ถกงบ 1.57 แสนล้าน ไม่จบ พิชัย เลื่อนประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ

ถกงบ-1.57-แสนล้าน-ไม่จบ-พิชัย-เลื่อนประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ
ถกงบ 1.57 แสนล้าน ไม่จบ พิชัย เลื่อนประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ

พิชัย เลื่อนประชุมบอร์ดกระตุ้นศก. หลังเคลียร์งบ 1.57 แสนล้านไม่จบ หน่วยงานขอพุ่ง 4 แสนล้าน โครงการต่ำกว่า 5 แสน ถูกตัดทิ้งทันที จุลพันธ์ ประเมินไตรมาส 3 ศก.ไทยอ่วมเต็มที่

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง เปิดเผยว่า เบื้องต้นจะมีการเลื่อนประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ออกไปก่อน จากเดิมมีกำหนดประชุมในวันที่ 11 มิ.ย. 2568 เนื่องจากยังต้องรอข้อสรุปที่ชัดเจนจากที่ประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เกี่ยวกับการจัดสรรเม็ดเงินงบประมาณที่จะใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 1.57 แสนล้านบาทให้เรียบร้อยก่อน โดยหลักการใช้จ่ายเม็ดเงินในส่วนนี้จะต้องทำให้ถูกต้อง ดังนั้นจึงต้องมาพิจารณาอย่างละเอียดว่าแต่ละโครงการที่หน่วยงานต่าง ๆ เสนอเข้ามาอยู่ในเกณฑ์ที่ควรจะเป็นหรือไม่ หรือหน่วยงานจะต้องกลับไปทบทวนใหม่ หลังจากได้ข้อสรุปทั้งหมดแล้วจึงค่อยเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจพิจารณาต่อไป

 เรื่องนี้เราจะไม่รีบร้อน เพราะเงินพวกนี้จะต้องใช้ให้ถูกต้อง ผมดูมาเบื้องต้น อะไรที่เขาเสนอมาแล้วไม่อยู่ในสิ่งที่ควรจะเป็น ก็ต้องให้เขากลับไปทบทวน

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง กล่าวว่า ยอมรับว่าขณะนี้มีคำขอใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท เข้ามาแล้วเป็นหลักหมื่นโครงการ คิดเป็นเม็ดเงินราว 4 แสนกว่าล้านบาท มีทั้งคำขอในส่วนของโครงการลงทุนเกี่ยวกับถนน น้ำ ท้องถิ่นและต่าง ๆ ซึ่งคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ จะต้องมาตีกรอบเพื่อให้การพิจารณาเป็นไปตามหลักเกณฑ์เดียวกัน เช่น เรื่องน้ำ อาจจะพิจารณาสำหรับพื้นที่ที่เคยประสบภัยพิบัติมาแล้ว เรื่องถนน ต้องตอบโจทย์ในการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน 

ขณะเดียวกันโครงการลงทุนที่ต่ำกว่า 5 แสนบาทจะตัดทิ้งทันที เพราะโครงการที่ม่ีขนาดดังกล่าวจะใช้วิธีการจัดซื้อจัดจ้างแบบพิเศษ ไม่ได้เป็นการ e-bidding เนื่องจากคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ ต้องการให้การใช้จ่ายเม็ดเงินมีความโปร่งใสมากที่สุด เพราะงบประมาณส่วนนี้ถูกจับจ้องอย่างมาก ดังนั้นโครงการที่จะเข้ามาขอใช้เม็ดเงินจะต้องอยู่ในเกณฑ์ที่มีความถูกต้องและเป็นโครงการที่มีความพร้อม

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้มีการสั่งการในที่ประชุม ครม. ในเรื่องสำคัญ คือ งบประมาณปี 2569, งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท และงบกลางที่หลายส่วนงานมีคำขอใช้เข้ามา โดยกำชับให้ดำเนินการอย่างรอบคอบ รัดกุม ไม่ให้เอื้อประโยชน์หรืออะไรต่าง ๆ และให้เป็นไปตามมมาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญ ที่บัญญัติว่า “การกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้” และต้องอยู่ภายใต้ความเหมาะสม จึงเป็นเหตุผลให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ ต้องมานั่งสกรีนโครงการอย่างละเอียดมากที่สุด

อย่างไรก็ตาม แนวทางการใช้งบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท อาจจะไม่ได้ใช้ในสำหรับโครงการลงทุนทั้งหมดก็ได้ อาจจะมีการจัดสรรบางส่วนไปเพื่อรองรับผลกระทบในกลุ่มอุตสาหกรรมที่อาจจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ รองรับโครงการจ้างงานต่าง ๆ โดยทั้งหมดจะต้องมาดูความเหมาะสม และความจำเป็นอีกครั้งเกี่ยวกับกรอบแนวทางการดำเนินการว่าควรจะเป็นอย่างไร เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจมากที่สุด และยอมรับว่าอาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะสรุปการจัดสรรเม็ดเงินออกเป็นล็อต ๆ เพื่อเสนอคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจสรุป ทั้งหมดนี้เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ยังไม่ได้มีการตัดสินใจชัดเจนใด ๆ ทั้งสิ้น

เราเปลี่ยนจากแจกเงินหมื่นมาเน้นการลงทุน เพื่อให้เกิดการจ้างงานและขับเคลื่อนซัพพลายเชนในระบบเศรษฐกิจ แม้การแจกเงินจะเห็นผลเร็ว แต่การลงทุนช่วยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว แม้จะมีขั้นตอนจัดซื้อจัดจ้างที่ใช้เวลา ครม.จึงปรับแนวทางตามสถานการณ์ และรับฟังข้อเสนอจากหลายหน่วยงาน ส่วนงบ 1.57 แสนล้านบาท ยังไม่สรุปว่าจะใช้ลงทุนเท่าไหร่ หรือแบ่งทำอย่างอื่นแค่ไหน จึงยังประเมินผลต่อจีดีพีไม่ได้

นายพิชัย กล่าวอีกว่า เบื้องต้นมีการประเมินว่าเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ตั้งแต่ไตรมาส 3/2568 ทั้งจากปัจจัยเสี่ยงเรื่องมาตรการภาษีสหรัฐฯ ที่ตอนนี้ีข่าวดีว่ามีความชัดเจนในเรื่องการนัดหมายการเจรจาระหว่างไทยและสหรัฐฯ แล้ว ซึ่งหากเป็นไปได้ด้วยดี ผลกระทบก็อาจจะเบาบางลง 

สถานการณ์ที่ต้องจับตาขณะนี้มีหลายเรื่อง โดยเฉพาะมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะมีการเก็บภาษีศุลกากร 10% เป็นอย่างน้อย ขณะที่ไทยต้องเจรจาไม่ให้เสียเปรียบคู่ค้าและคู่แข่ง ภายใต้กติกาที่ประเทศรับได้ สถานการณ์โลกวันนี้แทบฉีกข้อตกลงพหุพาคีเดิมเกือบทั้งหมด ความเชื่อมั่นในกลไกการค้าระหว่างประเทศ เช่น WTO ลดลง ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกเผชิญแรงกดดัน แม้ไทยจะยังไม่ถูกกระทบมาก เพราะมีแรงส่งจากการเร่งส่งออกและผลิตล่วงหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.posttoday.com/business/725364&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw1HZiPrDst5kkRz8QN46CYM

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *