เศรษฐกิจไทยปี 2568 อยู่ในสถานการณ์ที่น่ากังวล หลายหน่วยงานทยอยปรับลดประมาณการเศรษฐกิจ และล่าสุดสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติลดเป้าหมายเศรษฐกิจมาอยู่ที่ 1.3-2.3% จากกรอบเดิม 2.3-3.3% ขณะที่รัฐบาลพยายามวางแผนการรับมือผลกระทบจากภาษีตอบโต้ของสหรัฐ
ช่วงที่ผ่านมาหลายฝ่ายออกมาแสดงความเห็นถึงการรับมือผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสงครามการค้า รวมถึงแนวทางการบริหารเศรษฐกิจระยะยาว เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้เต็มศักยภาพ ซึ่ง “กรุงเทพธุรกิจ” มีโอกาสสัมภาษณ์ผู้นำทางการเมืองและผู้นำทางธุรกิจถึงทางออกของประเทศไทยในสถานการณ์ปัจจุบัน
นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์เครือเนชั่น โอกาสครบรอบ 25 ปีเนชั่นทีวี เมื่อวันที่ 30 พ.ค.2568 ว่า ช่วง 2 ปีที่เหลือรัฐบาลมีนโยบายสำคัญต้องทำ คือ แก้ปัญหายาเสพติดและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะค่าครองชีพประชาชนที่ต้องทำให้ลดลง
สำหรับการบริหารนโยบายเศรษฐกิจช่วงครึ่งหลังปี 2568 รัฐบาลต้องยกระดับราคาสินค้าเกษตร เพราะเข้าถึงประชาชนโดยตรง ซึ่งรัฐบาลอุดหนุนประชาชนไม่ได้มากเหมือนอดีต โดยจะใช้งบประมาณค้ำประกันอย่างเดียวไม่พอ เพราะรัฐบาลมีหนี้สูง และหนี้สาธารณะต่อจีดีพีขณะนี้สูงมาก รวมถึงหนี้ครัวเรือนเช่นกัน ดังนั้น รัฐบาลต้องพยายามแก้ปัญหานี้ควบคู่การกระตุ้นเศรษฐกิจ
ส่วนการจัดสรรงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณปี 2568 ที่เดิมใช้สำหรับแจกเงินดิจิทัล เพราะปัจจุบันมีปัญหาจากมาตรการภาษีของสหรัฐ ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนงบประมาณในส่วนนี้จึงต้องเตรียมสำรองเงินเพื่อช่วยประชาชนที่จะรับผลกระทบจำนวนหนึ่ง และอีกส่วนปรับเปลี่ยนงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งดีกว่าช่วงนี้เพราะยังมีความไม่แน่นอน
ส่วนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตจะมีต่อหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ยังจะต้องมี โดยรอให้เศรษฐกิจดีขึ้นจะกลับมาทำนโยบายนี้
“นโยบายอะไรที่สัญญาไว้กับประชาชนต้องทำให้ได้ ทั้งรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เรื่องดิจิทัลวอลเล็ต ทำช้าทำเร็วแต่ต้องทำ เหมือนกับผมมีเจ้าหนี้อยู่ 100 บาท แต่วันนี้มีเงินอยู่ 10 บาทยังไงก็ต้องทยอยจ่ายให้ครบ” นายทักษิณ กล่าว
ชี้การเจรจาภาษีทรัมป์ต้องเดินหน้าต่อ
นายทักษิณ ให้ความเห็นต่อเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูงจากนโยบายภาษีของสหรัฐว่า สิ่งสำคัญขณะนี้อยู่ที่ทุกคนต้องเปลี่ยนวิธีการทำมาหากิน เพราะมีปัญหาการแข่งขันมาก มีสินค้าจีนทะลักเข้ามามากและกระทบหลายภาคส่วน แต่รัฐบาลกำลังดูว่า สินค้าจีนที่มาไม่ถูกต้องเร่งแก้ไขเพราะมีการลักลอบการนำสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานเข้ามามากเกินไป ซึ่งจะทำให้เอสเอ็มอีไทยอยู่ไม่ได้
สำหรับการเจรจาภาษีกับสหรัฐขณะนี้ การใช้นโยบายภาษีอาจสะดุดลง เพราะศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐสั่งระงับคำสั่งประธานาธิบดีทรัมป์ นายทักษิณ กล่าวว่า ในที่สุดแล้วเชื่อว่าประธานาธิบดีสหรัฐจะอุทธรณ์ได้และชนะ ดังนั้นการเจรจาภาษีต้องเดินหน้าต่อ วันนี้เจรจาหลายระดับและในเงื่อนไขที่กำหนดมาจะผ่อนคลายลงให้ไทยเจรจาได้มากขึ้น
ส่วนประเด็นการเข้าไปช่วยเจรจา นายทักษิณ ระบุว่า คงต้องช่วยเจรจาในประเทศ เพราะได้ขออนุญาตออกไปข้างนอกแล้วไม่ได้รับอนุญาต ก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง มันไม่เหมือนกับการเจรจาแบบเจอหน้ากัน (Face to Face)
“หนี้ครัวเรือน”น่ากังวลที่สุด
นายทักษิณ ตอบคำถามประเด็นปัญหาเศรษฐกิจที่กังวลสุดขณะนี้ คือ ปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งได้แก้ไข 5 แสนราย จากทั้งหมด 5 ล้านราย ส่วนที่แก้ปัญหาได้ 5 แสนราย ภายในปีนี้จะทำให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเบาบางและประชาชนปรับตัวได้
ส่วนข้อเสนอของ สส.ในการล้างหนี้ให้คนจน คงไม่ได้ทำแบบนั้น แต่จะใช้เงินจากกองทุนเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) และกลไกจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐในการแก้ปัญหาหนี้ให้ประชาชน แต่ไม่ใช่การล้างหนี้ให้ประชาชนเลยเพราะจะเป็นปัญหา Moral Hazard ได้
แนะดันนโยบายลงถึงประชาชน
นายทักษิณ กล่าวว่า การบริหารงานมีสิ่งสำคัญ คือ ทำให้นโยบายลงไปให้ถึงประชาชน โดยกระทรวงหลัก คือ กระทรวงมหาดไทย ที่ยังไม่ค่อยถึงประชาชนเพราะยังไม่ค่อยทำเต็มที่ แต่เวลารัฐบาลเหลือ 2 ปีแล้ว จำเป็นที่กระทรวงมหาดไทยต้องทำงานให้เต็มที่เพื่อประชาชน
ทั้งนี้ หากต้องการทำงานให้ได้ผล พรรคเพื่อไทยต้องตัดสินใจเพื่อให้นโยบายถึงประชาชนต้องให้กระทรวงมหาดไทยอยู่ในความดูแลของพรรคเพื่อไทย
“ผมยังไม่ได้ถามหัวหน้าพรรค ถ้าให้วิเคราะห์ก็เป็นเรื่องที่คงต้องพูดกันว่า ให้พรรคเพื่อไทยเข้าไปทำบ้าง จะได้ทำนโยบายถึงเพื่อประชาชนได้สักที เพราะเวลาเหลือน้อยแล้ว อีก 2 ปีจะเลือกตั้งแล้ว” นายทักษิณ กล่าว
ส่วนกระทรวงอื่นที่ทำให้รัฐบาลทำงานกระชับกระเฉงและจะทำให้ชนะเลือกตั้งครั้งต่อไป เห็นว่า มีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคลังและกระทรวงคมนาคมที่ถือเป็นหัวใจสำคัญ
“กระทรวงเกษตร พาณิชย์ คลัง คมนาคม ก็เป็นหัวใจ โดยคมนาคมมีเรื่อง 20 บาทตลอดสาย พูดไปแล้วต้องทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องมีเหตุผลบอกกับประชาชน” นายทักษิณ กล่าว
“สารัชถ์”ชี้ภาษีทรัมป์ตัวแปรเศรษฐกิจไทย
นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ทิศทางเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง หลายคนยังพูดกันไปในหลายอย่างซึ่งยังเป็นข้อมูลที่สับสนอยู่ บางสำนักบอกว่า GDP ไทยจะเหลือที่ 1% ส่วนบางสำนักบอกว่าจะอยู่ที่ 2% หรือ 3%
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวมองว่าตัวแปรสำคัญอยู่ที่การกำหนดภาษีนำเข้าของสหรัฐ ซึ่งตราบใดที่ยังไม่ชัดเจนจะทำให้การคาดการณ์ยาก และหากเทียบภูมิภาคกรณีภาษีไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่งที่ส่งออกไปสหรัฐคล้ายกัน เช่น สินค้าเกษตรและประมง โดยหากไทยมีราคาสูงกว่าจะส่งออกไปขายในสหรัฐยากขึ้น และอาจเกิดการย้ายโรงงานไปผลิตที่อื่นแทน เพราะต้องคำนึงต้นทุนเป็นหลักจึงน่าเป็นห่วงมาก
นายสารัชถ์ ตอบคำถามถึงข้อเสนอแนะการแก้ไขปัญหาว่า ตอนนี้คงเสนอแนะอะไรลำบาก เพราะสหรัฐจะพิจารณาความได้เปรียบเสียเปรียบทางการค้าแต่ละประเทศ ทำให้ต้องระมัดระวังและปรับตัวรองรับผลกระทบเศรษฐกิจไทย รวมถึงนักธุรกิจทุกคนต้องปรับตัวเพราะไทยไม่มีธุรกิจใหม่เกิดขึ้นมากเมื่อเทียบประเทศเพื่อนบ้านที่เกิดธุรกิจและสร้างเศรษฐกิจใหม่มาก เช่น ด้านดิจิทัล และ AI
“เรายังไม่มีอะไรมากนักเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน สิ่งที่ไทยจะมีอะไรใหม่ๆ ได้ จะต้องสร้างบุคลากรด้านดิจิทัล แม้จะมีบุคลากรระดับหนึ่งที่ทำเรื่องซอฟต์แวร์และ AI แต่ยังไม่เพียงพอและมากเท่ากับประเทศอื่น ซึ่งดิจิทัลช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพมากขึ้น” นายสารัชถ์ กล่าว
แนะรัฐบาลหนุนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
นอกจากนี้ ส่วนตัวยังเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยยังไปได้ โดยไม่ได้มองว่าจะถึงขั้นเสียหายหรือไปไม่ได้เลย แต่อาจจะชะลอตัวบ้างและเชื่อว่าจะกลับมาได้ ดังนั้น ประเด็นหลักอยู่ที่การช่วย SME
ปัจจัยหลักที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยไปได้มองว่ารัฐบาลพยายามที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น เพื่อเร่งการลงทุนให้เกิดการจ้างงาน และกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ อาทิ โครงการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้คนไทยเข้าถึง
นายสารัชถ์ ตอบคำถามถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีการแจกเงินยังจำเป็นอยู่หรือไม่ว่า ยืนยันว่ายังมีความจำเป็น และต้องเลือกแจกตามกลุ่มเป้าหมาย เพราะสภาพคล่องของประชาชนหายไป เพื่อให้กลุ่มที่พอยืนได้ให้ได้หายใจมากขึ้น หากไม่ช่วยก็จะยืนได้ลำบาก แต่ก็ไม่ถึงกับว่าจะกระตุ้นให้พุ่งขึ้นมาได้ทีเดียวแต่เป็นการช่วยได้บ้าง จึงหวังว่ารัฐบาลจะมีโปรแกรมอื่นๆ ออกมาอีกนอกเหนือจากการแจกเงิน
“สิ่งที่เอกชนยังกังวลที่สุดยอมรับว่ายังมีอีกเยอะ เพราะเมื่อประเทศผ่านวิกฤติต้มยำกุ้ง รวมถึงวิกฤติโควิด ซึ่งวิกฤติครั้งนี้ก็ไม่เชิงเป็นวิกฤติ ถือเป็นเรื่องของเศรษฐกิจที่ถดถอย กำลังซื้อระดับกลางและล่างยังน้อย เมื่อกำลังซื้อและรายได้หายไปค่อนข้างเยอะ อาจทำให้ระบบหมุนเวียนเศรษบกิจฟืดเคืองไปได้”
เสนอเร่งแก้สภาพคล่องในตลาดหุ้น
อย่างไรก็ตาม กรณีที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มีแนวคิดจะเปิดกระดานเทรดใหม่เกี่ยวกับ “นิว อีโคโนมี” ส่วนตัวไม่อยากมองการเปิดกระดานเทรดใหม่ เพราะสิ่งที่ต้องแก้ปัญหา คือ ตลาดหุ้นปัจจุบันสภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity) ต่ำมากจากเคยซื้อขายวันละ 7-8 หมื่นล้านบาท เหลือ 2-3 หมื่นล้านบาท เป็นปัญหาต้องแก้ก่อนการเปิดกระดานเทรดใหม่เพราะคงไม่ช่วยอะไรมากนัก
ดังนั้น ควรหาผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามาใน ตลท.โดยที่ผ่านมาผู้ซื้อหุ้น IPO ประมาณ 90% ในช่วง 2-3 ปีที่แล้วไม่ใครที่ไม่เจ๊งจึงไม่มีใครอยากลงทุนจึงต้องแก้ปัญหา Liquidity ที่หายไป
อีกทั้งหลายคนบ่นว่าส่วนหนึ่งมาจากโรบอทเทรด ซึ่งทําให้นักลงทุนรายกลางและรายย่อย หรือกองทุนไทยไม่อยากลงทุนเพราะสู้ระบบคอมพิวเตอร์ไม่ได้ ดังนั้นถ้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่มี Liquidity กองทุนขนาดใหญ่ไม่อยากเข้ามาเพราะลงทุนได้ไม่มาก โดย MSCI Index ได้ลด percentage การลงทุนในน้ำหนักของไทยไปค่อนข้างเยอะ
“หากจะให้การตลาดหุ้นกลับมาคึกคักคงต้องแก้หลายอย่าง อาทิ การหา product ใหม่ๆ และอีกหลายอย่าง เพราะจริงๆ แล้วหลายบริษัทมีผลประกอบการค่อนข้างดี ตลาดหุ้นมีขึ้นมีลงตลอด” นายสารัชถ์ กล่าว
มั่นใจสหรัฐตอบรับข้อเสนอไทย
นายสารัชถ์ ตอบคำถามกรณีที่ไปพบกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐว่าไม่มีอะไรมาก ไปในฐานะเอกชนส่วนตัวไม่ได้หารือเกี่ยวข้องกับรัฐบาล และด้วยมารยาทถือว่าไม่ใช่หน้าที่ แต่ไปในฐานะบริษัทไทยที่ลงทุนในสหรัฐและพร้อมที่จะลงทุนเพิ่มถ้ามีโอกาส
ส่วนตัวเคยเจอกับทรัมป์มาก่อน โดยทรัมป์บอกเสมอว่าชอบเมืองไทย ซึ่งแนวโน้มการหารือกับรัฐบาลไทยค่อนข้างดี มีการตอบรับที่ดี แต่ไม่ได้สอบถามรายละเอียดว่าจะจบเมื่อไหร่
“เชื่อว่าวันนี้น่าจะยุ่ง เพราะทุกประเทศในโลกไปเจรจาหมดจึงน่าจะหารือกับประเทศใหญ่ๆ ก่อน ซึ่งทรัมป์ก็ไม่ได้เกลียดชังประเทศไทย เพราะด้วยการทำธุรกิจที่ต้องมีการค้าขายร่วมกันก็ต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศ เขารู้สึกว่าเขาเสียเปรียบกับการค้ากับหลายประเทศขึ้นมา ซึ่งมีทั้งประเทศที่เสียเปรียบเยอะและน้อยแตกต่างกันออกไป”
สำหรับการลงทุนเพิ่มเติมในสหรัฐนั้น ปัจจุบันบริษัทฯ ลงทุนกลุ่มธุรกิจพลังงาน ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีแผนเพิ่มเติมการลงทุนอะไร เพราะมีการลงทุนในหลายประเทศ จึงต้องดูผลตอบแทนของการลงทุนเป็นหลัก ยืนยันว่าไม่ได้ลงทุนเพื่อเป็นการไปเอาใจสหรัฐ แต่จะมองผลประโยชน์บริษัทเป็นหลัก ส่วนตลาดสหรัฐ ก็มีดีบ้างไม่ดีบ้างทางธุรกิจแต่โดยรวมก็โอเคไม่มีอะไร
“ส่วนตัวมองว่าสหรัฐยังเป็นมิตรที่ดีกับไทย ไม่น่าจะเล่นงานไทย เพราะเราไม่มีปัญหาอะไรกับเขาเพียงแค่จะดูการหาจุดสมดุลการค้าขายกับไทยมากกว่า ผมว่าน่าจะไปได้และเชื่อว่าคงมีโซลูชั่นออกมา สิ่งที่รัฐบาลพยายามทำอยู่คงมีการคุยอยู่เยอะพอสมควร เดาว่าน่าจะได้รับข้อเสนอรัฐบาลไทยไปแล้ว คงจะเปรียบเทียบกับหลายคน อันนี้ผมคาดการณ์เอาเอง” นายสารัชถ์ กล่าว
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1183128&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw3h3hlkjoybftCNhXC0S80D