การจากไปของ “ครูมัท” สะท้อนปัญหาที่ซุกซ่อนในระบบการศึกษาไทย โดยเฉพาะโรงเรียนระดับชั้นประถมศึกษา “ครูรายหนึ่ง” สะท้อนระบบ “ล้างหนี้-งบอุดหนุนต่ำ” กดการศึกษาลงเหว เสนอกระทรวงฯ หันมาดูแลครูโรงเรียนประถมฯ ที่ต้องแบกงานหนัก ความเสี่ยงสูง
กรณีการเสียชีวิตของ ครูมัท อายุ 39 ปี ข้าราชการครูสอนภาษาอังกฤษ โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ สอนชั้นอนุบาล-ประถมศึกษา ที่ต้องทำหน้าที่เป็นครูการเงินและพัสดุ ปลิดชีพตนเองในบ้านพัก ทิ้งจดหมายลาถึง 5 หน้ากระดาษ และหน้าสุดท้ายเขียนถึงปัญหาการทำงานที่ตึงเครียด นำไปสู่การตัดสินใจครั้งนี้
ครูมัท พร้อมกับคำถามถึงหน้าที่ของครูประถมศึกษาที่หนักอึ้ง โดยเฉพาะครูที่ต้องรับผิดชอบด้านการเงินและพัสดุ ที่ต้องแบกรับความเสี่ยง โดยครูรายหนึ่ง ที่ทำงานในโรงเรียนระดับประถมศึกษามากว่า 16 ปี สะท้อนถึงการจัดการของกระทรวงศึกษาธิการว่า กรณีของครูมัท การใช้จ่ายเงินในโรงเรียนอาจยังไม่มีการจัดให้เป็นระบบ เพราะเท่าที่ทราบข่าว มีการเบิกจ่ายเงิน โดยบางรายการไม่ได้มีบรรจุไว้ในโครงการ ซึ่งครูจะรู้ว่า การเบิกเงินไปใช้ในกิจกรรมที่ไม่มีในโครงการจะ “ล้างหนี้” ยากมาก ทำให้ครูที่ทำหน้าที่นี้ ต้องมีการเมคเอกสารขึ้นมา

ประกอบกับกรณีของครูมัท ผู้บริหารสถานศึกษาไม่มีความรู้เกี่ยวกับการเงินและพัสดุ เลยใช้เงินไม่ถูกวิธี ไม่เป็นไปตามระเบียบขั้นตอน ขณะเดียวกันเงินอุดหนุนของโรงเรียนในระดับประถมศึกษา จะได้งบประมาณรายหัวอยู่ที่คนละ 1,700 – 1,900 บาท สมมุติโรงเรียนแห่งนั้นมีเด็กไม่เยอะ แต่มีกิจกรรมมากตามนโยบายของกระทรวงฯ แต่มีวงเงินที่กระทรวงฯ จ่ายรายหัวให้ปีละ 2 แสนบาท ซึ่งเงินก้อนนี้แค่เอามาจ่ายค่าน้ำค่าไฟรายเดือน แทบไม่เหลือให้พัฒนาการศึกษาเด็ก
“เวลาโรงเรียนต้องทำแผนปฏิบัติการประจำปี ต้องเรียกครูทุกคนมาคุยกันว่าปีนี้มีแผนจะทำงานอะไร และโครงการนั้นต้องตอบสนองนโยบายกระทรวง เพื่อทำงบไปขอกระทรวงฯ แต่เวลาทำงานจริง มีบางนโยบายเข้ามาแบบด่วน เช่น ซอฟ พาวเวอร์ ทั้งที่ครูที่ทำงานไม่ได้เขียนของบไว้ในแผนปฏิบัติงาน แต่ผู้บริหารกระทรวงต้องการ ต้องไปดึงงบจากโครงการที่ขอไว้มาใช้ ถ้าผู้บริหารโรงเรียนที่ทำงานมานานจะรู้ว่า ต้องมีการตั้งงบโครงการที่ตอบสนองของโครงการเร่งด่วนของกระทรวงฯ”
การศึกษาเหลื่อมล้ำ โรงเรียนประถมหมุนงบประมาณไม่ทัน
ครูที่ให้ข้อมูลทีมข่าว ทำงานในโรงเรียนประถมศึกษามากว่า 16 ปี เล่าว่า โรงเรียนระดับประถมศึกษาจะมีงบมาให้หัวละ 1,700 – 1,900 บาท เท่านั้นถือเป็นเงินที่ใช้ในการพัฒนาคุณภาพเด็กตลอดปีการศึกษา ต่างจากโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา ที่มีงบประมาณที่สามารถเก็บเงินค่าบำรุงการศึกษากับผู้ปกครองได้ ซึ่งเป็นเงินอีกส่วนที่เพิ่มเข้ามาจากงบของกระทรวงฯ ที่ให้นักเรียนหัวละประมาณ 3,500 บาท ต่างจากโรงเรียนระดับประถมศึกษา ไม่สามารถเก็บเงินจากผู้ปกครองเพิ่มได้
“อย่างครูเพิ่งย้ายจากโรงเรียนระดับประถมศึกษา มาเป็นผู้บริหารในโรงเรียนมัธยมศึกษา ที่มีรายได้เพิ่มเติมจากค่าบำรุงการศึกษา เฉลี่ยเทอมละ 3,000 บาท ทำให้โรงเรียนระดับมัธยมศึกษา มีงบประมาณที่เพิ่มมาจากงบกระทรวงปีละหลายล้านบาท เช่น โรงเรียนของครูมีนักเรียน 1,400 คน ยังเก็บค่าบำรุงการศึกษาได้ประมาณ 3 ล้านบาท/ปี ซึ่งเพียงพอต่อการนำไปพัฒนาการศึกษาให้นักเรียน แต่โรงเรียนระดับประถมศึกษา ไม่สามารถเก็บเงินบำรุงการศึกษาได้ จะมีเพียงงบที่กระทรวงให้เท่านั้น เลยกลายเป็นความเหลื่อมล้ำ ทั้งที่เราควรให้ความสำคัญกับเด็กในโรงเรียนประถมศึกษามากกว่านี้ ขณะเดียวกันด้วยข้อจำกัดนี้ เป็นผลสะท้อนด้านลบกลับมายังครูที่ดูแลด้านการเงินและพัสดุ”
ถ้าแจกแจงเงินอุดหนุนจากรัฐบาลในโรงเรียนแต่ละระดับคือ ก่อนประถมศึกษา 1,836 บาท/คน/ปี, ประถมศึกษา 2,052 บาท/คน/ปี, มัธยมศึกษาตอนต้น 3,780 บาท/คน/ปี, มัธยมศึกษาตอนปลาย 4,104 บาท/คน/ปี
“ด้วยงบประมาณและรายได้ของโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา มีเข้ามาหลายทาง เราเลยไม่ค่อยเห็นครูในโรงเรียนมัธยมศึกษา ประสบปัญหาในเรื่องการเงิน แต่มักจะเจอว่ามีการทุจริต เพราะมันมีเงินที่ไหลเข้ามาได้หลายทาง ต่างจากโรงเรียนที่สอนในระดับประถมศึกษา บางโรงเรียนค่าไฟค่าน้ำ แทบไม่พอจ่ายในแต่ละเดือน หรือนโยบายแจกแท็บเล็ต แต่ไม่มีงบประมาณให้จ่ายค่าไวไฟ โรงเรียนก็ต้องไปดึงงบส่วนต่างๆ มาแก้ปัญหาก่อน”

เงินรายหัวโรงเรียนระดับประถมศึกษา แทบไม่พอไปพัฒนาการศึกษา
ครูที่ทำงานในโรงเรียนประถมศึกษามากว่า 16 ปี ยังย้ำอีกว่า ด้วยงบประมาณรายหัวของโรงเรียนระดับประถม ทำให้ครูต้องดึงงบในโครงการต่างๆ มาใช้ในกิจกรรมที่เป็นนโยบายของกระทรวงฯ แต่เมื่อเวลาหน่วยงานที่มาตรวจสอบงบการเงินของโรงเรียน มีข้อกำหนดว่า งบประมาณต้องส่งเสริมด้านวิชาการไม่น้อยกว่า 60 – 70 เปอร์เซ็นต์ แต่เงินที่ใช้ในการบริหารทั่วไป เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ต้องใช้เงินเยอะกว่างานวิชาการ
การที่ครูบางส่วนต้องรับภาระทั้งเรื่องการเงินและพัสดุ นอกเหนือจากการสอน ถือเป็นภาระที่หนัก เพราะกระทรวงฯ ส่งโควต้าตำแหน่งมาให้แค่ครูธุรการ และภารโรง แต่กระทรวงไม่บรรจุตำแหน่งเจ้าหน้าที่การเงินและพัสดุมาบรรจุด้วย ซึ่งตำแหน่งงานพัสดุสามารถเรียนรู้ได้ แต่งานด้านการเงินครูต้องมาเรียนรู้กันเอาเอง จึงมีโอกาสผิดพลาดสูง บวกกับข้อจำกัดด้านงบประมาณ
รัฐบาลควรมีการจัดสรรงบประมาณให้กับโรงเรียนในระดับประถมศึกษาใหม่ โดยต้องตัดเงินส่วนต่างที่จ่ายค่าน้ำค่าไฟรายเดือนออกมาแยกไว้ก้อนหนึ่ง เพื่อจะได้ไม่ต้องไปเบียดเบียนกับงบประมาณในด้านพัฒนาการศึกษาของนักเรียนที่อุดหนุนเป็นรายหัว
“ครูสอนในโรงเรียนประถมมานาน ก่อนจะย้ายมาโรงเรียนระดับมัธยม ต้องยอมรับว่าครูในโรงเรียนประถมน่าสงสาร เพราะครู 1 คน แทบต้องสอนทุกรายวิชา และครูประถม 1 คน ต้องดูแลเด็ก 40 คน ขณะที่โรงเรียนมัธยม เด็ก 40 คน มีครูดูแล 2 คน เหตุผลของกระทรวงคือ เด็กโตอยากให้มีครูดูแลอย่างใกล้ชิด แต่ในทางกลับกัน ถ้ากระทรวงให้ความสำคัญตั้งแต่เด็กชั้นประถม เอาใจใส่พวกเขาให้มากกว่านี้ เราก็จะได้นักเรียนที่มีคุณภาพมากกว่าที่เป็นอยู่”
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2865122&ct=ga&cd=CAIyHDI4ODcxZTExZDQzMWVlYzA6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw0Ry4NyQ1beeBFsyXf80Wp6