
“ทักษิณ” แจงรัฐบาลโยกงบ 1.57 แสนล้าน ดูแลเศรษฐกิจจากปัญหาภาษีทรัมป์ ยันดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 ต้องกลับมาทำต่อ แต่รอช่วงเศรษฐกิจเหมาะสม ลั่นนโยบายที่สัญญาไว้ต้องทำ
“ทักษิณ” แจงรัฐบาลโยกงบ 1.57 แสนล้าน ดูแลเศรษฐกิจจากปัญหาภาษีทรัมป์ ยันดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 ต้องกลับมาทำต่อ แต่รอช่วงเศรษฐกิจเหมาะสม ลั่นนโยบายที่สัญญาไว้ต้องทำ
นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์พิเศษเครือเนชั่น วันนี้ (30 พ.ค.68) ว่าในส่วนของการจัดสรรงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ว่าเดิมที่เป็นงบประมาณในการแจกดิจิทัลวอลเล็ตนั้น เนื่องจากปัจจุบันมีปัญหาจากมาตรการภาษีของสหรัฐ ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนงบประมาณในส่วนนี้จึงต้องเตรียมสำรองเงินไว้เพื่อที่จะอุดหนุนช่วยประชาชนที่จะรับผลกระทบไว้จำนวนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งคือ การปรับเปลี่ยนงบประมาณเพื่อไปกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งดีกว่าในช่วงนี้เพราะยังมีความไม่แน่นอนอยู่
เมื่อถามว่านโยบายดิจิทัลวอลเล็ตนั้นจะมีต่อหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่ายังจะต้องมี โดยรอให้เศรษฐกิจดีขึ้นจะกลับมาทำนโยบายนี้
“นโยบายอะไรที่สัญญาไว้กับประชาชนต้องทำให้ได้ ทั้งเรื่องรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เรื่องดิจิทัลวอลเล็ต ทำช้าทำเร็วแต่ต้องทำ เหมือนกับผมมีเจ้าหนี้อยู่ 100 บาท แต่วันนี้มีเงินอยู่ 10 บาทยังไงก็ต้องทยอยจ่ายให้ครบ” นายทักษิณ กล่าว
สำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังเรื่องที่รัฐบาลต้องทำคือ เรื่องของการยกระดับราคาสินค้าเกษตร เพราะเรื่องนี้ถึงประชาชนโดยตรง โดยในเรื่องนี้รัฐบาลคงไม่สามารที่จะอุดหนุนประชาชนได้มากเหมือนในอดีต จะใช้เงินค้ำประกันอย่างเดียวไม่พอ เพราะรัฐมีหนี้สูง หนี้สาธารณะต่อจีดีพีสูงมาก และหนี้ครัวเรือนก็สูงมาก รัฐบาลจึงต้องพยายามแก้ปัญหาเรื่องนี้ควบคู่กับการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ในส่วนของเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูงนั้นนายทักษิณ กล่าวว่า วันนี้สิ่งที่สำคัญคือ ทุกคนต้องเปลี่ยนวิธีการทำมาหากินใหม่ เนื่องจากว่ามีปัญหาการแข่งขันมาก มีสินค้าจากจีนทะลักเข้ามามากซึ่งทำให้กระทบกับหลายภาคส่วน แต่รัฐบาลกำลังแก้ปัญหาในเรื่องนี้ วันนี้กำลังดูว่าสินค้าจากจีนที่มาไม่ถูกต้องก็กำลังเร่งแก้ไขเพราะมีการลักลอบการนำสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานเข้ามาในประเทศมากเกินไปซึ่งเอสเอ็มอีของเราจะอยู่ไม่ได้
นายทักษิณ กล่าวต่อว่า ปัญหาเศรษฐกิจที่กังวลที่สุดตอนนี้คือ เรื่องของหนี้ครัวเรือน ซึ่งตอนนี้มีการแก้ไขประมาณ 5 แสนราย จากทั้งหมดประมาณ 5 ล้านราย ซึ่งในส่วนที่มีการแก้ปัญหาได้ประมาณ 5 แสนรายภายในปีนี้ ซึ่งก็จะทำให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเบาบาง ประชาชนก็สามารถปรับตัวได้
ส่วนข้อเสนอของ สส.ในสภาในการล้างหนี้ให้คนจนนั้นคงไม่ได้ทำแบบนั้น แต่จะใช้เงินจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) และกลไกจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐในการแก้ปัญหาหนี้ให้กับประชาชน แต่ไม่ใช่การล้างหนี้ให้กับประชาชนเลยเพราะจะเป็นปัญหาทางศีลธรรม (Moral Hazard) ได้
ในช่วง 2 ปีที่เหลือรัฐบาลต้องทำในเรื่องของการแก้ปัญหายาเสพติด เรื่องเศรษฐกิจส่วนบน เรื่องค่าครองชีพของประชาชน ที่ต้องมาดูในเรื่องระบบที่จะทำให้ค่าครองชีพลดลงได้
พิสูจน์อักษร….สุรีย์ ศิลาวงษ์
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1182617&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw24NOaY0d1pKvyySwo6Z3j_