ปีเดียว ปิดตัว 536 แห่ง โรงงานไทย สู้ “สินค้าจีน”ไม่ได้ ถ้า SME ฟุบ เศรษฐกิจ “พัง”

ปีเดียว-ปิดตัว-536-แห่ง-โรงงานไทย-สู้-“สินค้าจีน”ไม่ได้-ถ้า-sme-ฟุบ-เศรษฐกิจ-“พัง”
ปีเดียว ปิดตัว 536 แห่ง โรงงานไทย สู้ “สินค้าจีน”ไม่ได้ ถ้า SME ฟุบ เศรษฐกิจ “พัง”

มาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และมาตรการตอบโต้ของประเทศคู่ค้าต่าง ๆ ยังคงมีแนวโน้มว่าจะส่งผลกระทบต่อปริมาณการค้าโลกและเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ 

แม้ล่าสุด ศาลการค้าสหรัฐฯ สั่งระงับ การดำเนินการเก็บภาษี โดยรัฐบาล “โดนัลด์ ทรัมป์” หลังชี้ว่า ขัดต่อข้อกฎหมาย และ “ทรัมป์”ใช้อำนาจเกินขอบเขต แต่รัฐบาลไม่ยอมแพ้ ขอยื่นอุทธรณ์แล้ว เท่ากับ สถานการณ์การค้าโลก ยังคงสุ่มเสี่ยงต่อไป 

ทั้งผลกระทบผ่านการส่งออกและผลกระทบจากการแข่งขันทางด้านราคาของสินค้านำเข้าจากประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะจีน ซึ่งกำลังเผชิญกับภาวะอุปสงค์ภายในประเทศชะลอตัว ที่จำเป็นต้องปรับยุทธศาสตร์ด้านการค้าโดยเร่งระบายการส่งออกสินค้าไปยังประเทศคู่ค้าอื่น ๆ รวมทั้งประเทศไทยด้วย

เพื่อชดเชยการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ที่ลดลง ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบ ต่อผู้ผลิตภายในประเทศโดยเฉพาะผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) 

เจาะ ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ระบุว่า ในปี 2567 โรงงานในไทยที่เลิกกิจการมีจำนวนทั้งสิ้น 536 แห่ง และในจำนวนดังกล่าว มี 142 แห่ง หรือ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 25% เป็นโรงงานที่ผลิตสินค้าใกล้เคียงกับสินค้าที่นำเข้าจากจีน ในสัดส่วนที่สูง 

เช่น  ผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากโลหะประดิษฐ์ (ยกเว้น เครื่องจักรและอุปกรณ์) และจากข้อมูลการปิดกิจการโรงงานในไทยไตรมาสแรกของปี 2568 พบว่ามีจ านวนโรงงานรวม 124 แห่งที่ปิดกิจการ 

โดย 36 แห่งที่เป็นโรงงานที่ผลิตสินค้าใกล้เคียงกับสินค้านำเข้าจากจีน และในจำนวนดังกล่าวกว่า 75% เป็นธุรกิจขนาดเล็กและขนาดย่อย (Small and micro business) 

แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนแรงกดดันต่อผู้ประกอบการ SMEs ของไทยที่จะต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ภายใต้ข้อจำกัดด้านต้นทุน การเข้าถึงสภาพคล่อง ทางการเงินและเทคโนโลยี รวมทั้งความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบการ SMEs ไทยในปัจจุบัน 

ปัจจุบัน ผู้ประกอบการ SMEs ของไทยต้องเผชิญกับปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อปัญหาในเชิงโครงสร้าง เช่น ความไม่สมดุลของข้อมูลระหว่างผู้ให้กู้และ ผู้กู้ หลักประกันไม่เพียงพอ และบทบาทของตลาดทุนในการระดมทุนของ SMEs ยังจำกัด

นอกจากนี้ คุณภาพสินเชื่อ SMEs ในระบบธนาคารพาณิชย์ที่ปรับลดลง สะท้อนจากสัดส่วน สินเชื่อกล่าวถึงเป็นพิเศษ (Special Mention Loan: SML) ต่อสินเชื่อรวมของธุรกิจ SMEs ที่มี แนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ทำให้สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการให้สินเชื่อกับธุรกิจ SMEs มากยิ่งขึ้น ส่งผลให้โครงสร้างการจัดหาเงินทุนของธุรกิจ SMEs ไทยเปลี่ยนแปลงไปจาก ปี 2565 ที่แหล่งทุนส่วนใหญ่ของธุรกิจ SMEs ยังคงมาจากธนาคารพาณิชย์ 

แต่ในปี 2567 ธุรกิจ SMEs ต้องจัดหาเงินทุนจากแหล่งทุนส่วนตัว (เพื่อน/ญาติพี่น้อง) มากขึ้น สถานการณ์ดังกล่าว ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของธุรกิจ SMEs ที่ยังมีข้อจำกัดทั้งในด้านการจัดหาเงินทุน และความสามารถในการแข่งขันที่จำกัด โดยเฉพาะจากการแข่งขันด้านราคาที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น 

เนื่องจากหาก SME ไปไม่ได้ ไม่มีความสามารถในการแข่งขัน ปิดกิจการ หนี้เสียเพิ่มขึ้น จะกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

เพราะโรงงานที่ปิดตัวลงไม่ได้ส่งผลแค่เจ้าของธุรกิจ แต่กระทบ ลูกจ้าง ผู้จัดหา ผู้ขนส่ง ผู้ขายวัตถุดิบ ไปจนถึงชุมชนใกล้เคียง เมื่อตกงาน ไม่มีรายได้  ลดการบริโภคในระบบเศรษฐกิจโดยรวม ในทางคู่ขนาน เมื่อ SME รายได้หด กำไรลด  จ่ายภาษีได้น้อยลง รัฐก็จัดเก็บรายได้ลดลง งบประมาณพัฒนาประเทศหดตัวตาม 

ทั้งนี้ เมื่อ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เสนอความเห็นด่วนต่อรัฐบาล เพื่อให้ทบทวนแผนการใช้งบประมาณให้สอดรับกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน

โดย 1 ในนั้น เสนอให้รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณอย่างเร่งด่วน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนต่อกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ กลุ่มผู้ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ รวมถึงธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิต และกลุ่มผู้ผลิตที่ถูกกระทบจากการทะลักของสินค้าจากต่างประเทศ (import flooding) อย่างจีน ที่รุนแรงขึ้น 

ซึ่งผู้ผลิตในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอีที่มีข้อจำกัดในการปรับตัว โดยควรมีโครงการที่ช่วยให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน หลังหวั่นว่าจะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย 

สำหรับจำนวนผู้ประกอบการธุรกิจในประเทศไทยเป็น SMEs ประมาณ 99.5% ซึ่งมีประมาณ 2,000,000 ราย กลุ่มขับเคลื่อน GDP คือธุรกิจรายใหญ่มีประมาณ 2,000 ราย โดย SMEs ยังมีความเกี่ยวข้องกับคนอัตราการจ้างงานประมาณ 70% ซึ่งการผลิตของ SMEs ส่วนใหญ่ขายในประเทศ 70% และ ส่งออก 30% 

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thairath.co.th/money/economics/thai_economics/2861272&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw1YxjIGyDo-qp9_X_MSW-n1

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *