ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันโดย IMD ประจำปี 2568 ประกาศออกมาแล้ว สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย หรือ ทีเอ็มเอ (TMA) จึงนำผลการจัดอันดับมาวิเคราะห์เจาะลึกต่อ ว่าเหตุใดบ้างที่ทำให้ประเทศไทยตกลง 5 อันดับ มาอยู่อันดับที่ 30
ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดย World Competitiveness Center ของ International Institute for Management Development หรือ IMD สวิตเซอร์แลนด์ (IMD – WCC) จัดอันดับ สวิตเซอร์แลนด์ เป็นอันดับ 1 ในปีนี้ ตามมาด้วยอันดับ 2 สิงคโปร์ 3 เขตปกครองพิเศษฮ่องกง 4 เดนมาร์ก และ 5 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ไทยตกมา 5 อันดับ กลับไปยืนที่เดิมในปี 2566
ประเทศไทยมีอันดับลดลงถึง 5 อันดับ มาอยู่ในอันดับที่ 30 เท่ากับเมื่อปี 2566 โดยในปีนี้ มีเขตเศรษฐกิจที่ได้รับการจัดอันดับเพิ่มเติม 3 เขตเศรษฐกิจ คือ โอมาน เคนยา และนามิเบีย และมี 1 เขตเศรษฐกิจที่ไม่เข้าร่วมการจัดอันดับในปีนี้ คือ อิสราเอล ทำให้มีประเทศที่ได้รับการจัดอันดับทั้งหมด 69 เขตเศรษฐกิจจากเดิมที่มี 67 เขตเศรษฐกิจ นอกจากนั้น ยังมีการเพิ่มตัวชี้วัดใหม่ในปัจจัยด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ 3 ตัวชี้วัด และด้านโครงสร้างพื้นฐาน 3 ตัวชี้วัด ทำให้มีจำนวนตัวชี้วัดที่ใช้ในการจัดอันดับรวมทั้งสิ้น 262 ตัวชี้วัด โดยใช้ข้อมูลสถิติ 170 ตัวชี้วัด และจากการสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารภาคธุรกิจ 92 ตัวชี้วัด
จากปัจจัยหลักที่ IMD ใช้ในการจัดอันดับรวม 4 ด้าน ไทยมีอันดับลดลงจากปีที่แล้วในทุกด้าน โดยลดลงมากที่สุดในด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government efficiency) ที่ลดลงถึง 8 อันดับ รองลงมาคือ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (Business Efficiency) ที่มีอันดับลดลงจากปีที่แล้ว 4 อันดับ และสมรรถนะทางเศรษฐกิจ (Economic Performance) ลดลง 3 อันดับ ทั้งนี้ มีประเด็นหลักในแต่ละด้านดังนี้
- สมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับปรับลงเล็กน้อยจากอันดับที่ 5 เป็นอันดับที่ 8 จากการลงทุนระหว่างประเทศ (International Investment) ที่มีอันดับต่ำลงถึง 10 อันดับ ในขณะที่เศรษฐกิจภายในประเทศ (Domestic Economy) มีอันดับดีขึ้น 1 อันดับแต่ยังคงอยู่ในอันดับต่ำคืออันดับที่ 38 และอัตราค่าครองชีพ (Prices) มีอันดับดีขึ้น 4 อันดับมาอยู่ในอันดับที่ 13 ทั้งนี้ ประเทศไทยมีอันดับที่ดีในด้านการค้าระหว่างประเทศ (International Trade) และการจ้างงาน (Employment) โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 4 และอันดับที่ 3 ตามลำดับ
- ประสิทธิภาพของภาครัฐ ลดลงจากอันดับที่ 24 มาอยู่ในอันดับที่ 32 ประเด็นหลักที่ลดลงมากที่สุดและมีอันดับต่ำที่สุดในหมวดนี้คือกรอบการบริหารภาครัฐ (Institutional Framework) ที่ลดลงถึง 10 อันดับมาอยู่ในอันดับที่ 49 รองลงมาคือด้านการเงินภาครัฐ (Public Finance) ที่ลดลงถึง 10 อันดับมาอยู่ในอันดับที่ 31 ส่วนด้านอื่น ๆ คือ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ (Business Legislation) และกรอบดำเนินการด้านสังคม (Societal Framework) ถึงแม้จะมีอันดับลดลงไม่มากแต่ก็เป็นประเด็นที่ประเทศไทยยังมีอันดับต่ำคืออยู่ในอันดับที่ 40 และ 45 ตามลำดับ และมีเพียงด้านเดียวที่มีอันดับที่ดีในหมวดนี้คือ นโยบายด้านภาษี (Tax Policy) ที่ไทยอยู่ในอันดับที่ 8 จาก 69 เขตเศรษฐกิจ
- ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ลดลงจากอันดับที่ 20 มาอยู่ในอันดับที่ 24 โดยประเด็นด้านผลิตภาพ (productivity) ยังคงเป็นจุดอ่อนของประเทศถึงแม้จะมีอันดับดีขึ้นเล็กน้อยจากอันดับที่ 42 เป็น 39 เนื่องจากผลิตภาพของแรงงานและผลิตภาพในทุกภาคเศรษฐกิจของไทยมีอันดับต่ำเป็นอย่างมากมาโดยตลอด รองลงมาได้แก่ ด้านการเงิน (Finance) ที่มีอันดับลดลงถึง 12 อันดับมาอยู่ในอันดับที่ 36 โดยมีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับอัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (Stock Market Index) ที่อยู่ในอันดับ 67 จาก 69 เขตเศรษฐกิจ กิจกรรม M&A ของบริษัทจดทะเบียน และการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านบัตร เป็นต้น
- โครงสร้างพื้นฐาน เป็นปัจจัยที่ไทยอยู่ในอันดับต่ำมาโดยตลอดและยังมีอันดับที่ลดลงอีกในปีนี้ โดยมาอยู่ที่อันดับที่ 47 ถึงแม้ว่าอันดับในด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน (Basic Infrastructure) และโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี (Technological Infrastructure) จะอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำมากแต่ก็มีอันดับลดลงในปีนี้ มีเพียงโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ (Scientific Infrastructure) ที่ขยับขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ยังอยู่ในอันดับต่ำ ส่วนโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาด้านอื่น ๆ ได้แก่ สาธารณสุขสิ่งแวดล้อม และการศึกษา ยังคงอยู่ในอันดับที่ต่ำมากคือ อันดับที่ 58 และ 55 ตามลำดับ
IMD ร่วงลง 5 อันดับ สะท้อนอะไร จะแก้อย่างไร?
ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศดังกล่าวข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยมีความอ่อนแอ ทั้งเชิงโครงสร้างและเชิงระบบที่ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศ และอ่อนไหวต่อความผันผวนจากสถานการณ์ต่าง ๆ ในโลก และมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำกว่าเกือบทุกประเทศในอาเซียนในระยะที่ผ่านมา
ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน หลายปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ประเทศขาด New S-curves ที่เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ขาดระบบการบริหารและกลไกขับเคลื่อนกลยุทธ์แผนงานที่มี focus และมีประสิทธิภาพ หน่วยงานด้านเศรษฐกิจกระจัดกระจาย (Fragmented) ขาดหน่วยงานกลางดูแลภาพรวม สื่อสารนโยบายและติดตามผลการปฏิบัติของแต่ละภาคส่วนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ประสิทธิภาพการทำงานภาครัฐ (Government Efficiency) ยังคงมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการทำงานแบบ แยกส่วน (Silo) กฎหมายที่ไม่ทันสมัย กระบวนการเพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจซับซ้อนเอื้อต่อการทุจริตคอร์รัปชัน SMEs อ่อนแอ และโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษา วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี สาธารณสุขสิ่งแวดล้อม ยังคงไม่เพียงพอต่อการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนได้
คุณนิธิ ภัทรโชค ประธานสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) เสนอแนวทางการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน โดยกำหนดทิศทางในการพัฒนาดังนี้
- Economic Performance มีการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย (Strategic Sector) คือ Agri-food และ Wellness & Medical Tourism เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยพิจารณาต่อยอดจากจุดแข็งของประเทศ (leverage key strengths) และขยายผลโดยใช้โอกาสจากกระแสความต้องการของโลก (capture global trends) โดยก่อประโยชน์ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม (economic and social impacts)
- Government Efficiency สร้างความเชื่อมั่นในการทำงานภาครัฐ (Credible government) จัดตั้งหน่วยงานขับเคลื่อนกลาง กำหนด Champion ที่มีอำนาจและความสามารถอย่างแท้จริง ปรับกฎระเบียบและกระบวนการเพื่ออำนวยความสะดวกทางธุรกิจ (ease of doing business) ลดความเหลื่อมล้ำเพิ่มชนชั้นกลางเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
- Business Efficiency – Enterprise Transformation เพิ่มผลิตภาพและประสิทธิภาพของธุรกิจ หาตลาด Segment และช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ และนำ Digital platform มาประยุกต์ใช้ ปรับเปลี่ยน SMEs ให้เป็น Innovation driven enterprises และพัฒนาทักษะที่สำคัญต่อการเติบโต (Upskill and Reskill)
- Infrastructure – พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา ระบบสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ให้ประชาชนทุกคนมีโอกาสเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ผ่านการปฏิรูประบบการศึกษา เน้น Strategic skills และวางรากฐานระบบสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน
“ภายใต้วิกฤตต่างๆ ที่กำลังรุมล้อมอยู่ในเวลานี้ ประเทศไทยมาถึงจุดที่รอไม่ได้ อีกต่อไป ถึงเวลาต้องลงมืออย่างจริงจัง รัฐต้องแสดงบทบาทนำ มีวิสัยทัศน์ระยะยาว เร่งแก้ไขปัญหา เดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ เสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับประเทศ ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนต้องเร่งปรับตัวพัฒนาศักยภาพของตนเอง และร่วมมือกับภาครัฐและภาคการศึกษาในการขับเคลื่อนวาระสำคัญของประเทศ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนากำลังแรงงานในอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ รวมถึงการสนับสนุนยกระดับความสามารถของ SMEs
“ประเทศไทยยังมีศักยภาพและโอกาสที่จะยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันได้ บนพื้นฐานของ natural endowment และ competitive advantage แต่เราจำเป็นต้องก้าวข้ามแนวคิดและแนวทางแบบเดิม ๆ ปรับ business model ของประเทศใหม่ให้ตอบรับอนาคต มีแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจน และต้องลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ดังที่หลาย ๆ ประเทศที่ประสบปัญหาและเผชิญความท้าทายของสถานการณ์โลกเช่นเดียวกับเราที่สามารถปรับตัวฝ่าวิกฤต สร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมที่เข้มแข็ง ซึ่งผมเชื่อว่าประเทศไทยก็สามารถทำได้หากเรามีทิศทางที่ชัดเจน” คุณนิธิย้ำ
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://techsauce.co/tech-and-biz/world-competitiveness-center-imd-2025-thailand-ranking-30th&ct=ga&cd=CAIyHDI4ODcxZTExZDQzMWVlYzA6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw0yiSQIlrW-0fIK32CDxCZ7