ช่วงที่ผ่านมาคงได้เห็นความขัดแย้งของพี่น้องในธุรกิจดุสิตธานี ล่าสุด นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ได้แถลงครั้งแรก พร้อมกางแผน 9 ปีที่ผ่านมา ของดุสิตธานี ซึ่งปัจจุบัน เป็นช่วงสุดท้ายของแผนดังกล่าวที่ดุสิตธานีพาร์ค จะกลับมาเปิดอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้งภายในปี 2568 ซึ่งเป็นการกลับมายึดมุมถนนสีลม ในรอบ 6 ปี นับตั้งแต่ปี 2562 ที่ดุสิตธานีตัดสินใจ ยุตติการให้บริการโรงแรมดุสิตธานีกรุงเทพแห่งเดิม โดย ปัจจุบันมีคู่แข่งเกิดขึ้นมากมาย อย่างเช่น วันแบงค์คอก

โดยนางศุภจี ได้ออกมาเปิดเผยความคืบหน้าล่าสุดของสถานการณ์บริษัท ว่า จะเห็นได้ชัดว่าในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ตามกรอบเวลาแผนกลยุทธ์ 9 ปีของบริษัท กลุ่มดุสิตธานีได้เผชิญกับความท้าทาย และความยากลำบากมาโดยตลอด ทั้งจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย การแพร่ระบาดของ โควิด-19 การตัดสินใจยุตติการให้บริการโรงแรมดุสิตธานีกรุงเทพแห่งเดิม เพื่อสร้างแห่งใหม่ รวมไปถึงเหตุการณ์ความขัดแย้งล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้น ตลอด 9 ปี ดุสิตธานีเผชิญกับความยากลำบากแต่ก็ผ่านมาได้ทุกเหตุการณ์ และจะพยายามผลักดันแผนกลยุทธ์ 9 ปีที่วางไว้ให้สำเร็จได้ตามเป้าหมาย ซึ่งที่ผ่านมาทุกอย่างค่อนข้างเป็นไปตามเป้าหมาย
โดย แผนกลยุทธ์ 9 ปีของกลุ่มดุสิตธานี ได้วางกรอบระยะเวลาไว้ตั้งแต่ปี 2559-2568 โดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ช่วงเวลลาะ 3 ปี ได้แก่
ช่วงที่ 1 ช่วงสร้างฐาน (2559-2561) เป็นช่วง 3 ปีแรกของการเข้ามาบริหารงานกลุ่มดุสิตธานี โดยวางเป้าโฟกัสที่การสร้างคน ทั้งวัฒนธรรมองค์กร ทัศนคติ การพัฒนาทักษะพนักงาน พัฒนากระบวนการทำงาน เตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี สร้างศักยภาพของสินทรัพย์กลุ่มดุสิตธานี และยกระดับศักยภาพของแบรนด์ดุสิตธานีให้ตอบโจทย์ทุกเซกเมนต์ หรือเซกเมนต์ที่มีศักยภาพสูง รวมถึงเตรียมพร้อมด้านโครงสร้างการเงินเพื่อรองรับแผนระยะยาว
ช่วงที่ 2 ช่วง Take Off (2562-2565) เป็นช่วงขยายการเติบโตให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด ทั้งการขยายธุรกิจโรงแรม ควบคู่ไปกับการขยายธุรกิจการศึกษา ขยายสู่ธุรกิจอาหาร ด้วยการจัดตั้งบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด รวมถึงการเดินหน้าขยายโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ Mixed-Use ที่มีมูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่กลุ่มดุสิตธานี ต้องรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้บริษัทฯ ต้องปรับกลยุทธ์ โดยเน้นการสำรองเงิน เพื่อให้มีกระแสเงินสดที่เพียงพอ ด้วยการตัดสินใจขายทรัพย์สินบางส่วนออกไปเพื่อปรับโมเดลทางการเงินใหม่
ช่วงที่ 3 ช่วง Unlock Value (2566-2568) เป็นช่วงเก็บเกี่ยวการเติบโต ซึ่งขณะนี้กลุ่มดุสิตธานีกำลังเข้าสู่ช่วงปลายของระยะที่สาม และจากการที่กลุ่มดุสิตธานีลงทุนไปก่อนหน้านี้ เพื่อสร้างผลประกอบการที่เติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการขยายโรงแรม จากที่เคยมีโรงแรม 27 แห่งใน 8 ประเทศ ปัจจุบัน ณ ไตรมาสแรกปี 2568 กลุ่มดุสิตธานีมีโรงแรมและวิลล่าภายใต้การบริหารจัดการรวม 294 แห่ง จำนวนห้องพักรวม 12,909 ห้อง ใน 18 ประเทศ เป็นโรงแรม 55 แห่งและวิลล่าหรู 239 แห่ง และในปี 2568 จะรับรู้รายได้จากโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เต็มปี หลังจากเปิดให้บริการเมื่อวันที่27 กันยายน 2567
นอกจากนี้ กลุ่มดุสิตธานียังขยายการลงทุนในธุรกิจอาหาร ผ่านบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งปัจจุบัน มีการลงทุนใน บริษัท เอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง จำกัด ผู้นำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ให้บริการกับโรงเรียนนานาชาติในไทย บริษัท เดอะ เคเทอเรอร์ส จอยท์ สต็อก จำกัด (The Caterers Joint Stock) หรือ เดอะ เคเทอเรอร์ส (The Caterers) ผู้ให้บริการด้านการจัดเลี้ยงสำหรับโรงเรียน และงานเลี้ยงรับรองนอกสถานที่ในประเทศเวียดนาม บริษัท บองชู เบเกอรี่ เอเชีย จำกัด เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ขนมเบเกอรี่ “บองชู” (BONJOUR) มีสาขารวมทั้งสิ้น 99 แห่ง ครอบคลุมในประเทศไทย จีน และเวียดนาม และมีโรงงานผลิตเบเกอรี่ที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง และขณะนี้ บริษัทกำลังอยู่ในขั้นตอนการเตรียมตัวสำหรับการนำธุรกิจอาหารเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ถึงแม้แผนกลยุทธ์ 9 ปี ของดุสิตธานีจะดำเนินไปได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่ดุสิตธานียังคงเผชิญกับ ภาระดอกเบี้ยจ่ายหุ้นกู้ที่ออกและเสนอขายเพื่อรองรับสภาพคล่องทางการเงินในช่วง โควิด-19 ประมาณ 4,500 ล้านบาทโดยมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 5.55% และดอกเบี้ยเงินกู้ยืมประมาณ 281 ล้านบาท ที่กลุ่มดุสิตได้กู้เงินมา รวมประมาณ 6,000 ล้านบาท ที่มีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 5.5-5.7% รวมถึงดอกเบี้ยของหนี้สินจากสัญญาเช่าตามมาตรฐานการรายงานการเงินฉบับที่ 16 อีกประมาณ 297 ล้านบาท ซึ่งรวมเป็นต้นทุนทางการเงินประมาณ 578 ล้านบาท จึงทำให้กลุ่มดุสิตธานีมีตัวเลขขาดทุนในปี 2567 อยู่ที่ 237 ล้านบาท จากรายได้รวม 11,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2566 คิดเป็น 74.8% โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย 1,650 ล้านบาท
นางศุภจี ระบุว่า สำหรับภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายดังกล่าว คาดว่าจะลดลง หลังจากการโอนโครงการที่พักอาศัยจากโครงการเซ็นทรัลพาร์ค ที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้และต่อเนื่องถึงปี 2569 ซึ่งก็คาดว่าในช่วงเวลานั้นจะเป็นช่วงที่กลุ่มดุสิตธานีกลับมามีกำไรสุทธิอีกครั้ง และกลับมาจ่ายเงินปันผลได้ตามปกติ
“สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เป็นช่วงสุดท้ายของแผนกลยุทธ์ 9 ปีที่ได้วางไว้ เรามั่นใจว่ากลุ่มดุสิตธานีจะสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องต่อเนื่อง ทั้งจากธุรกิจโรงแรมที่สถานการณ์การเดินทางอาจจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติและแนวโน้มดีขึ้น ธุรกิจอาหารที่มีแนวโน้มดีขึ้น ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมามีรายได้ 1,470 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 18.6% และธุรกิจการศึกษา ที่มีรายได้ 427 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.8% จะเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญในการสร้างการเติบโตนอกเหนือไปจากธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และจากยอดขายประมาณ 90% ของโครงการ Dusit Residents และ Dusit Parkside ที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการดุสิตเซ็นทรัลพาร์ค ซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณ 16,000 ล้านบาท โดยมีแผนจะเริ่มทยอยโอนในช่วงปลายปี 2568 เราจึงมั่นใจว่าจากปัจจัยต่างๆเหล่านี้จะทำให้ดุสิตธานีกลับมาอย่างแน่นอน“
ขณะที่ครึ่งปีหลังนี้ ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่น่ากังวล และอาจจะส่งผลต่อธุรกิจของกลุ่มดุสิตธานีด้วย ทั้งจาก เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว รวมไปถึงสภาพเศรษฐกิจโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนอย่างมากและไม่สามารถคาดเดาได้ ภัยธรรมชาติ ความมั่นคง ความปลอดภัยภายในประเทศ ความมั่นใจของนักท่องเที่ยว
“จากภาวะเศรษฐกิจ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และสถานการณ์ทางด้านการท่องเที่ยวในประเทศประเทศไทยในปัจจุบัน ดุสิตธานีจึงได้ปรับประมาณการณ์ การเติบโตโดยรวมของกลุ่มดุสิตธานีในปี 2568 โดยคาดว่า การเติบโตของรายได้รวมจากธุรกิจหลักจะเติบโตได้ประมาณ 20 – 25% หรือประมาณ 9,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2567 โดยจะเป็นการเติบโตของธุรกิจโรงแรม 20 – 25% ธุรกิจอาหาร 10 – 15% ธุรกิจการศึกษา 10 -12% และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 100% ไม่รวม Bare Shell” นางศุภจี กล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับแผนเดินหน้าในช่วงครึ่งปีที่เหลือนี้ กลุ่มดุสิตธานีได้วางแผนทำการตลาดแบบพุ่งเป้า หรือ Targeted Marketing เพื่อเน้นกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจน เช่น กลุ่มลูกค้าจากตะวันออกกลาง ที่มีกำลังจ่ายสูง และจะเน้นเจาะกลุ่มการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่แนวโน้มความต้องการเพิ่มสูง เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวในไทยแบบระยะยาว และเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวแบบสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน เป็นต้น
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.pptvhd36.com/wealth/economic/250716&ct=ga&cd=CAIyHDI4ODcxZTExZDQzMWVlYzA6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw3C8CMf73vO5J1NCuQ7hTJ1