เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. ที่รัฐสภา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ในวันนี้ ว่า วันนี้เป็นนัดแรก ที่จะมีหน่วยงานมาชี้แจง 4 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กระทรวงการคลัง, สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงบประมาณ ในขั้นต้นก่อนที่จะมีการจัดทำร่างพระราชบัญญัติ ซึ่งทุกหน่วยงานพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เศรษฐกิจทั้งปีนี้ และปีหน้าจะตกต่ำ จึงเป็นสิ่งที่น่ากังวล
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า ในปี 68 แต่ละหน่วยก็คาดการณ์ให้ตัวเลขจีดีพีไม่เท่ากัน อยู่ระหว่าง 1.8-2 เปอร์เซ็นต์ ส่วนในปี 69 จะตกต่ำลงไปอีก อยู่ที่ประมาณ 1.6 เปอร์เซ็นต์ และเป็นที่น่ากังวล โดยเฉพาะสิ่งที่ส่งผลกระทบต่องบประมาณ ประเด็นแรกคือการประมาณการรายได้เข้ารัฐ ซึ่งเรามีการคำนวณเบื้องต้นว่า หากจีดีพีตกต่ำแบบนั้น ในปี 69 รายได้รัฐจะหายไป 6 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ ของการประมาณการรายได้ และหากไม่สามารถหารายได้จากที่อื่นมา ก็หมายความว่า รายจ่ายปี 69 จะใช้ได้อย่างไม่เต็มที่ตามที่ได้ตั้งไว้ 3.78 ล้านล้านบาท เพราะหากจะกู้เพิ่ม ก็กู้เพิ่มได้ไม่มาก เพราะรัฐบาลตั้งขาดดุลจนเกือบเต็มเพดานอยู่แล้ว ถ้าจะกู้เพิ่ม จะกู้เพิ่มเกินได้อีกแค่ 1.7 หมื่นล้านบาท
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า ดังนั้นจึงมีการพูดคุยกับกระทรวงการคลังว่า จะมีแนวทางอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนภาษีสรรพสามิต ที่เราเก็บได้ต่ำกว่าเป้ามาโดยตลอด โดยกระทรวงการคลังมีการเสนอแนวทาง 2 อย่าง คือประเด็นแรก ที่จะใช้ทั้งปี 68 และ 69 คือจะมีการเก็บภาษีน้ำมันเพิ่มขึ้น 1 บาท เพียงอาจจะยังไม่กระทบกับราคาน้ำมันที่ประชาชนต้องควักเงินจ่าย แต่จะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น 3 พันล้านบาทต่อเดือน ประเด็นที่ 2 คือการเก็บภาษีตัวอื่น ๆ เพิ่มเติม หรือมีการรื้อโครงสร้างของภาษีรถยนต์ในอนาคต เพราะการเก็บสรรพสามิตที่ลดลงมาก คือในส่วนภาษีรถยนต์ ตามที่เราขายได้น้อยลง รวมถึงการที่เราเก็บภาษีรถอีวีต่ำลงด้วย จึงถือว่าเป็นการปฏิรูปทั้งระบบ จะนำมาซึ่งรายได้ที่นำมาใช้จ่ายในปีงบประมาณ 69
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า เรายังคงมีข้อกังวล เนื่องจากยังไม่มีการลงละเอียดชัดเจนว่า จะมาจากเงินในส่วนไหน และเม็ดเงินเท่าไหร่ ที่ผ่านมาเมื่อมีปัญหาเช่นนี้ กระทรวงการคลังจะใช้วิธีการเอาเงินปันผลจากรัฐวิสาหกิจต่างๆ อย่าง ปตท. กองสลาก กองทุนวายุภักษ์ ซึ่งอาจไม่จีรังยั่งยืน เนื่องจากผลประกอบการรัฐวิสาหกิจอาจจะไม่ดี มีเพียงแค่ท่าอากาศยานไทยที่มีผลประกอบการดีขึ้น สำหรับสัดส่วนดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายในแต่ละปี ที่ไม่มีการตั้งไว้ตามที่ได้วางแผนตอนต้น แต่สำนักงบประมาณได้ให้ความเห็นว่า จะต้องรอลุ้นว่าดอกเบี้ยนโยบายจะตกลงเรื่อย ๆ แล้วทำให้ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล มีค่าใช้จ่ายลดลงหรือไม่อย่างไร ซึ่งเป็นข้อกังวลในอนาคตว่า หากไม่เพียงพอ คงต้องใช้เงินคงคลัง หรืองบกลางมาชำระดอกเบี้ยอีก เหมือนปี 67
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี เราได้ฉายภาพให้ดูว่า ด้วยความที่จีดีพีโตตกต่ำ จะทำให้ไปถึง 70 เปอร์เซ็นต์เร็วขึ้น และปลายปีงบประมาณ 69 จะขึ้นไปถึง 69 เปอร์เซ็นต์ เร็วกว่าที่เคยวางแผนเอาไว้ ส่วนในปี 70 อย่างไรก็ต้องมีการขยายเพดานหนี้สาธารณะออกไปอย่างแน่นอน และกระทรวงการคลังก็ไม่ได้ปฏิเสธในเรื่องนี้ เท่ากับว่าประเทศไทยคงต้องมีมติของคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เพื่อขยายเพดานหนี้สาธารณะในปี 70 และไม่แน่ใจว่า จะเป็นงบประมาณที่รัฐบาลไหนได้ใช้ หากมีการยุบสภาเร็วกว่านี้ ก็อาจไม่ใช่รัฐบาลนี้ ที่จะรับภาระหนี้สาธารณะเกิน 70 เปอร์เซ็นต์ต่อจีดีพี
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีเงินฝืด เรารับรู้กันว่า ตลาดต่าง ๆ เงียบเหงา กำลังซื้อประชาชนกำลังอ่อนตัวลง โดยธนาคารแห่งประเทศไทย ชี้แจงว่า ยังไม่เข้าสู่ช่วงเงินฝืด เพราะเวลาเงินเฟ้อติดลบ ติดลบเป็นหย่อม ๆ ไม่ได้ติดลบทุก ๆ รายการอย่างเท่าเทียม จึงยังไม่เข้าเกณฑ์ภาวะเงินฝืด แต่ต้องยอมรับว่า มีการจับตาดูเรื่องกำลังซื้อที่อ่อนแอลงเรื่อย ๆ อย่างที่เราเห็นว่า คนจับจ่ายใช้สอยน้อยลง ตลาดเงียบเหงา หรือรายได้ของคนที่ลดลง ทั้งค่าจ้างแรงงาน และเกษตรกร
เมื่อถามถึงกรณีเรื่องไลฟ์สด ไม่มีการติดใจอะไรใช่หรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เราเข้าใจมากกว่า เพราะหลายปีแล้ว ที่เราพยายามในเรื่องนี้ ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนใจกรรมาธิการเสียงข้างมากได้ แต่กรณีที่บอกว่า ไม่สามารถไลฟ์สด เนื่องจากตารางโปรแกรมของทีวี รัฐสภาถูกล็อกหมดแล้วนั้น ตนขอเสนอวิธีการแก้ไขง่าย ๆ คือการไลฟ์ผ่านช่องยูทูบ ที่ไลฟ์ได้มากกว่าหนึ่งรายการพร้อม ๆ กัน ได้เลย ส่วนกำหนดการพิจารณาที่ล่าช้านั้น ตนคิดว่าน่าจะเป็นประมาณ 1 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม คิดว่ากรรมาธิการเอง สามารถยืดหยุ่นในการพิจารณาได้ หรือลดจำนวนวันลงได้ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้เวลาน้อยลงได้ ไม่ได้กังวล เพราะจำนวน 105 วันที่ได้รับมาตามรัฐธรรมนูญ ปกติก็ใช้ไม่หมดเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว
เมื่อถามถึงการตั้งเป้าตัดงบ 5 หมื่นล้านบาทของฝ่ายค้านนั้น น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า กรรมาธิการฝ่ายค้านเองยังคิดว่าเป็นปัญหา ตามที่ได้เล่าไปว่า เมื่อรายได้เก็บไม่เข้า รายจ่ายก็ควรจะต้องมีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์เหมือนกัน หากรอถึงวันนั้น วันที่รายได้ได้ไม่ครบจริง ๆ ก็ไม่รู้ว่าโครงการไหนจะต้องเป็นโครงการที่โดนตัดลดไป ควรตัดสินใจตั้งแต่วันนี้ดีกว่า เรายังยืนยัน แม้ในท้ายที่สุด 3-4 เรื่องที่เราแถลงไปว่า เราอยากให้มีมติในเรื่องต่าง ๆ นั้น แต่ประธานกรรมาธิการ และกรรมาธิการเสียงข้างมากไม่ได้เอาด้วยกับเรา แต่เราคิดว่าจำเป็นจะต้องตระเตรียมเรื่องนี้เอาไว้ ในชั้นอนุกรรมาธิการ ซึ่งเราสามารถเข้าไปส่งเสียงในการขอตัดได้ แต่หากไม่ได้อย่างไร เราจะรวบรวมไปขอตัดต่อในวาระที่ 2 ในสภา และจะทำเป็นรายงานเสนอต่อประชาชน ว่าเราพยายามตัดให้ได้มากที่สุดแล้ว แต่เสียงข้างมากไม่เห็นด้วยกับเรา
เมื่อถามต่อว่ากรณีที่ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม.พรรคประชาชน ได้เป็นรองประธานกรรมาธิการลำดับที่ 18 น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เป็นกลยุทธ์ของเรา ซึ่งในรอบนี้เราส่งรองประธานกรรมาธิการ หลังจากที่ไม่ได้ส่งมาประมาณ 3-4 ปีแล้ว เพราะเราเห็นว่าในปีที่แล้ว มีกรรมาธิการฝ่ายค้าน ซึ่งคือพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นรองประธานได้ขึ้นนั่งบัลลังก์มาแล้ว จากกรณีที่รองประธานทั้งหมดไม่มาทำงานในช่วงเวลานั้น ๆ เราจึงคิดว่าถ้าเราติ่งไว้หนึ่งคน จะเป็นโอกาสที่เราสามารถเดินเกมอะไรบางอย่างได้ ในเวลาที่กรรมาธิการฝั่งรัฐบาลไม่มาทำงานตามปกติ
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า น.ส.รักชนก เป็นกรรมาธิการสมัยที่สอง และเป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ของทั้งปี 68 และปี 69 ประจำคณะกรรมาธิการวิสามัญงบประมาณ จึงต้องบอกว่า คุณสมบัติและความรู้ความสามารถครบถ้วน
เมื่อถามย้ำว่าได้มีการวางตัวเป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการชุดไหนหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ยังอยู่ระหว่างการต่อรอง เพราะต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมาประธานอนุกรรมาธิการจะเป็นตำแหน่งของ สส.ฝั่งของรัฐบาลทั้งหมด แต่รอบนี้ เราคงจะต่อรองกันต่อไป อย่างในปีที่แล้ว แม้แต่คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาร่างข้อสังเกต ที่เป็นคนจดบันทึกการประชุม และสรุปข้อสังเกตต่าง ๆ ก็ยังไม่ได้ แต่รอบนี้คงต้องรอดูกันอีกที
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.dailynews.co.th/news/4803017/&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw0yJkcBin9BcTDRpIf5NIZ6