“ดุสิตธานี” ได้เวลาเทิร์นอะราวด์! วาดเป้ารายได้ปี 68 โต 20-25%

“ดุสิตธานี”-ได้เวลาเทิร์นอะราวด์!-วาดเป้ารายได้ปี-68-โต-20-25%
“ดุสิตธานี” ได้เวลาเทิร์นอะราวด์! วาดเป้ารายได้ปี 68 โต 20-25%

เดินหน้าฝ่าคลื่นเศรษฐกิจ!

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังปี 2568 สิ่งที่กังวลคือเรื่องเศรษฐกิจ เนื่องจากการท่องเที่ยวยังตึงตัว ความไม่แน่นอนยังรออยู่อีกมาก ทั้ง การเจรจาการค้า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และสถานการณ์การท่องเที่ยวในประเทศไทย ดังนั้นสิ่งที่จะทำได้คือทำอย่างไรที่จะดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาได้ 

และด้วยสถานการณ์ต่างๆที่ยังต้องติดตามนั้น บริษัทจึงได้ปรับประมาณการณ์ให้สอดรับสถานการณ์ รายได้รวมปี 2568 แตะระดับ 9,000 ล้านบาท เติบโต 20-25% จากปี 2567 มีรายได้ 7,400 ล้านบาท

ซึ่งในปีนี้ยังไม่รวมรายได้จากการส่งมอบงานโครงสร้างพื้นที่อาคารค้าปลีกของโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค (Bare Shell) แต่โตจากธุรกิจโรงแรม 20-25%, ธุรกิจอาหาร 10-15%, ธุรกิจการศึกษา 10-12% และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 100% ซึ่งยังไม่รวม Bare Shell

สัดส่วนรายได้ปี68 ใกล้เคียปี67
– กลุ่มธุรกิจโรงแรม 66-67% 
– ธุรกิจอาหาร 18% 
– ธุรกิจการศึกษา 5%
– ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 7%

อีกทั้งภาระดอกเบี้ยจ่ายปีนี้คาดว่าจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญทันทีที่มียอดโอนกรรมสิทธิ์โครงการที่พักอาศัยในช่วงปลายปี 2568 ช่วยให้บริษัทกลับมาเทิร์นอะราวได้ในปีนี้

ปัจจุบันบริษัทมีหนี้รวม 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็น หุ้นกู้ 4,000 ล้านบาท ครบกำหนดในปี 2569 จำนวน 2,500 ล้านบาท ส่วนอีก 1,500 ล้านบาท เป็นหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ และเป็นหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยจ่าย 6,000 ล้านบาท คิดเป็นดอกเบี้ยจ่ายประมาณ 281 ล้านบาท

ในปี 2567 บริษัทมีรายได้รวมสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 11,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2566 คิดเป็น 74.8% โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 1,650 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

เนื่องด้วยมีภาระดอกเบี้ยจ่ายหุ้นกู้ที่ออกและเสนอขายเพื่อรองรับสภาพคล่องทางการเงินในช่วงโควิด-19 และดอกเบี้ยเงินกู้ยืมประมาณ 281 ล้านบาท รวมถึงดอกเบี้ยของหนี้สินจากสัญญาเช่าตามมาตรฐานการรายงานการเงินฉบับที่ 16 หรือ TFRS 16 ประมาณ 297 ล้านบาท รวมเป็นต้นทุนทางการเงินประมาณ 578 ล้านบาททำให้มีตัวเลขขาดทุนสุทธิในปี 2567 อยู่ที่ 237 ล้านบาท

“หากเราไม่รวมต้นทุนดอกเบี้ยจ่าย ธุรกิจก็ยังมีกำไรจากการดำเนินงาน แต่ที่ต้องออกหุ้นกู้และกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน เนื่องจากที่ผ่านมากลุ่มดุสิตธานีมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค มูลค่า 46,000 ล้านบาทหรือเผชิญวิกฤติครั้งใหญ่อย่างการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กว่า 3 ปี ขณะที่ทุนจดทะเบียนของบริษัทคงอยู่ที่ 850 ล้านบาทไม่มีการเปลี่ยนแปลง”

ภาระดอกเบี้ยจ่ายนี้จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หลังการโอนโครงการที่พักอาศัย ได้แก่ โครงการ Dusit Residences และ Dusit Parkside ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ปัจจุบันมียอดขายถึง 90% คิดเป็นมูลค่า 16,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มทยอยโอนในช่วงปลายปีนี้และจะโอนอย่างมีนัยสำคัญในปี 2569 จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ Unlock Value ของกลุ่มดุสิตธานีเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบด้วยการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากรายได้ที่รอรับรู้

“ศุภจี” มั่นใจว่า กลุ่มดุสิตธานี จะสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องทั้งจากธุรกิจโรงแรมที่สถานการณ์การเดินทางกลับเข้าสู่ภาวะปกติและมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขยายโรงแรมไปยังจุดหมายปลายทางสำคัญทั่วโลกของกลุ่มดุสิตธานีที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.posttoday.com/business/stockholder/725591&ct=ga&cd=CAIyHDI4ODcxZTExZDQzMWVlYzA6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw2eBj06BIMTPwTrdcFutu7_

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *