ต่างชาติเผย “อาชีพของพ่อแม่” ที่มีลูกป่วยซึมเศร้ามากสุด ผู้เชี่ยวชาญยังตกใจกับ “อันดับแรก”

ต่างชาติเผย-“อาชีพของพ่อแม่”-ที่มีลูกป่วยซึมเศร้ามากสุด-ผู้เชี่ยวชาญยังตกใจกับ-“อันดับแรก”
ต่างชาติเผย “อาชีพของพ่อแม่” ที่มีลูกป่วยซึมเศร้ามากสุด ผู้เชี่ยวชาญยังตกใจกับ “อันดับแรก”

ช็อกวงการศึกษาจีน! “ลูกครู” เสี่ยงซึมเศร้าสูงสุดในหมู่เด็กทั่วประเทศ นักจิตวิทยาชี้ต้นตอมาจาก “ความคาดหวังเกินจริง” แนะพ่อแม่อย่าเป็น “ครูคนที่สอง”

ผลสำรวจจีนชี้ ลูกครูมีแนวโน้มเป็นโรคซึมเศร้าสูงสุดในบรรดาอาชีพของพ่อแม่ นักจิตวิทยาชี้ถึงต้นเหตุจาก “ความคาดหวังและการควบคุม”

ผลสำรวจในประเทศจีน เกี่ยวกับอาชีพของพ่อแม่ที่มีลูกเป็นโรคซึมเศร้า สร้างความตกตะลึงให้กับสังคม เมื่อพบว่า “ลูกของครู” เป็นกลุ่มที่มีอัตราเป็นโรคซึมเศร้าสูงที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับอาชีพอื่นอย่างเจ้าหน้าที่รัฐหรือบุคลากรทางการแพทย์

ศาสตราจารย์สวี ไคเหวิน (Xu Kaiwen) นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง และผู้ทำการสำรวจ ระบุว่า ลูกของครูมีแนวโน้มเป็นโรคซึมเศร้าสูงถึง 29% ซึ่งมากกว่ากลุ่มอันดับสองถึง 4 เท่า

สอดคล้องกับการศึกษาของนักวิจัย ฉี ไค (Qi Kai) ที่พบว่า เด็กที่มีพ่อแม่เป็นครู หมอ หรือข้าราชการ มีแนวโน้มพฤติกรรมสุดโต่ง หรือคิดสั้น สูงกว่าเด็กจากครอบครัวชาวนา คนงาน หรืออาชีพอิสระถึง 4 เท่า โดยเฉพาะในกรณีที่แม่อยู่ในกลุ่มอาชีพเสี่ยงเหล่านี้ พบว่า อัตราการคิดสั้นของลูกนั้น สูงกว่ากลุ่มแม่จากครอบครัวแรงงานถึง 5 เท่า

ทำไมลูกของครูกลับเป็นกลุ่มเสี่ยงมากที่สุด?

หนึ่งในคำตอบสำคัญที่นักจิตวิทยาชี้ถึงคือ “ความคาดหวังที่สูงเกินจริง” และ “ความต้องการควบคุมที่มากเกินไป” จากพ่อแม่ที่มีอาชีพเป็นครู

เนื่องจากในสังคม มักมีความเข้าใจว่า “ลูกครูต้องเรียนเก่ง” เพราะพ่อแม่สามารถสอนลูกได้เองอย่างใกล้ชิด แต่ในความเป็นจริง ครูจำนวนมากกลับไม่มีเวลาให้ลูกของตน เพราะต้องทุ่มเทให้กับนักเรียนในห้องเรียน พวกเขาจึงยิ่งคาดหวังสูงกับลูก และกลายเป็นคนเข้มงวดกับลูกมากกว่านักเรียนของตน

“ลูกของครูต้องเรียนเก่งให้ได้ เพราะมันสะท้อนถึงศักดิ์ศรีของพ่อแม่” ความเชื่อนี้ยังคงฝังแน่นในสังคมจีน

นอกจากนี้ ลูกของครูมักต้องเผชิญกับการเปรียบเทียบตลอดเวลา ทั้งกับเพื่อนในชั้น และกับลูกของครูคนอื่น หากทำคะแนนดีคนจะมองว่าเป็นเพราะมีพ่อแม่ช่วยติว หากคะแนนตก กลับกลายเป็นความผิดของเด็ก

กรณีของนักแสดงสาว ที่เคยเผยความทรงจำวัยเด็กในรายการโทรทัศน์ว่า เคยถูกตีเพียงเพราะสอบได้ 98 คะแนน และหลุดจากอันดับ 3 ของชั้นเรียน ก็เป็นหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนแรงกดดันในครอบครัวของครูได้เป็นอย่างดี

เมื่อ “ครูในบ้าน” กลายเป็น “ผู้ควบคุมชีวิตลูก”

ปัญหาหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าความคาดหวัง คือความต้องการควบคุมชีวิตลูกในทุกรายละเอียด

ดังเช่นในละครจีนเรื่อง Little Joy แม่ที่เป็นครูพยายามกำหนดทุกอย่างให้ลูก ตั้งแต่เลือกมหาวิทยาลัย ไปจนถึงเส้นทางอนาคต โดยอ้างว่า “แม่รู้ดีที่สุด” ผลคือ ลูกสาวรู้สึกอึดอัดจนอยากย้ายเมืองเพียงเพื่อหนีจากแม่

กรณีของ หวัง เมิ่ง (Wang Meng) ผู้จบจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง และไปเรียนต่อสหรัฐฯ แล้วตัดขาดการติดต่อกับพ่อแม่ถึง 6 ปี ก็เป็นอีกหนึ่งบทเรียนสะท้อนผลเสียจากการควบคุมอย่างเข้มงวดในครอบครัวครู

อีกทั้งยังมีเหตุการณ์สลดใจ เมื่อเด็กนักเรียนชั้นมัธยม ฆ่าตัวตายพร้อมทิ้งข้อความสุดท้ายว่า “ผมไม่อยากแข่งเอาอันดับหนึ่งอีกแล้ว มันเหนื่อยเกินไป”

สิ่งที่เด็กต้องการไม่ใช่ “ครูคนที่สอง” แต่คือ “พ่อแม่จริงๆ”

ในบทสัมภาษณ์หนึ่ง แม่ที่เป็นครูได้กล่าวอย่างสะเทือนใจหลังลูกสาวถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า  “ฉันมัวแต่สั่งสอนลูกเหมือนในห้องเรียน ลืมไปว่าสิ่งที่ลูกต้องการไม่ใช่ครู แต่คือพ่อแม่ที่รักและเข้าใจลูกจริงๆ”

ขณะเดียกัน กรณีของศาสตราจารย์หลี่ ไหม่เกิน (Li Maigen) และอาจารย์หลิว อวี่ (Liu Yu) จากมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่างปักกิ่งและชิงหัว ที่เลือกมองลูกเป็น “เด็กธรรมดา” และไม่บังคับให้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยชื่อดัง ก็เป็นอีกมุมมองที่น่าสนใจ

“ลูกฉันสอบเลขได้แค่ 15 จาก 120 คะแนน ฉันแค่หัวเราะแล้วบอกว่า เธอคงได้พันธุกรรมคณิตศาสตร์จากพ่อเธอ”  ศ.หลี่  กล่าวติดตลก

เพราะการเลี้ยงลูกไม่ใช่การแข่งขัน และบทเรียนจากกรณีเหล่านี้เตือนให้พ่อแม่ทุกคนต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า

“เรากำลังเลี้ยงลูกให้เติมเต็มความฝันของเรา หรือให้เขาได้เป็นตัวของตัวเอง?”

“เราเป็นเพียงครูที่ยกไม้ชี้จุดผิดในชีวิตของลูก หรือเป็นพ่อแมที่พร้อมจะโอบกอดแม้ในวันที่เขาล้มเหลว?”

การเลี้ยงลูกไม่ใช่การหว่านคำสั่งหรือใช้ “ไม้บรรทัด” วัดผลสำเร็จ หากแต่คือการร่วมกันหว่านเมล็ด รดน้ำ และรอให้ต้นกล้าเติบโตด้วยตัวของมันเอง ดังนั้น อย่ากลายเป็นผู้ชี้นิ้ว อย่าเปรียบเทียบ อย่าเฝ้ารอแค่ผลลัพธ์ ให้ลูกได้เป็น “คนธรรมดาที่มีความสุข” ดีกว่าเป็น “เด็กเก่งที่ไร้ชีวิตชีวา”

ท้ายที่สุด งานวิจัยครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนสำคัญถึงผู้ปกครอง โดยเฉพาะครูและคนในวิชาชีพที่มีมาตรฐานสูงต่อความสำเร็จการลดความคาดหวัง การละการควบคุม เปลี่ยนมาเป็นพ่อแม่ที่เข้าใจ ไม่ใช่สั่งสอนตลอดเวลา คือกุญแจสำคัญในการดูแลสุขภาพจิตของลูกหลานในยุคที่ความกดดันในระบบการศึกษายังคงเข้มข้น

เพราะพ่อแม่ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แค่เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ลูกได้เป็นตัวเองก็เพียงพอ…

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.sanook.com/news/9803318/&ct=ga&cd=CAIyHDI4ODcxZTExZDQzMWVlYzA6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw2GCip2WYCLN2Lw3PbnWChB

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *