๆ คือ “ยังไม่สายเกินไป” แต่ก็ต้องทำงานกันหนักอย่างที่สุดในการพยายามมิให้อุณหภูมิโลกขึ้นสูงเกินขีดอันตรายมากที่สุด โดยชี้เป้าไปที่สองขีดอุณหภูมิ คือ 1.5 องศาเซลเซียส และ 2.7 องศาเซลเซียส
สองอุณหภูมินี้เกี่ยวข้องกับ “ข้อตกลงปารีส ปี 2015” (Paris Agreement 2015) ที่ตั้งเป้าจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกมิให้เกิน 2.0 องศาเซลเซียสเหนืออุณหภูมิของบรรยากาศโลกก่อนยุคอุตสาหกรรม… โดยเรียกร้องให้พยายามกันมากเป็นพิเศษจำกัดการเพิ่มขึ้นมิให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส…
แต่ถึงล่าสุด เป้าหมายเชิงนโยบายของจริงทั่วโลกของประเทศต่างๆ โดยภาพรวม ชี้ไปที่อุณหภูมิ 2.7 องศาเซลเซียส
ผลการศึกษาวิจัยใหม่นี้ยกตัวอย่าง…เหมือนชี้เป้า…ความแตกต่างของอุณหภูมิโลกต่อธารน้ำแข็งที่สองอุณหภูมินี้ ว่ามีผลว่าปริมาณของธารน้ำแข็งทั่วโลกอย่างไม่ทราบกันมาก่อน…
กล่าวคือ สำหรับช่วงเวลาระหว่างอุณหภูมิ 1.5 องศาเซลเซียส กับ 2.7 องศาเซลเซียส ธารน้ำแข็งจะละลายหายไปเร็วขึ้นอย่างมาก
ถ้าเราสามารถรักษาอุณหภูมิไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียส จะมีน้ำแข็งที่ถูกเก็บอยู่ในธารน้ำแข็งมากกว่าที่อุณหภูมิ 2.7 องศาเซลเซียสมากกว่า 2 เท่า คือ 54%…
โดยที่ทุก 0.1 องศาที่เพิ่มขึ้น ธารน้ำแข็งก็จะหายไปประมาณ 2%
กล่าวง่ายๆ ถ้าสามารถรักษาอุณหภูมิโลกไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียส เหนืออุณหภูมิก่อนยุคอุตสาหกรรม ก็จะสามารถรักษาน้ำแข็งในธารน้ำแข็งได้มากกว่าสองเท่าที่อุณหภูมิ 2.7 องศาเซลเซียส
ผลสรุปข้อนี้ตอกย้ำความสำคัญของตัวเลข 1.5 องศาเซลเซียสจากการประชุมโลกร้อนเมื่อปี ค.ศ. 2015 ที่กรุงปารีสว่าเป็นข้อสรุปที่ผ่านการศึกษามาแล้วอย่างรอบคอบ และนับเป็นข้อมูลที่ยังมีความสำคัญต่อเรื่องวิกฤตโลกร้อนถึงทุกวันนี้

ผลการวิจัยใหม่ : สหประชาชาติกับธารน้ำแข็ง
สำหรับปี ค.ศ. 2025 องค์การสหประชาชาติให้ความสำคัญเรื่องธารน้ำแข็งมากเป็นพิเศษ มีการประกาศและกำหนดให้ปี ค.ศ. 2025 เป็นปีเกี่ยวข้องกับธารน้ำแข็งโดยตรง 3 เรื่อง คือ
- ให้วันที่ 21 มีนาคมของทุกปี เริ่มต้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 2025 เป็น “วันธารน้ำแข็งโลก” (World Day for Glaciers)
- ให้ปี 2025 เป็น “ปีสากลการอนุรักษ์ธารน้ำแข็ง” (2025 International Year of Glaciers’ Preservation)
- ให้ “ปี 2025-2034” เป็น “ทศวรรษแห่งปฏิบัติการวิทยาศาสตร์เย็นยวดยิ่ง” (2025-2034 The Decade of Action for Cryospheric Sciences)
การประกาศและกำหนดเกี่ยวกับธารน้ำแข็งของสหประชาชาติทั้ง 3 เรื่อง เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2022 โดยมี ทาจิกิสถาน เป็นประเทศจุดประเด็นต่อสหประชาชาติ ในวาระการจัดกิจกรรมสำหรับ “วันน้ำโลก” (World Water Day) เมื่อปี ค.ศ. 2022 นั้น
ทาจิกิสถานเป็นประเทศในเอเชียกลาง เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเป็นภูเขา ไม่มีพื้นที่ติดกับแหล่งน้ำใหญ่ และเป็นประเทศแหล่งธารน้ำแข็งใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง โดยประมาณ 6% ของพื้นที่ปกคลุมด้วยธารน้ำแข็งมากกว่า 16,000 แห่ง จนกระทั่งทาจิกิสถานได้ชื่อเป็น “Water Tower” หรือ “หอน้ำ” แห่งเอเชีย
แต่ก็เพราะเป็นประเทศที่มีธารน้ำแข็งมาก จึงได้รับผลเต็มๆ ทั้งส่วนที่ดีของธารน้ำแข็งและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับธารน้ำแข็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ทำให้ธารน้ำแข็งละลาย ส่งผลต่อระบบนิเวศของประเทศ
แล้วในวาระการจัดกิจกรรม “วันน้ำโลก” ของสหประชาชาติประจำปี ค.ศ. 2022 ซึ่งมี “ธารน้ำแข็ง” เป็นประเด็นหลัก ปากีสถานได้เสนอให้มีวันและกิจกรรมเกี่ยวกับธารน้ำแข็งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในที่สุด สมัชชาใหญ่สหประชาชาติก็มีมติในปี 2022 ให้มีวันและกิจกรรมเกี่ยวกับธารน้ำแข็งโลกทั้ง 3 เรื่องในปี ค.ศ. 2025
สำหรับการกำหนดให้วันที่ 21 มีนาคม ของทุกปีเป็นวันธารน้ำแข็งโลก ก็เพื่อให้สอดรับกับ “วันน้ำโลก” ซึ่งเป็นวันที่ 22 มีนาคม ของทุกปี โดยให้วันธารน้ำแข็งโลกมาก่อนวันน้ำโลก 1 วัน

สำหรับการวิจัยที่เป็นโฟกัสเรื่องของเราวันนี้ มิได้เริ่มต้นจากการกระตุ้นหรือร้องขอของสหประชาชาติโดยตรง เพราะเป็นงานวิจัยที่คณะวิจัยได้ทำงานกันมานาน ก่อนปี ค.ศ. 2022 ที่เรื่องของธารน้ำแข็งจะถูกจุดเป็นประเด็นใหญ่ขึ้นมา
แต่คณะวิจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แดเนียล แฟรินอตติ (Daniel Farinotti) ศาสตราจารย์ธารน้ำแข็งวิทยา (Glaciology) ที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งสหพันธ์สวิสในซูริก ได้มีบทบาทช่วยสหประชาชาติตลอดมา ในเรื่องเกี่ยวกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ต่อสภาพแวดล้อมที่หนาวเย็นของขั้วโลกและในพื้นที่แถบหนาว…
และผลการศึกษาวิจัยของคณะก็มีประโยชน์โดยตรงกับเป้าหมายและกิจกรรมของสหประชาชาติ เกี่ยวกับธารน้ำแข็ง…
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลจากแนวทางใหม่ของคณะวิจัย ที่ขยายกรอบเวลาการศึกษาครอบคลุมไปไกลกว่าปี ค.ศ. 2100 และสำรวจศึกษาแบบจำลองการเปลี่ยนแปลงของธารน้ำแข็งถึง 8 แบบ จากที่ปกติศึกษากันอยู่ที่หนึ่งหรือสองแบบ…
และศาสตราจารย์ แดเนียล แฟรินอตติ ก็ได้มีบทบาทช่วยสหประชาชาติ (โดยความรับผิดชอบดำเนินการของยูเนสโกและองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก หรือ World Meteorological Organization) สำหรับกิจกรรมทั้ง 3 เรื่องเกี่ยวกับ ธารน้ำแข็ง คือ วันธารน้ำแข็งโลก , ปีสากลแห่งการอนุรักษ์ธารน้ำแข็ง และทศวรรษแห่งปฏิบัติการของวิทยาศาสตร์เย็นยวดยิ่ง…
รวมถึงเรื่องการวางแผนงานต่อไปของสหประชาชาติ ต่อเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพลมฟ้าอากาศโลกภายใต้บริบทใหม่ของการเมืองโลก

วิกฤตโลกร้อนกับบริบทใหม่การเมืองโลก
อย่างรวดเร็ว ข้อมูลใหม่ วิธีการใหม่ จากศาสตราจารย์ แดเนียล แฟรินอตติ และทีมงาน เป็นกำลังสำคัญเพิ่มขึ้นมาแก่องค์การสหประชาชาติ ในภารกิจการแก้ไขจัดการปัญหาเกี่ยวข้องกับธารน้ำแข็งโดยตรง
แต่สหประชาชาติมิได้มีภารกิจเฉพาะเกี่ยวกับธารน้ำแข็งเท่านั้น ยังมีปัญหาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในภาพรวมหนักที่สุด คือ วิกฤตโลกร้อน ที่สหประชาชาติต่อสู้มานาน โดยมีพันธมิตรจากทั่วโลก กำลังร่วมมือกับสหประชาชาติอยู่
ทว่า ประเด็นที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ต้นปี ค.ศ. 2025 คือ แล้วสหประชาชาติกับพันธมิตรที่มี จะรับมือกับ “บริบทใหม่การเมืองโลก” ไหวไหม? อย่างไร?
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบายใหม่ของสหรัฐอเมริกาภายใต้การเป็นผู้นำประเทศของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีนโยบายชัดเจน ไม่เห็นด้วยกับเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับ “วิกฤตโลกร้อน”
อย่างตรงไปตรงมา ตามคำกล่าวของโดนัลด์ ทรัมป์ “ปัญหาสภาพแวดล้อมหรือ ไม่มีหรอก!” “วิกฤตโลกร้อนหรือ ไม่มีหรอก!” “เชื้อเพลิงฟอสซิลไม่ใช่ตัวการของปัญหาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศ!”
แล้วอย่างทันที ในวันเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ วันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2025 นายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ลงนามคำสั่ง ถอนสหรัฐอเมริกาออกจากข้อตกลงปารีส โดยมีข่าวอย่างไม่เป็นทางการว่า ได้ถอนตัวจาก UNFCCC (กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: United Nations Framework Convention on Climate Change) ซึ่งเป็นองค์กรหลักของสหประชาชาติ ในการจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ดังเช่น การจัดประชุมโลกร้อนซีโอพี (COP: Conference of the Parties) อันเป็นที่มาของข้อตกลงปารีสปี 2015
แล้วสถานการณ์ล่าสุดถึงวันนี้ (กลางเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2025) เป็นอย่างไร?
อย่างตรงๆ นโยบายใหม่ของสหรัฐอเมริกา ก็สร้างความปั่นป่วนถึงระดับเป็น “บริบทใหม่การเมืองโลก” จริงๆ
แต่ก็อาจไม่เลวร้ายไปเสียทั้งหมด
เพราะกรณีของ UNFCCC สหรัฐอเมริกา ยังไม่ถอนตัวอย่างเป็นทางการ
ส่วนกรณีของข้อตกลงปารีส ถึงแม้นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะลงนามคำสั่งแจ้งถอนสหรัฐอเมริกาจากข้อตกลงปารีสเมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2025 แล้ว แต่ก็จะยังไม่เป็นผลอย่างเป็นทางการ จนกระทั่งครบหนึ่งปีหลังการแจ้งความจำนง นั่นคือ สหรัฐอเมริกาก็ยังอยู่ภายใต้ข้อตกลงปารีสอีกจนกระทั่งถึงเดือนมกราคม ค.ศ. 2026
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้สหรัฐอเมริกาจะยังไม่ออกจากข้อตกลงปารีสในขณะนี้ แต่ก็มีผลแล้วในเชิงนโยบายและการปฏิบัติ เพราะสหรัฐอเมริกาก็ยุติบทบาทการปฏิบัติตามข้อตกลงปารีส โดยในทางตรงกันข้าม ก็หันไปส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลแล้ว…
ถึงขณะนี้และแนวโน้มในอนาคตอันใกล้…สหประชาชาติจะรับมือกับ “บริบทใหม่การเมืองโลก” ในส่วนเกี่ยวกับปัญหาวิกฤตโลกร้อนไหวไหม? อย่างไร?
สำหรับผู้เขียน เชื่อใน “พลังของการคิดบวก” และ “สำนึกเพื่อส่วนรวม” ของคนส่วนใหญ่ทั่วโลก ว่า “สหประชาชาติ…โดยพลังร่วมจากพันธมิตรเพื่อสิ่งแวดล้อมโลก…จะสามารถอยู่กับบริบทใหม่ของการเมืองโลกได้!
แล้วท่านผู้อ่านล่ะครับ คิดอย่างไร?
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2864252&ct=ga&cd=CAIyHDI4ODcxZTExZDQzMWVlYzA6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw27mKXGzbcOA-XQlYK1qPK5