ม.อ. มุ่งพัฒนาเรือนำเที่ยวไฟฟ้าไฮบริด ยกระดับเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวอันดามัน สู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน
ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มขึ้นเพื่อไปสู่ความยั่งยืน หรือ Go Green ธุรกิจต่าง ๆ ก็กำลังตอบสนองด้วยการนำแนวปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเข้ามาใช้มากขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่การลดขยะ การอนุรักษ์ทรัพยากร และการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ไปจนถึงการสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน โดยพื้นฐานแล้ว Go Green คือการเลือกสิ่งที่ดีกว่าสำหรับโลก
เช่นเดียวกันกับภาคการท่องเที่ยวทางฝั่งอันดามันของประเทศไทย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดย คณะการจัดการสิ่งแวดล้อม ที่ได้เข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน โดยการคิดค้น พัฒนา และนำนวัตกรรมระบบ Hybrid เข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมเรือนำเที่ยว หรือเรือหัวโทง ซึ่งเป็นเรือที่นิยมใช้กันอย่างมากในแถมพื้นที่ฝั่งทะเลอันดามันบ้านเรา จนนำมาสู่การได้มาซึ่ง “เรือนำเที่ยวไฟฟ้าแบบไฮบริด” ที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางเสียง ไร้ควัน และนำไปสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้จริง ทั้งยังสามารถส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนได้อีกด้วย
รองศาสตราจารย์ ดร.มนตรี เลื่องชวนนท์ อาจารย์คณะการจัดการสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และหัวหน้าโครงการวิจัยเรือนำเที่ยวไฟฟ้าแบบไฮบริด กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของการเข้ามาพัฒนาเรือนำเที่ยว คือทางจังหวัดกระบี่ ที่มีความสนใจในเรื่องการรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และได้นำนวัตกรรมระบบ Hybrid มาใช้กับเรือหัวโทง ซึ่งเป็นเรือนำเที่ยวที่มีการนำนักท่องเที่ยวไปตามเกาะแก่งต่าง ๆ ของจังหวัดกระบี่และจังหวัดใกล้เคียง โดยได้เข้ามาพัฒนาระบบเครื่องยนต์ให้เป็นระบบสำรอง ด้วยเรือไฟฟ้าระบบแบตเตอรี่ที่มีไฮบริดร่วมด้วย พร้อมกับอีก 2 พลังงานสะอาด คือกังหันลมและโซล่าเซลล์ ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดจากเรือหัวโทงระบบไฟฟ้าไฮบริด คือช่วยลดต้นทุนด้านเชื้อเพลิงได้ถึง 99,000 บาทต่อปี ไม่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ หรือไม่มีการปล่อยควัน ไม่มีกลิ่นเผาไหม้บนเรือ และสามารถลดเสียงดังจากเครื่องยนต์ลงไปได้ประมาณ 70 เดซิเบล
รองศาสตราจารย์ ดร.มนตรี เล่าว่า จากการเปิดตัวเรือนำเที่ยวไฟฟ้าแบบไฮบริด โดยได้นำนักท่องเที่ยวไปเที่ยวชมภาพเขียนโบราณอายุ 3,000 ปี และแพกระชังเลี้ยงกุ้ง เลี้ยงปลา ในบริเวณตำบลแหลมสัก อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ซึ่งมีการทำงานแบบร่วม Hybrid กับเครื่องยนต์ดีเซล โดยให้ระบบเครื่องยนต์สันดาปเป็นระบบขับเคลื่อนสำรอง พลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานหลัก และในการใช้งานขับเคลื่อนเรือไฟฟ้า ผลคือสามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 12 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทั้งยังช่วยลดการใช้งานพลังงานน้ำมัน และลดเสียงรบกวนจากการเดินเรือ ซึ่งได้รับความพึงพอใจจากกลุ่มนักท่องเที่ยวและทีมนักวิจัยเป็นอย่างมาก
หัวหน้าโครงการวิจัยเรือนำเที่ยวไฟฟ้าแบบไฮบริด ยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันนอกจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรือนำเที่ยวไฟฟ้าไฮบริดแล้ว ทางทีมนักวิจัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ยังมีงานวิจัยที่เกี่ยวกับกังหันลม ซึ่งจะต้องพัฒนาให้เหมือนกับการพัฒนาระบบโซล่าเซลล์ และคิดว่าตอนนี้คงเหลือคนทำวิจัยในด้านพลังงานลมแบบจริงจังอยู่ไม่กี่คน ปีที่ผ่านมาได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดของกระทรวงพลังงาน เกี่ยวกับงานวิจัยเรื่องกังหันลมที่สามารถติดกับร้านคาเฟ่ แลสามารถชาร์จโทรศัพท์มือถือได้ ซึ่งข้อดีของกังหันลมคือมีการทำงานตลอด 24 ชั่วโมง แต่ต้องอยู่ในพื้นศักยภาพเท่านั้น สำหรับในส่วนของเรือนำเที่ยวไฟฟ้าแบบไฮบริด ก็ยังสามารถยกระดับและนำไปพัฒนาต่อได้อีกในพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง อาทิ จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต เป็นต้น
“ผมคิดว่าในอนาคตการท่องเที่ยวของประเทศไทย หากเราเน้นในเรื่องของการรักษ์สิ่งแวดล้อม การดูแลแหล่งท่องเที่ยวให้คงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด ประกอบกับการพัฒนาในเรื่องของเทคโนโลยีและ No Carbon เข้าไป ใส่ความเป็น Green เข้าไปเพิ่มอีก ก็จะยิ่งสร้างจุดขายให้กับการท่องเที่ยวของประเทศไทยได้อีกมาก” รศ. ดร.มนตรี เลื่องชวนนท์ กล่าวทิ้งท้าย
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thailandplus.tv/archives/931190&ct=ga&cd=CAIyHGRmMjMzNDMzN2E0NjM2ZDg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw0emg4wVxV8jOnIVnepVOlq