นักศึกษาหรือสายลับ ? หนุ่มสาวชาวจีนที่เรียนในสหรัฐฯ ตกเป็นเป้าของทรัมป์ได้อย่างไร

.

ที่มาของภาพ, Getty Images

คำบรรยายภาพ, สหรัฐอเมริกากำลังกลายเป็นทางเลือกที่ยากลำบากสำหรับนักศึกษาชาวจีนที่ต้องการศึกษาต่อต่างประเทศ
  • Author, ฟาน หวัง และ เอเบล ยู
  • Role, บีบีซีนิวส์

เสี่ยว เฉิน ปรากฏตัวที่สถานกงสุลสหรัฐอเมริกาประจำนครเซี่ยงไฮ้ในเช้าวันพฤหัสบดี (29 พ.ค.) ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศว่าจะเพิกถอนวีซ่านักเรียนจีน

นักศึกษาวัย 22 ปีผู้นี้มีนัดหมายทำวีซ่าสำหรับการเดินทางไปยังรัฐมิชิแกนในฤดูใบไม้ร่วง เพื่อศึกษาต่อในด้านการสื่อสาร แต่หลังจากผ่านการพูดคุย “อันน่าพึงพอใจ” เธอกลับได้รับแจ้งว่าใบสมัครถูกปฏิเสธโดยไม่ได้รับเหตุผลใด ๆ

“ฉันรู้สึกราวกับต้นผักตบชวาที่ล่องลอยอย่างไร้จุดหมาย ท่ามกลางลมแรงและพายุโหมกระหน่ำ” เธอกล่าวบรรยายถึงความรู้สึกที่ไม่แน่นอนและสิ้นหวัง

เธอเคยมีความหวังเมื่อได้รับจดหมายตอบรับจากมหาวิทยาลัยแล้ว และคิดว่าตัวเองน่าจะรอดพ้นจาก “ระเบิด” อย่างหวุดหวิดในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา

ในตอนแรก ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เคลื่อนไหวเพื่อไม่ให้มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเปิดลงทะเบียนนักศึกษาต่างชาติได้ แต่คำสั่งดังกล่าวถูกระงับโดยคำสั่งศาลในเวลาต่อมา ส่งผลให้รัฐบาลหันมาประกาศว่าจะหยุดการนัดหมายทำวีซ่าสำหรับนักเรียนต่างชาติทุกราย

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and continue reading

ได้รับความนิยมสูงสุด

  • ผู้ป่วยซิฟิลิส จะพบผื่นตามร่างกาย ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือที่อวัยวะเพศ จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค

  • ไดโนเสาร์

  • .

  • พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10

End of ได้รับความนิยมสูงสุด

ขณะนี้ เฉินจึงเตรียมพร้อมใช้แผนสำรอง “หากที่สุดแล้วฉันไม่ได้วีซ่า ฉันน่าจะหยุดเรียนไปสักปี เพื่อดูว่าอะไรต่าง ๆ จะดีขึ้นในปีหน้าไหม”

เธอยังกล่าวด้วยว่าแค่มีวีซ่าอาจไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะยังมีโอกาส “ถูกเรียกตรวจในสนามบินและถูกเนรเทศกลับประเทศ”

“มันเลวร้ายมากสำหรับนักเรียนจีนทุกคน สิ่งที่แตกต่างสำหรับแต่คนละคือมันแย่แค่ไหนเท่านั้น” เธอกล่าว

.

ที่มาของภาพ, Getty Images

คำบรรยายภาพ, ฝ่ายบริหารของทรัมป์พยายามยับยั้งไม่ให้ ม.ฮาร์วาร์ด เปิดลงทะเบียนรับนักศึกษาต่างชาติ

มันเป็นสัปดาห์ที่มืดมนสำหรับนักศึกษาต่างชาติในสหรัฐฯ และอาจยากลำบากมากกว่านั้นสำหรับนักศึกษาชาวจีนราว 280,000 คนที่สังเกตเห็นว่าประเทศของพวกเขาถูกจำแนกแยกออกไป

คริสตี โนเอม รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ กล่าวหาว่า ม.ฮาร์วาด “ประสานงานกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน”

ขณะที่ มาร์โก รูบิโอ รมว.ต่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวว่าการเคลื่อนไหวต่อต้านนักศึกษาชาวจีนในสหรัฐฯ จะรวมถึง “ผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนหรือกำลังศึกษาอยู่ในสาขาที่สำคัญ”

สิ่งนี้อาจส่งผลกระทบต่อพวกเขาในวงกว้าง เนื่องจากการเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ถือเป็นเรื่องปกติในหมู่เจ้าหน้าที่, ผู้ประกอบการ, นักธุรกิจ, ศิลปิน ไปจนถึงคนดังในประเทศจีน

ทางรัฐบาลจีนจึงเรียกมาตรการนี้ว่าเป็น “การกระทำที่มีแรงจูงใจทางการเมืองและเลือกปฏิบัติ” โดยกระทรวงการต่างประเทศของจีนได้ยื่นคำประท้วงอย่างเป็นทางการแล้ว

ในแง่ของตัวเลขนักศึกษาจีนในสหรัฐฯ เคยมีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่มีนักศึกษาจีนตามวิทยาเขตต่าง ๆ ในอเมริกามากที่สุด แต่ตัวเลขเหล่านั้นได้ลดลงแล้วจากความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศที่แย่ลง

ในตอนนี้รัฐบาลจีนซึ่งกำลังมีอำนาจมากขึ้นก็ยิ่งกล้าแสดงออกและกล้าปะทะกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อชิงอำนาจสูงสุดในทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการค้าหรือเทคโนโลยี

วาระแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ เคยสร้างปัญหาให้กับนักเรียนจีนมาแล้ว โดยเขาลงนามในคำสั่งปี 2020 ห้ามไม่ให้นักศึกษาและนักวิจัยชาวจีนที่มีความสัมพันธ์กับกองทัพจีนมีสิทธิขอวีซ่าได้

.

ที่มาของภาพ, Getty Images

คำบรรยายภาพ, นักเรียนจีนเคยเป็นกลุ่มนักศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ

คำสั่งดังกล่าวมีผลบังคับใช้เรื่อยมาจนถึงช่วงที่ โจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดี โดยที่ทางวอชิงตันไม่เคยชี้แจงว่าอะไรคือ “ความสัมพันธ์” กับกองทัพ ด้วยเหตุนี้ นักเรียนจำนวนมากจึงถูกเพิกถอนวีซ่าหรือถูกปฏิเสธเข้าสหรัฐฯ โดยไม่มีคำอธิบายที่เหมาะสม

หนึ่งในผู้ที่เคยมีประสบการณ์นี้และไม่ต้องการเปิดเผยนาม เล่าให้ฟังว่าวีซ่าของเขาถูกเพิกถอนโดยสำนักงานศุลกากรและป้องกันพรมแดนแห่งสหรัฐอเมริกา เมื่อเขาเดินทางมาถึงเมืองบอสตันในเดือน ส.ค. 2023

เขาได้รับการตอบรับให้เป็นนักวิจัยหลังปริญญาเอกที่ ม.ฮาร์วาร์ด และกำลังศึกษาด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูซึ่งมุ่งเน้นไปที่มะเร็งเต้านม โดยเขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากสถาบันวิจัยในเครือทางทหารของประเทศจีน

เขากล่าวว่าไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์และงานวิจัยของเขาก็ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการกองทัพ

“พวกเขาถามผมว่างานวิจัยของผมมีความเกี่ยวข้องกับกลาโหมของจีนอย่างไร” เขาบอกบีบีซี “ผมเลยถามกลับว่ามะเร็งเต้านมจะเกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศอย่างไร ถ้าใครรู้ก็ช่วยบอกผมที”

เขาเชื่อว่าตนเองไม่เคยมีโอกาสแก้ต่าง เพราะเจ้าหน้าที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว โดยจำได้ว่าหนึ่งในนั้นถามว่า “สี จิ้นผิง ซื้อกระเป๋าเดินทางให้คุณหรือเปล่า ?”

สิ่งที่น่าประหลาดใจหรือน่าตกใจอย่างมาก คือ สิ่งเหล่านั้นที่เกิดขึ้นเริ่มกลายเป็นเรื่องธรรมดาปกติ เนื่องจากมีนักศึกษาชาวจีนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ต้องดิ้นรนเพื่อรักษาวีซ่า หรือเพื่อเข้าเรียนในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในสหรัฐฯ

เฉา นักศึกษาสาขาจิตวิทยาที่มีงานวิจัยเกี่ยวข้องกับประสาทวิทยาศาสตร์ ได้ใช้เวลาในปีการศึกษาที่ผ่านมาเพื่อสมัครหลักสูตรปริญญาเอกในสหรัฐฯ

เขาจบจากสถาบันการศึกษาชั้นนำ ประวัติของเฉาสามารถส่งเขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยกลุ่มไอวีลีก (Ivy League) ได้ แต่มหาวิทยาลัยกว่า 10 แห่งที่เขาสมัครไป มีเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่ยื่นข้อเสนอตอบรับเข้าเรียนกลับมา

การตัดงบประมาณการวิจัยทางชีวเวชศาสตร์ของทรัมป์ไม่ได้ช่วยอะไร แต่ความไม่ไว้วางใจที่มีต่อทีมนักวิจัยชาวจีนก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งเช่นกัน ข้อกล่าวหาและข่าวลือเกี่ยวกับการจารกรรมโดยเฉพาะในหัวข้อที่อ่อนไหวได้ส่งผลกระทบต่อชาวจีนที่ศึกษาในมหาวิทยาลัยสหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และถึงขั้นทำให้บางคนสูญเสียโอกาสในอาชีพการงาน

“หนึ่งในศาสตราจารย์ยังบอกกับผมว่า ‘ทุกวันนี้เราแทบไม่ให้ข้อเสนอแก่เด็กจีนแล้ว ดังนั้นผมไม่สามารถให้คุณเข้าสัมภาษณ์ได้’ นายเฉาเล่าให้บีบีซีฟังเมื่อเดือน ก.พ.

.

ที่มาของภาพ, Getty Images

คำบรรยายภาพ, นักเรียนจีนที่ศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต้องเผชิญกับความท้าทายมากที่สุดในการขอวีซ่า

สำหรับผู้ที่จบการศึกษาจากวิทยาลัยในสหรัฐฯ การกลับบ้านที่จีนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน

พวกเขาเคยได้รับการยกย่องว่าเป็นสะพานเชื่อมไปยังส่วนต่าง ๆ ของโลก แต่บัดนี้พวกเขาพบว่าปริญญาที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ต้องการ กลับไม่ได้ทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบรับแบบเดียวกับเมื่อก่อน

เฉิน เจี้ยน ซึ่งไม่ต้องการเปิดเผยชื่อจริง กล่าวว่าเขาเพิ่งตระหนักได้เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าปริญญาตรีจากวิทยาลัยสหรัฐฯ ของเขานั้นได้กลายเป็นอุปสรรคเสียเอง เมื่อกลับมาจีนครั้งแรกในปี 2020 เพื่อฝึกงานที่ธนาคารของรัฐ และต่อมาเขาถามหัวหน้างานตนเองมีโอกาสทำงานที่นี่ต่อหรือไม่

หัวหน้างานไม่ได้พูดตรง ๆ แต่เฉินก็ได้รับข้อความ “พนักงานควรมีวุฒิการศึกษาจากสถาบันในประเทศ คนแบบผม (ซึ่งจบนอกมา) จะไม่ได้รับการตอบรับด้วยซ้ำ”

ต่อมาเขาจึงตระหนักได้ว่า “ไม่มีเพื่อนร่วมงานคนใดในแผนกที่จบปริญญาตรีจากต่างประเทศเลย”

เขาจึงเดินทางกลับอเมริกาและเรียนต่อปริญญาโทที่ ม.จอห์น ฮอปกินส์ และตอนนี้ก็ทำงานอยู่ในบริษัทไปตู่ (Baidu) ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีน

แต่ถึงแม้จะมีปริญญาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในอเมริกา เฉินก็ไม่รู้สึกว่าตนเองมีความได้เปรียบ เนื่องจากการแข่งขันที่เข้มข้นจากบัณฑิตในประเทศจีน สิ่งที่ไม่ช่วยเลยก็คือความสงสัยเคลือบแคลงในนักเรียนต่างชาติ โดยทางรัฐบาลจีนได้เพิ่มการเตือนภัยเกี่ยวกับสายลับต่างชาติและบอกให้พลเรือนระวังบุคคลที่น่าสงสัย

ในเดือน เม.ย. ตง หมิงจู นักธุรกิจหญิงชาวจีนที่มีชื่อเสียงได้บอกกับผู้ถือหุ้นในการประชุมปิดว่าบริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน กรี อิเล็กทริก (Gree Electric) ของเธอ จะ “ไม่มีวัน” รับสมัครคนจีนที่ได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ “เพราะในหมู่พวกเขามีสายลับ”

“ฉันไม่รู้ว่าใครเป็นและใครไม่เป็น” นางตงกล่าวในความคิดเห็นที่ถูกเผยแพร่และกลายเป็นไวรัลทางออนไลน์

ไม่กี่วันต่อมา สำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ หรือซีไอเอ ได้ปล่อยวิดีโอโปรโมตเพื่อโน้มน้าวกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่จีนที่ไม่พอใจรัฐบาล เข้ามาเป็นสายลับและให้ข้อมูลลับ

“ชะตากรรมของคุณอยู่ในมือคุณเอง” วิดีโอดังกล่าวระบุ

.

ที่มาของภาพ, Getty Images

คำบรรยายภาพ, ปริญญาจากต่างประเทศมีอิทธิพลน้อยลง เนื่องจากการแข่งขันจากผู้สำเร็จการศึกษาในจีนที่สูงมาก

ความเคลือบแคลงสงสัยในชาวต่างชาติ เมื่อสหรัฐฯ และจีนมีความห่างเหินกันมากขึ้น ถือเป็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าประหลาดใจสำหรับชาวจีนหลายคนที่จำได้ว่าตนเองเติบโตมาในประเทศที่แตกต่างกันมาก

จาง นี ผู้ที่ไม่ต้องการให้ใช้ชื่อจริง บอกว่าเธอ “ตกใจมาก” กับคำพูดของตง โดยหญิงชาวจีนวัย 24 ปีผู้นี้เพิ่งจบด้านวารสารศาสตร์มาจาก ม.โคลัมเบีย ในนครนิวยอร์ก

เธอบอกว่า “ไม่ได้สนใจทำงานกับบริษัทกรี” แต่ประหลาดใจกับทัศคติที่เปลี่ยนแปลงไปมาก

สิ่งนั้นคือ เดิมทีบริษัทจีนจำนวนมากที่ “ไม่ชอบสิ่งที่อาจเกี่ยวข้องกับนานาชาติ” นั้นแตกต่างอย่างมากจากสิ่งที่จางเติบโตมาในวัยเด็กซึ่งเห็นว่า “เต็มไปด้วย (การพูดคุยเกี่ยวกับ) การแข่งขันโอลิมปิกและงานเวิลด์เอ็กซ์โป”

“เมื่อใดก็ตามที่เราเห็นคนต่างชาติ แม่ของฉันจะผลักให้ฉันไปคุยกับพวกเขาเพื่อฝึกภาษาอังกฤษ”

ความเต็มใจที่จะแลกเปลี่ยนความคิดและเรียนรู้จากโลกภายนอกดูเหมือนจะลดลงในประเทศจีนตามความคิดเห็นของหลายคน และอเมริกาซึ่งเคยเป็นสถานที่ที่ดึงดูดคนหนุ่มสาวชาวจีนจำนวนมาก ก็ไม่ต้อนรับพวกเขาเหมือนเดิม

เมื่อมองย้อนกลับไป จางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องตลกที่เพื่อนของเธอพูดในงานเลี้ยงอำลาก่อนที่เธอจะเดินทางไปสหรัฐอเมริกา ตอนนั้นมันเป็นคำพูดที่ไม่จริงจัง แต่ตอนนี้มันสรุปความกลัวในทั้งวอชิงตันและปักกิ่งได้ว่า “อย่าไปเป็นสายลับ”

รายงานเพิ่มเติมโดย เคลลี อึง