“ไอติม” ชำแหละงบการศึกษา “ครูจวง” ท้วง “กยศ.” ส่อขาดสภาพคล่องรอถังแตก

“ไอติม”-ชำแหละงบการศึกษา-“ครูจวง”-ท้วง-“กยศ.”-ส่อขาดสภาพคล่องรอถังแตก
“ไอติม” ชำแหละงบการศึกษา “ครูจวง” ท้วง “กยศ.” ส่อขาดสภาพคล่องรอถังแตก

นายพริษฐ์ กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้เผื่อเวลาเพียงพอให้ครูและสถานศึกษาเตรียมความพร้อมสำหรับหลักสูตรใหม่ เรามีการเปิดเทอมไปเมื่อวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา แต่เอกสารทั้งหมดเกี่ยวกับหลักสูตรใหม่นั้น ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะวันที่ 1 เม.ย. โรงเรียนมีเวลา 45 วันในการศึกษาและปรับวิธีการจัดการเรียนการสอนของครูให้สอดคล้องกับหลักสูตรใหม่ กระบวนการที่อาจจะไม่รอบคอบเพียงพออาจจะทำให้หลักสูตรใหม่ไม่ประสบความสำเร็จ

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน

นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า ด้านที่ 2 คือเรื่องภาระงานครู รัฐบาลต้องให้หยุดเป็นโรงงานผลิตแรงงาน ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าขาดแคนอัตรากำลังคน การแก้ปัญหานี้ไม่ใช่จะเพิ่มคนโดยการสร้างงานเสมอไป หากสามารถช่วยลดภาระงานครูที่ไม่จำเป็นออก เพื่อให้มีเวลามากขึ้นในการใช้เตรียมการเรียนการสอน หลายโครงการที่เพิ่มภาระงานครูโดยไม่จำเป็น เช่น โครงการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมและธรรมาภิบาลในสถานศึกษา ซึ่งเป็นการเพิ่มภาระหน้าที่ให้กับครู โดยผลชี้วัดไม่ได้สะท้อนความโปร่งใสของสถานศึกษาได้จริง ส่วนด้านที่ 3 คือต้องลดความเหลื่อมล้ำ รัฐบาลต้องไปไกลกว่าการแจกทุน ไม่ใช่การแจกทุนไม่ดีกับภายใต้ทรัพยากรที่จำกัดขาดการแจกทุนเนื่องจากเท่าไหร่ก็อาจจะไม่พอ

นายพริษฐ์ กล่าวถึง โครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน หรือ ODOS ของรัฐบาล ว่า เป็นโครงการที่ช่วยเหลือนักเรียนกว่า 5,700 คน แต่ถ้าคิดเป็นจำนวนนักเรียนที่ได้ทุนก็เหมือนกับการถูกหวยเลขท้าย 2 ตัว แม้ตนจะเชื่อว่าทุน ODOS จะสร้างอนาคตให้กับเด็กที่ได้รับทุนอย่างแน่นอน ส่วนนี้เห็นด้วย แต่ตนก็เห็นว่ารัฐบาลต้องเอาจริงเอาจังกว่านี้ในการแก้ปัญหาอื่น เพื่อทำให้เด็กที่ขาดโอกาสอีกจำนวนมากและมีโอกาสหลุดพ้นจากกับดักความยากจน โดยการหาทางออกของโรงเรียนขนาดเล็กที่ยังขาดงบ รวมถึงต้องแก้ไขสถานการณ์ทางการเงินของ กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ด้วย รัฐบาลยังไม่แก้ปัญหาเชิงรุกมากเพียงพอ ไม่เช่นนั้น โครงการ ODOS จะกลายเป็นเพียงกิจกรรมเพื่อสังคม หรือ CSR เป็นประโยชน์ ประชาสัมพันธ์แล้วดูดีแต่ไม่ได้แก้ไขตัวกิจการหลักของกระทรวงศึกษาธิการ

นายพริษฐ์ กล่าวว่า ด้านที่ 4 คือการลงทุนในเทคโนโลยี รัฐบาลต้องไม่เน้นแค่การสร้างของเล่นใหม่ รัฐบาลชุดนี้มีการลงทุนเยอะมาก กับโครงการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีด้านการศึกษา สูงถึง 13,000-15,000 ล้านบาท เช่น โครงการแพลตฟอร์ม Anywhere Anytime เทียบเท่ากับการสร้างอาคาร สตง. 6-7 อาคาร ซึ่งหากเรามีความกังวลเช่นไร กับการก่อสร้างอาคารที่อาจจะร้าง ไม่มีคนใช้ ซ้ำซ้อนกับที่มีอยู่ หรือหรูหราเกินจำเป็น เราก็ต้องมาตรวจสอบเช่นกันว่าเราไม่ได้กำลังจะสร้างแพลตฟอร์มที่อาจจะร้าง ไม่มีคนใช้ ซ้ำซ้อนกว่าที่มีอยู่ หรือหรูหราเกินจำเป็นเช่นกัน

“ไอติม” ชำแหละงบการศึกษา

ด้านที่ 5 คือการรีเซ็ตใบปริญญาให้เชื่อมกับอนาคต และไม่เป็นแค่ใบการันตี ตนเข้าใจดีว่าใบปริญญาอาจจะเป็นใบเบิกทางในหลายด้านของชีวิต แต่ต้องยอมรับว่าการมีใบปริญญาในเวลานี้ไม่เพียงพออีกต่อไป ในการรับประกันว่าจะมีงานที่รายได้ดีหลังจากเรียนจบ เพราะหลักสูตรที่เรามีนั้น อาจจะไม่รับประกันว่าเด็กที่จบมาอาจจะตอบโจทย์ความต้องการของตลาด กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เคยยอมรับกับกรรมาธิการฯ ของตนว่าหลักสูตรไม่ได้ตอบโจทย์กับการศึกษา ซึ่งตนเห็นว่า อว. ก็ยังไม่ได้ใช้งบประมาณที่ตอบโจทย์ ในการเพิ่มแรงจูงใจให้มหาวิทยาลัยนั้นมีการปรับสาขาและคณะให้เท่าทันตลาดมากขึ้น

และด้านที่ 6 คือการรีเซตบทบาทรัฐเกี่ยวกับการยกระดับแรงงาน หลายครั้งที่รัฐเผลอไปคิดแทนตลาด โครงการที่เข้าข่ายในเรื่องนี้ คือโครงการเชฟ 1 หมู่บ้าน 1 อาหารไทย ภายใต้นโยบายซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งปีนี้ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 70 ล้านบาท เพื่อผลิตเชฟเข้าสู่เข้าสู่อุตสาหกรรมอาหาร ตนคิดว่าในห้วงเวลาที่ธุรกิจร้านอาหารกำลังซบเซา มีการปิดธุรกิจร้านอาหารเพิ่มขึ้น 89% ในปี 2567 หลายคนบอกว่าเป็นการเผาจริง แต่รัฐบาลไปวิเคราะห์และจับสัญญาณตลาดอย่างไร ถึงได้ข้อสรุปเป็นแบบนี้ ตนขอเสนอโมเดลหนึ่งที่ชื่อว่า “เอกชนเลือก ผู้เรียนฝึก รัฐจ่าย” เป็นการรวบงบประมาณของโครงการยกระดับทักษะที่ให้ผู้เรียนไปเลือกเองว่าจะเรียนเกี่ยวกับอะไร

“การศึกษานั้นไม่ได้มีแค่ความสำคัญกับอนาคตของประเทศ เพื่ออนาคตของลูกหลานเรา แต่การศึกษานั้นเป็นบริการแรกที่เราได้รับจากรัฐเกิดขึ้นในประเทศนี้ ดังนั้น หากเราต้องการให้ประชาชนในประเทศนี้มีสัมผัสแรกกับรัฐที่ดี ผมเห็นว่าวาระการปฏิรูปการศึกษานั้น เป็นวาระที่เร่งด่วนและรอไม่ได้ เหมือนกับที่มีท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ ไม่ทำตอนนี้แล้วจะทำตอนไหน” นายพริษฐ์ กล่าว

“สส.ครูจวง” ชี้รัฐบาลจัดงบปี69ให้ กยศ.ส่อขาดสภาพคล่องถังแตกสุดๆ

ด้าน นายปารมี ไวจงเจริญ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายงบประมาณกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาหรือ กยศ. ระบุว่า หากรัฐบาลยังคงจัดงบประมาณอย่างนี้จะทำให้ กยศ.ถังแตก 

โดยอ้างอิงว่ามีข่าวในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาจะมีการหักเงินกยศ. 3,000 บาท กับผู้กู้ที่ค้างชำระหนี้ จนมีกระแสข่าวว่า กยศ. กำลังถังแตกไม่มีเงิน จึงต้องรีดเลือดกับปู จึงสงสัยว่าเป็นจริงหรือไม่ทำให้ไปตรวจสอบเนื้อหาในร่างงบประมาณเล่มขาวคาดแดงในการจัดงบประมาณปี 2569 พบว่ารัฐบาลจัดงบเช่นนี้จะทำให้ กยศ. ยิ่งถังแตกหนักมากขึ้น 

“และการจัดงบแบบนี้ยิ่งพิสูจน์ว่ารัฐบาลกำลังปล่อยให้นักเรียนนักศึกษาไทย ที่รอความหวังเงินกู้ กยศ. ยืนอยู่บนปากเหวเดียวดาย เพราะเราอาจต้องย้อนกลับไปดูงบประมาณที่รัฐบาลจัดให้ กยศ. ในรอบ3ปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่มีความจริงใจที่จะแก้ไขปัญหา กยศ. ที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง”  นายปารมี กล่าว

พร้อมหยิบยกงบประมาณปี 2567  กยศ. ของบ 5,000 ล้านบาทแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ไม่ได้จัดสรรงบประมาณให้แม้แต่บาทเดียว ขณะที่ กยศ. มีภาระต้องปล่อยกู้ 49,633 ล้านบาทให้กับผู้กู้ 803,432 คน จากนั้นในปี 2568 กยศ. ของบ 19,000 ล้านบาท ได้รับการจัดสรร 7,410 ล้านบาท แต่ต้องปล่อยกู้ 40,812 ล้านบาท จากจำนวนผู้กู้ 620,296 คน ส่วนในงบปี 2569 กยศ. ของบ 29,000 ล้านบาทแต่รัฐบาลจัดสรรให้ 5,100 ล้านบาท ในขณะที่รายจ่ายต้องปล่อยกู้ 45,540 ล้านบาท จากจำนวนผู้กู้ 638,654 คน 

นายปารมี ชี้ว่า การจัดสรรงบประมาณเช่นนี้จะส่งผลทำให้ ในช่วงสิ้นปี 2569 กยศ. จะขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง ถังแตกแบบสุดๆไปเลย โดยอ้างอิงข้อมูลงบประมาณสภาพคล่องของ กยศ. ที่ในปี 2569 เงินสดคงเหลือติดลบ -16,708 ล้านบาท 

“ดิฉันจึงตั้งข้อสังเกตถึงความจริงใจของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา กยศ. เมื่อครั้ง อภิปรายงบปี 2568 วาระหนึ่ง ก็อภิปรายในประเด็น กยศ.ว่า กำลังจะถังแตก แต่แล้วทางรัฐมนตรี จุลพันธ์ ลุกขึ้นมาอธิบายว่าไม่จริง กยศ. สภาพคล่องยังดีอยู่ วันนี้ไม่มีใครเชื่อลมปากรัฐมนตรีอีกแล้ว ผู้กู้ที่รอเงินกู้อยู่เลิกหวังหมดความเชื่อมั่นในตัวท่านหมดแล้ว” นายปารมี กล่าว

นายปารมี ได้ยก 2 ปัญหารุนแรงของ กยศ. คือ 1.รีดเลือดกับปู ด้วยการหักเงินผู้กู้ 3,000 บาท สาเหตุที่ต้องทำแบบนี้ชัดเจนตรงไปตรงมา พอเงินสดร่อยหรอเกิดอาการช็อต ต้องหาเงินเพิ่มเร่งด่วน โดยนายพิชัย ชุณหวชิร ได้สั่งชะลอการหักเงินไปก่อน โดยตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดรัฐบาลดำเนินการสั่งล่าช้าไปเป็นเดือน ทั้งที่ผู้กู้ส่งเสียงเรียกร้องทั้งประเทศให้รัฐบาลแก้ไขปัญหานี้นานนับเดือน แต่พึ่งประกาศชะลอการเก็บเงินเพิ่มเมื่อวันอังคาร (27 พ.ค)ที่ผ่านมา ช้าไปหรือไม่

“สาเหตุเห็นว่ารัฐบาลแก้ไขปัญหา กยส. สะเปะสะปะตุ๊เก้ตุ๊กัง แก้ไขรายวัน แก้ไขขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ ไม่ได้แก้ทั้งระบบอย่างลงลึกถึงสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาเลย” นายปารมีกล่าว

นายปารมี กล่าวต่อว่า  2. ยกเลิกสาขาวิทย์สุขภาพ ที่ปี 2568 จะเป็นปีแรกที่ กยศ. เปลี่ยนหลักเกณฑ์การกู้เงินของนักศึกษาใหม่ในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ เช่น หมอ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล จากเดิมที่เคยกู้ได้ แต่ กยศ. ปรับเปลี่ยนไปเป็นการกู้ในลักษณะขาดแคลนทุนทรัพย์ ซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบ 2 อย่าง คือ จะมีบางคนไม่สามารถกู้เงิน กยศ.ได้ และ จะมีผู้กู้ที่ตกหล่นรับเงินจาก กยศ. อีกมากมายเพราะผู้กู้ในกลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพจะถูกไปจัดรวมการพิจารณาเงินกู้ในกลุ่มแรกในกลุ่มขาดแคลนทุนทรัพย์

“ การที่รัฐบาลจัดงบให้ กยศ. แบบนี้ทั้งที่รู้ว่าจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อต่อลมหายใจให้นักเรียนนักศึกษา 600,000 กว่าคนในปี แสดงว่ารัฐบาลไม่ได้ต้องการจะช่วยเหลือพวกเขา ที่กำลังรอเงินกู้จาก กยศ.เลย ช่างตรงกันข้ามกับที่ ครม. ของท่านนายกฯ แพทองธาร ประกาศคำแถลงนโยบายรัฐบาลไว้เมื่อกันยายน 2567 ว่าเด็กทุกคนจะเติบโตอย่างเท่าเทียม และได้เข้าเรียนหนังสืออย่างเท่าเทียมกัน แต่จัดงบแบบนี้พวกเขาจะได้เข้าเรียนอย่างเท่าเทียมอย่างไร” นายปารมี กล่าว

พร้อมกันที่เสนอไปยังรัฐบาล  3 ข้อ 1. จัดสรรงบให้ กยศ. อย่างเพียงพอที่ต้องปล่อยกู้ปีละ 22,000 ล้านบาท ไม่ใช่การควานหางบจากการแปรญัตติหรืองบกลางในแต่ละปี 2. การแก้ Recal ปรับโครงสร้างหนี้ และ 3. ปรับปรุงระบบ
กยศ.DSL เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้กู้ และ กยศ. ต้องสร้างให้สังคมไทยเชื่อว่ามีประสิทธิภาพและความโปร่งใสในการทำงาน พร้อมวิงวอนรัฐบาลว่าอย่าดับความหวังของเด็กไทย อย่าปล่อยให้เด็กยืนลำพังบนปากเหวเดียวดาย เงินกู้ กยศ. คือทางรอด คือการต่อลมหายใจได้เรียนหนังสือ ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ และท่ามกลางการศึกษาไทยที่ไม่ฟรีจริง

เปิด 20 อันดับ งบประมาณมหาวิทยาลัยปี 69 

ผู้สื่อข่าวรายงาน การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วงเงิน 3,780,600 ล้านบาท ในส่วนกระทรวงศึกษาธิการ ได้เสนองบประมาณ 355,108 ล้านบาท ขณะที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วงเงิน 140,300 ล้านบาท โดยทั้งสองกระทรวง ได้รับการจัดสรรงบฯเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับปี 68 ส่องดูการจัดสรรงบฯให้กับสถาบันอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยต่างๆ 20  อันดับแรก ดังนี้ 

1. มหาวิทยาลัยมหิดล  15,217.6   ล้านบาท

2. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  6,182.6  ล้านบาท

3. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย   6,113.4  ล้านบาท

4. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  5,990.7  ล้านบาท

5. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  5,518.0   ล้านบาท

6. มหาวิทยาลัย ขอนแก่น 5,517.4   ล้านบาท

7. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  4,837.9   ล้านบาท

8.  มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 4,782.1    ล้านบาท

9.  มหาวิทยาลัยนเรศวร  2,584 .3   ล้านบาท

10. สถาบันฯเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 2,215.1 ล้านบาท

“ไอติม” ชำแหละงบการศึกษา

11.มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง  2,117.4  ล้านบาท

12. มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 2,116.6 ล้านบาท

13. มหาวิทยาลัยสุรนารี  2,110.4  ล้านบาท

14. มหาวิทยาลัยบูรพา  2,040.2   ล้านบาท 

15. มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์  1,837.5 ล้านบาท

16. มหาวิทยาลัยศิลปากร  1,701.0  ล้านบาท 

17. มหาวิทยาลัยราชมงคลธัญบุรี 1,530.5  ล้านบาท

18. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 1,528.6     ล้านบาท

19. มหาวิทยาลัยราชมงคลอีสาน 1,521.2  ล้านบาท

20. มหาวิทยาลัยแม่โจ้  1,455.4    ล้านบาท 

ข้อมูล ณ วันที่  30  พ.ค.68

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.nationtv.tv/politic/378962104&ct=ga&cd=CAIyHDI4ODcxZTExZDQzMWVlYzA6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw0B2nlCxedkUTAn0P1H3iT9

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *