‘สถาบันศิโรจน์ผลพันธิน-สวนดุสิตโพล’เผยปชช.มอง‘การศึกษาพิเศษ’ไม่ใช่เรื่องเฉพาะกลุ่ม

‘สถาบันศิโรจน์ผลพันธิน-สวนดุสิตโพล’เผยปชช.มอง‘การศึกษาพิเศษ’ไม่ใช่เรื่องเฉพาะกลุ่ม
‘สถาบันศิโรจน์ผลพันธิน-สวนดุสิตโพล’เผยปชช.มอง‘การศึกษาพิเศษ’ไม่ใช่เรื่องเฉพาะกลุ่ม

‘สถาบันศิโรจน์ผลพันธิน-สวนดุสิตโพล’เผยปชช.มอง‘การศึกษาพิเศษ’ไม่ใช่เรื่องเฉพาะกลุ่ม

วันอาทิตย์ ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 08.10 น.

‘สถาบันศิโรจน์ผลพันธิน-สวนดุสิตโพล’เผยปชช.มอง‘การศึกษาพิเศษ’ไม่ใช่เรื่องเฉพาะกลุ่ม

8 มิถุนายน 2568 “สถาบันศิโรจน์ผลพันธิน” ร่วมกับ “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศเรื่อง “การศึกษาพิเศษในสายตาคนไทย” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,619 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 23 พฤษภาคม – 4 มิถุนายน 2568 พบว่า ปัจจัยที่จะช่วยให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษได้รับการศึกษาที่ดีขึ้น คือ การอบรมให้ความรู้แก่พ่อแม่ในการดูแลลูกที่ถูกต้อง ร้อยละ 68.25 โดยกลุ่มตัวอย่างเห็นว่าเด็กที่มีความต้องการพิเศษควรได้รับการเตรียมความพร้อมด้านทักษะการช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวันมากที่สุด ร้อยละ 83.88 โดยมหาวิทยาลัย/สถาบันการศึกษา ควรมีบทบาทในการจัดอบรมให้ความรู้แก่ครูและผู้ปกครอง ร้อยละ 76.47 เรื่องที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญมากที่สุดเพื่อพัฒนาการศึกษาพิเศษในประเทศไทย คือ การพัฒนาระบบคัดกรองและช่วยเหลือเด็กพิเศษตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม ร้อยละ 64.05

นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า ผลโพลสะท้อนว่าประชาชนต้องการเห็น “การศึกษาพิเศษ” ไม่ใช่เรื่องเฉพาะกลุ่มอีกต่อไป แต่เป็นภารกิจร่วมของสังคม โดยภาครัฐและสถาบันการศึกษาจำเป็นต้องสร้างความเชี่ยวชาญ ผ่านหลักสูตรครูที่เข้าใจเด็กพิเศษอย่างแท้จริง หากดำเนินการอย่างจริงจังจะเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาส และขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ความเท่าเทียมที่จับต้องได้

ด้าน ดร.มลิวัลย์ ธรรมแสง ประธานหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาล่ามภาษามือ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า จากผลการสำรวจความคิดเห็นในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนเห็นความสำคัญของการให้ความรู้แก่พ่อแม่ตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม เพื่อให้สามารถดูแลและส่งเสริมพัฒนาการของเด็กที่มีความต้องการพิเศษได้อย่างเหมาะสม การตระหนักรู้เร็วจะนำไปสู่การฟื้นฟูที่มีประสิทธิภาพและเป็นรากฐานสำคัญของชีวิตเด็กในระยะยาว นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการเตรียมทักษะการช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นหัวใจของการดำรงชีวิตอย่างอิสระและการเรียนรู้ต่อเนื่อง การคัดกรองความพิการควรดำเนินไปเพื่อการช่วยเหลือและเยียวยา ไม่ใช่เพื่อแบ่งแยกหรือกีดกันเด็กออกจากระบบการศึกษา ขณะเดียวกันสถาบันการศึกษาและรัฐควรมีบทบาทเชิงรุกในการอบรม สนับสนุนบุคลากร และพัฒนาเครื่องมือหรือเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ช่วยให้เด็กกลุ่มนี้เข้าถึงโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม เพื่อสร้างระบบการศึกษาที่ครอบคลุมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง

-005

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.naewna.com/local/890080&ct=ga&cd=CAIyHDI4ODcxZTExZDQzMWVlYzA6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw36iokFJH3TLNCcDM5vRtAw

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *