
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบนโยบายในพิธีปิดการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ประจำปี 2568 ภายใต้หัวข้อ “การทูตเชิงรุกที่ตอบโจทย์ประชาชน : จากนโยบายสู่การปฏิบัติ” โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ จัดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจโลก ซึ่งจำเป็นต้องหาวิธีที่จะเสริมสร้างและต่อยอดจุดแข็งของประเทศ พร้อมทั้งช่วงชิงโอกาสใหม่ ๆ ภายใต้ความท้าทายที่แปรผันตลอดเวลาได้อย่างทันท่วงที และมีประสิทธิภาพ พร้อมชี้แจงและให้ข้อมูลที่ถูกต้องในประเด็นสำคัญระหว่างประเทศได้อย่างทันท่วงที เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และไม่ให้กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้ทิศทางขับเคลื่อนการต่างประเทศไทย 3 ทิศทาง ได้แก่
1.การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ (Action Plan) การทูตเชิงรุก เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ไปอยู่ในจุดที่จะได้ประโยชน์สูงสุด ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทางอำนาจ และระเบียบโลก ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
โดยในระยะสั้น นายกรัฐมนตรี เห็นว่าต้องมีการส่งเสริมเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจเดิมที่เป็นรายได้หลักของประเทศ ทั้งการส่งออกสินค้าเกษตร และอาหาร และการท่องเที่ยว เช่น กรณีส่งออกผลไม้ไทยไปทั่วโลก ต้องมีการทำงานเชิงรุกมากขึ้น เพื่อรักษาความนิยมผลไม้ไทย และขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง พร้อมเพิ่มความสะดวกด้านการขนส่งให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว สำหรับเรื่องการท่องเที่ยว ต้องขยายตลาดในหมู่นักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ รวมถึงกลุ่มผู้เกษียณอายุ และกลุ่ม digital nomads ที่เข้ามาอยู่แบบ long-stay
ขณะที่ในระยะยาว นายกรัฐมนตรีต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทย ผ่านการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย พร้อมเสริมสร้างความเชื่อมโยง โดยเฉพาะผ่านโครงการใหญ่ของรัฐบาล ทั้งโครงการแลนด์บริดจ์ โครงการสร้างสนามบินแห่งใหม่ทั้งในภาคเหนือ และภาคใต้ การยกระดับสนามบินทุกแห่งให้ทันสมัย รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ทั้งทางบก ราง น้ำ และอากาศ
ตลอดจนเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ทั้งที่คั่งค้างอยู่ และที่ไทยควรเปิดการเจรจาด้วย การ up-skill และ re-skill เพื่อสร้างแรงงานที่มีคุณภาพสำหรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งรัฐบาลมีการดำเนินโครงการ ODOS (One District One Scholarship) สนับสนุนทุนการศึกษาควบคู่ไปด้วย การส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน และการท่องเที่ยว รวมถึงการเข้าร่วมในกรอบความร่วมมือต่าง ๆ เพื่อกำหนดกฎระเบียบทางเศรษฐกิจใหม่ของโลก
2. การเป็นผู้ส่งเสริมสันติภาพและความมั่งคั่งร่วมกัน ท่ามกลางบริบทโลกที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง และกฎระเบียบครั้งใหญ่ โดยนายกรัฐมนตรี เห็นว่าไทยควรขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ ผ่านการใช้มุมมองด้านการต่างประเทศเป็นเครื่องมือ เพื่อสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศอย่างยั่งยืน โดยเน้นที่ผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญในทุกมิติ เพื่อเข้าใจจุดแข็งและความท้าทาย พร้อมจับสัญญาณโลกอย่างถูกต้อง และรู้เท่าทัน ซึ่งจะทำให้ไทยเลือกเดินกลยุทธ์ได้อย่างชาญฉลาด และได้รับผลประโยชน์ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว
ขณะเดียวกัน ไทยควรดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของประเทศ และประชาชนชาวไทยเป็นหลัก ผ่านกลไกทวิภาคี และภูมิภาค และการพูดคุยด้วยมิตรไมตรีในทุกระดับ พร้อมทั้งทำความเข้าใจ เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพ และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาเซียน อันเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างอำนาจต่อรองร่วมกันในบริบทโลกปัจจุบัน
3. การทำงานเป็นทีมประเทศไทยอย่างจริงจังและจริงใจ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายที่ชัดเจนร่วมกัน โดยนายกรัฐมนตรี เห็นว่า การดำเนินงานด้านการทูตหรือการต่างประเทศในบริบทโลกปัจจุบัน มีหลายมิติ และไม่ได้จำกัดอยู่ในมิติการดำเนินงานของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ทำให้การขับเคลื่อนการทูตเชิงรุกอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างแข็งขัน ภายใต้แนวคิด “ทีมประเทศไทย” ซึ่งนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำทีมประเทศไทย ต้องการให้กลไกทีมประเทศไทยเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การต่างประเทศ
โดยรัฐบาลมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทีมประเทศไทย ด้วยการชี้เป้าหมายที่ชัดเจน และปลดล็อกเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อให้สามารถทำงานได้รวดเร็ว บูรณาการ และมีประสิทธิภาพ สามารถนำพาประเทศก้าวข้ามสถานการณ์โลกที่ไม่แน่นอน ไปยืนในตำแหน่งที่สง่างาม และได้ประโยชน์สูงสุดภายใต้บริบทโลกใหม่ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง
นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำ การแสดงจุดยืนของไทย ในประเด็นสำคัญทั้งระดับทวิภาคี ภูมิภาค หรือระดับโลก รวมถึงการชี้แจงและสื่อสารอย่างเหมาะสมในทุกระดับ และหลากหลายช่องทาง เพื่อให้ประเทศต่าง ๆ เข้าใจถึงท่าที หรือจุดยืนของไทยอย่างถูกต้อง โดยไทยยึดจุดยืนในสันติภาพ การหาทางออกร่วมการอย่างสันติวิธี ผ่านกรอบความร่วมมือต่าง ๆ พร้อมสร้างความเข้าใจ และพัฒนาไปพร้อมกับประเทศเพื่อนบ้าน
โดยเฉพาะใน 3 กรณีสำคัญ ที่ต้องมีการสื่อสารและชี้แจงอย่างเหมาะสม ได้แก่ 1. กรณีมาตรการภาษีของสหรัฐฯ 2. สถานการณ์การเมืองในเมียนมา และ 3. กรณีข้อพิพาทกับกัมพูชา เพื่อให้นานาประเทศทราบถึงพัฒนาการ และเหตุผลความจำเป็นในการดำเนินนโยบายของไทยต่อประเด็นดังกล่าว
“รัฐบาลไม่ได้ต้องการให้เกิดความรุนแรง แม้สังคมโซเชียล อาจจะเชียร์ให้ใช้ความรุนแรง แต่ทั้งรัฐบาลและกองทัพไม่ ได้มุ่งเน้นในเรื่องความรุนแรง โดยเฉพาะคนที่อยู่หน้างาน คือ กองทัพไม่ได้ต้องการให้เกิดความรุนแรง ดังนั้นภายในประเทศต้องสามัคคี และยึดหลักสันติ” นายกรัฐมนตรี กล่าว
พร้อมกับเชื่อมั่นว่า การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Boundary Committee : JBC) ในวันพรุ่งนี้ จะมีส่วนทำให้เกิดความเข้าใจระหว่างสองประเทศมากขึ้น
นายกรัฐมนตรี หวังว่า การประชุมในครั้งนี้ จะสร้างความเข้าใจให้กับทีมประเทศไทย เกี่ยวกับเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ร่วมกัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนแผนต่าง ๆ ให้บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมขอให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ในฐานะหัวหน้าทีม นำทีมประเทศไทยในด่านหน้าทั่วโลกดำเนินการตาม Action Plan ที่ได้ร่วมกันจัดทำในการประชุมครั้งนี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 มิ.ย. 68)
Tags: การทูต, นายกรัฐมนตรี, เอกอัครราชทูต, แพทองธาร ชินวัตร
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.infoquest.co.th/news/2025-IR5C0IQC1VHQOZXHZV5J9NPWZ8XZCKSN&ct=ga&cd=CAIyHDI4ODcxZTExZDQzMWVlYzA6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw3ebBUrqN73rwJx3F8QFeB4