“Wynn Resort” หนุนไทยปั้น ‘เขตบันเทิงครบวงจร’ สร้างแม่เหล็กท่องเที่ยว

ประเทศไทยอาจกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และครบวงจร หากโครงการ “Entertainment Complex” ที่ผสมผสานความบันเทิง เทคโนโลยี วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ ถูกขับเคลื่อนอย่างจริงจัง โดยล่าสุด หนึ่งในยักษ์ใหญ่ระดับโลกในวงการรีสอร์ตและความบันเทิง “Wynn Resorts” ได้ออกมาสนับสนุนแนวคิดนี้ พร้อมชี้ว่าไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทางทั่วโลก ที่กำลังมองหาประสบการณ์ใหม่แบบครบวงจร

ใช้แบรนด์ “ประเทศไทย” สร้างจุดขายใหม่ของโลก

นายคริสโตเฟอร์ เอ็ม กอร์ดอน ประธาน Wynn Resorts Development กล่าวภายในงานเสวนาโต๊ะกลมว่าด้วยสถานบันเทิงครบวงจรของไทย หรือ Thailand Entertainment Complex Roundtable (TECR) โดยกลุ่ม IAG ว่าความโดดเด่นของประเทศไทยอยู่ที่ “แบรนด์ประเทศ” ที่แข็งแกร่งในด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะชื่อเสียงระดับโลกในเรื่องธรรมชาติ วัฒนธรรม อาหาร และการต้อนรับแบบไทย ๆ ที่ไม่เหมือนใคร จึงเป็นโอกาสอันดีในการต่อยอดด้วยการสร้าง “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ที่จะกลายเป็นแลนด์มาร์กใหม่ของเอเชีย และช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยือนเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง

“หากประเทศไทยสามารถพัฒนาเขตความบันเทิงครบวงจรได้สำเร็จ จะกลายเป็นจุดหมายใหม่ของนักท่องเที่ยวที่ไม่เพียงแค่แวะมา แต่ตั้งใจมาเพื่อใช้เวลาอยู่ในไทยนานขึ้น จากสถานที่ที่มีอยู่แล้ว เช่น ภูเก็ต พัทยา หรือเชียงใหม่ สามารถยกระดับเป็นศูนย์กลางบันเทิงระดับโลกที่ไม่เหมือนใคร” นายกอร์ดอนกล่าว

เขาเน้นว่า แนวคิด “เขตความบันเทิงครบวงจร” ควรไปไกลกว่าการเป็นแค่สิ่งปลูกสร้างหรือคาสิโน หากแต่ต้องผสมผสานความบันเทิงหลายรูปแบบเข้าด้วยกัน ทั้งศิลปวัฒนธรรมไทย การแสดงระดับโลก เทคโนโลยีอินเทอร์แอคทีฟ พิพิธภัณฑ์ ศูนย์ประชุม สวนน้ำ สวนสนุก และกิจกรรมสำหรับครอบครัว เพื่อสร้าง “ประสบการณ์ร่วม” ที่น่าจดจำ

ดึงนักท่องเที่ยวพักเพิ่ม 1 คืน = รายได้เพิ่มมหาศาล

ด้านนายเควิน เคลย์ตัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายแบรนด์ ประจำประเทศไทย ของ Galaxy Entertainment Group เสริมว่า โอกาสของไทยในอุตสาหกรรมนี้มีอยู่มาก โดยยกตัวอย่างจากกรณีศึกษาในสิงคโปร์ ที่เมื่อมีการลงทุนสร้างรีสอร์ตครบวงจรแล้ว สามารถเพิ่ม “ระยะเวลาพักเฉลี่ย” ของนักท่องเที่ยวได้อีก 1 คืน
 

“หากเราประเมินจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยกว่า 36 ล้านคนต่อปี และสมมติว่า 70-80% ของนักท่องเที่ยวเหล่านี้ตัดสินใจพักเพิ่มอีกเพียง 1 คืน ก็จะสร้างรายได้จากการบริโภค ท่องเที่ยว และบริการในประเทศเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล” นายเคลย์ตันกล่าว

ตัวเลขอาจฟังดูเรียบง่าย แต่หากคิดในเชิงเศรษฐศาสตร์ นี่คือการขยายขนาดเศรษฐกิจท่องเที่ยวแบบไม่ต้องเพิ่มจำนวนคน แต่เพิ่ม “คุณภาพและมูลค่า” ของการเข้าพัก

สร้างงาน – ยกระดับทักษะคนรุ่นใหม่

นอกจากรายได้ทางตรงจากนักท่องเที่ยว การพัฒนาเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ยังเป็นการลงทุนใน “ทุนมนุษย์” ของไทยด้วย โดยคาดว่าจะสร้างงานในท้องถิ่นได้หลายพันตำแหน่ง ทั้งในสายงานบริการ เทคโนโลยี การจัดการอีเวนต์ และอุตสาหกรรมบันเทิง ซึ่งเปิดโอกาสให้เยาวชนไทยได้พัฒนาทักษะที่ตอบโจทย์อนาคต

“นี่ไม่ใช่แค่เรื่องการสร้างอาคาร แต่เป็นการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ ที่จะจ้างคนไทยให้มีรายได้เพิ่มขึ้น และมีโอกาสเติบโตในอาชีพอย่างยั่งยืน” นายกอร์ดอนกล่าว

เก็บภาษีได้เพิ่มถึง 5 พันล้านดอลลาร์/ปี

สิ่งที่อาจทำให้รัฐบาลไทยต้องพิจารณาอย่างจริงจังคือ รายได้จากภาษีที่สามารถจัดเก็บเพิ่มขึ้น จากการเกิดขึ้นของโครงการลักษณะนี้ โดยการประเมินของ Wynn Resorts ระบุว่า หากดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบ ไทยจะสามารถเก็บรายได้ภาษีเพิ่มถึง 5 พันล้านดอลลาร์ต่อปี หรือราว 180,000 ล้านบาท ซึ่งเทียบเท่าครึ่งหนึ่งของงบประมาณทั้งกระทรวงศึกษาธิการ

“สิ่งสำคัญคือเงินภาษีที่จัดเก็บได้เหล่านี้จะนำไปใช้เพื่อสร้างประโยชน์ให้ประชาชน เช่น การพัฒนาการศึกษา สาธารณสุข หรือโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างผลตอบแทนกลับคืนให้ประเทศแบบยั่งยืน” เขากล่าว

มองไกลกว่าคาสิโน คือจุดเปลี่ยนของไทยสู่ฮับความบันเทิงเอเชีย

ทั้งนี้ ตัวแทนจาก Wynn และ Galaxy ต่างเน้นว่า คำว่า “Entertainment Complex” ในบริบทของไทย ไม่ได้หมายถึง “กาสิโน” เพียงอย่างเดียว แต่คือการออกแบบประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่ที่หลากหลาย เข้าถึงได้ และผสมผสานอัตลักษณ์ไทยได้อย่างชาญฉลาด

และนี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนของประเทศไทยในการยกระดับ Soft Power ของตนเอง ผ่านการสร้างเมืองหรือเขตพิเศษที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวและคนรุ่นใหม่จากทั่วโลก

Entertainment Complex ไม่ใช่แค่ ‘ความบันเทิง’ แต่คือการสร้าง ‘โอกาสใหม่’ ให้ประเทศไทย

จากคำยืนยันของผู้นำอุตสาหกรรมระดับโลก สิ่งที่ประเทศไทยต้องทำต่อจากนี้คือ การสร้างกรอบนโยบายที่ชัดเจน เปิดกว้างให้เอกชนร่วมลงทุน พร้อมวางระบบกำกับดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้โครงการนี้ไม่ใช่เพียงแค่ฝัน แต่เป็น “โอกาสจริง” ที่จะเปลี่ยนเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืนและมีอนาคตยิ่งกว่าเดิม