“สรวงศ์”เผยงบกระตุ้นท่องเที่ยวนำเสนอคณะอนุกรรมการกลั่นกรอง 5 มิ.ย.ด้านททท.ชู TTM+ 2025 กระตุ้นท่องเที่ยว

วันที่ 4 มิ.ย.68 นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้สรุปโครงการงบลงทุนเพื่อขอรับการจัดสรรงบกลางกระตุ้นเศรษฐกิจของทุกหน่วยงานภายใต้กระทรวงท่องเที่ยวฯ และรวมถึงโครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ของกระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย รวมทั้งสิ้น 184 โครงการ รวมวงเงิน 13,381 ล้านบาท คาดว่าจะส่งผลกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวมูลค่า 267,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม โครงการที่เสนอทั้งหมดนี้จะต้องผ่านการกลั่นกรองของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในวันที่ 5 มิ.ย. นี้ ก่อนว่าจะมีโครงการใดที่ได้รับการอนุมัติ เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 10 มิ.ย. 68

ด้าน นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า เฉพาะส่วนของ ททท. จะเสนอของบมากกว่า 3,200 ล้านบาท ซึ่งจะก่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวเป็นมูลค่า 90,000 ล้านบาท โดยโครงการจะต้องเริ่มก่อนเดือนกันยายน 2568 และดำเนินการได้ถึงเดือนกันยายน 2569 ประกอบด้วย 1.โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง วงเงิน 1,780 ล้านบาท ล่าสุดปรับเงื่อนไขการใช้สิทธิ กำหนดจำนวนสิทธิอยู่ที่ 5 แสนสิทธิ 2.โครงการสนับสนุนแพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์หรือโอทีเอ วงเงิน 800 ล้านบาท  และ 3.โครงการไทยแลนด์ ซัมเมอร์ บลาสต์ – ไชน่า แอนด์ โอเวอร์ซี มาร์เก็ต สติมูลัส แพลน (Thailand Summer Blast – China & Overseas Market Stimulus Plan) วงเงิน 750 ล้านบาท

ซึ่งจะช่วยกระตุ้นมูลค่าทางเศรษฐกิจท่องเที่ยว 33,518 ล้านบาท ทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยไม่น้อยกว่า 790,000 คน ภายใต้โครงการนี้แบ่งการจัดสรรงบ 350 ล้านบาทเพื่อสนับสนุนเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (ชาร์เตอร์ไฟลต์) จากประเทศจีนและตลาดอื่นๆ บินตรงเข้าไทย ด้วยการสนับสนุนเงิน 350,000 บาทต่อเที่ยวบินเช่าเหมาลำ จำนวนไม่น้อยกว่า 1,000 เที่ยวบินจาก 15 เมืองรองของจีนเข้าสู่กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ เชียงราย พัทยา กระบี่ และสมุย คาดดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทย 140,000 คน นอกจากนี้ยังของบ 250 ล้านบาทเพื่อนำไปทำโปรโมชันร่วมกับเที่ยวบินเชิงพาณิชย์ของสายการบินทั้งในไทยและต่างประเทศ คาดจะดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทยมากกว่า 500,000 คน และอีก 150 ล้านบาทสำหรับกระตุ้นตลาดเดินทางเพื่อเป็นรางวัล (อินเซนทีฟ) และกลุ่มซัมเมอร์แคมป์ 
 
นอกจาก 3 โครงการดังกล่าวแล้ว ททท.ยังได้เสนอของบมาทำการตลาดประชาสัมพันธ์เพิ่มเติม รวมถึงการดึงเอ็กซ์คลูซีฟคอนเสิร์ต (Exclusive Concert) จากศิลปินระดับโลก และการสนับสนุนงานคอนเสิร์ตที่ผู้ประกอบการสัญชาติไทยเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์

ทั้งนี้ นางสาวฐาปนีย์ กล่าวว่า แม้จะมีการปรับ ครม. ก็จะไม่กระทบท่องเที่ยว เพราะเศรษฐกิจเป็นเรื่องปากท้องประชาชน ททท. จึงต้องเดินหน้าเนื่องจากหากมองว่าเศรษฐกิจของประเทศชาติ การท่องเที่ยวจะเป็นองค์ประกอบทำให้แข็งแรงสมบูรณ์ โดยเฉพาะเรื่องของการทำตลาดจะต้องทำด้วยใจและการลงเงิน อาทิ การส่งเสริมการตลาดร่วมกัน ซึ่งตอนนี้ได้ทำแผนการส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยวไทยผ่านการของบประมาณจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจก้อน 1.57 แสนล้านบาท  เพราะตลาดคู่แข่งมีการใช้เงินงบประมาณส่งเสริมการตลาดร่วมกันจำนวนมากเช่นกัน 

“ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณทำแคมเปญการตลาดร่วมกันเป็นเม็ดเงินจำนวนมากขนาดนั้น เพราะองค์ประกอบภาคการท่องเที่ยวของไทยมีความสมบูรณ์อยู่แล้ว รวมถึงมีดีมานด์อยู่แล้ว ซึ่งทุกตลาดมีการทำการบ้านอยู่แล้ว แต่ต้องเลือกว่าจะนำตลาดใดมาทำแคมเปญร่วมกันอย่างไร รูปแบบใด”  นางสาวฐาปนีย์ กล่าว 

นางสาวฐาปนีย์  กล่าวว่า ไทยแลนด์ ทราเวล มาร์ท พลัส 2025 (TTM+ 2025)  เป็นงานส่งเสริมการขายด้านการท่องเที่ยวระดับนานาชาติในรูปแบบ B2B ถือเป็นอีกหนึ่งเวทีสำคัญของผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวไทยที่จะได้นำเสนอสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยว จัดขึ้นในวันที่ 4 – 6 มิถุนายน 68 ณ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จ.เชียงใหม่ นำผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทย 450 ราย เสนอสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวกับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวกว่า 406 ราย จาก 53 ประเทศทั่วโลก คาดสร้างจำนวนนัดหมายเจรจาธุรกิจกว่า 13,000 นัดหมาย รายได้หมุนเวียนกว่า 4,296 ล้านบาท 

ทั้งนี้กิจกรรมโปรแกรมท่องเที่ยว จำนวน 6 เส้นทาง ระหว่างวันที่ 7-11 มิ.ย. 68 นำเสนอเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงสู่เมืองน่าเที่ยว จ.ลำปาง แพร่ น่าน เส้นทางท่องเที่ยวเชิงอาหารใน จ.ขอนแก่น นำเสนอความสวยงามของธรรมชาติ ลิ้มรสอาหารถิ่นในเส้นทางภาคตะวันออก จ.ระยอง ชลบุรี ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ในเส้นทางภาคกลาง จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี และท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในเส้นทางภาคใต้ จ.สุราษฎร์ธานี โดยจะเน้นการนำเสนออัตลักษณ์ท้องถิ่นซอฟต์พาวเวอร์ไทยควบคู่ไปกับการสอดแทรกแนวคิดความยั่งยืนโดยแต่ละเส้นทางจะมีการคำนวนคาร์บอนด์ฟุตพริ้นท์ทุกเส้นทาง