กองทุนพัฒนา SME ตามแนวประชารัฐ โชว์ผลงานเด็ด อนุมัติสินเชื่อกว่า 2.2 พันล้าน ปั้นโครงการพัฒนาฯ สร้างเม็ดเงินมหาศาล ต่อยอดดันธุรกิจโต
กองทุนพัฒนา SME ตามแนวประชารัฐ โชว์ผลงานเด็ด อนุมัติสินเชื่อกว่า 2.2 พันล้าน ปั้นโครงการพัฒนาฯ สร้างเม็ดเงินมหาศาล ต่อยอดดันธุรกิจโต
กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ โชว์ผลงานเด็ด ดันยอดอนุมัติสินเชื่อกว่า 2.2 พันล้านบาท ตอบสนองความต้องการเงินทุนของ SME ทุกมิติ ควบคู่กับโครงการพัฒนาศักยภาพที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 350 ล้านบาท พร้อมเปิดรับ SME เข้าร่วมโครงการส่งเสริมพัฒนาอย่างครบวงจร 4 ด้าน ด้วยงบ 20 ล้านบาท มุ่งเป็นกลไกหลักช่วย SME ไทยให้รอดและเติบโตในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยผลการดำเนินงานโครงการสินเชื่อและการส่งเสริมพัฒนาเอสเอ็มอีของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ประจำปี พ.ศ. 2568 โดยระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอก ทั้งแรงกดดันทางการค้าโลก และการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้า ส่งผลให้ World Bank และ IMF ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 2568 ลง
ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการ SME ไทย ทั้งในด้านต้นทุนที่สูงขึ้น การแข่งขันที่รุนแรง รายได้ที่ลดลง การขาดสภาพคล่อง และปัญหาหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ SME คือกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย การช่วยเหลือและสนับสนุนให้ SME สามารถเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็น โดยเฉพาะเงินทุน เทคโนโลยี และองค์ความรู้ เป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วนที่ภาครัฐต้องดำเนินการเชิงรุก เพื่อป้องกันไม่ให้ภาคส่วนนี้ต้องหยุดชะงักหรือถดถอยอย่างถาวร
กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ เงื่อนไขยืดหยุ่น ควบคู่การให้คำปรึกษาแนะนำในการดำเนินธุรกิจ ผ่านกลไกการทำงานร่วมกับหน่วยงานในแต่ละจังหวัดที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ โดยตั้งแต่ปี 2560 ถึงปี 2567 กองทุนได้อนุมัติสินเชื่อรวมกว่า 26,800 ล้านบาท ให้ผู้ประกอบการจำนวนกว่า 18,000 ราย ก่อให้เกิดการลงทุน การจ้างงาน และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 80,000 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2568 กองทุนได้เปิดตัว 2 โครงการสินเชื่อใหม่ วงเงินรวม 1,900 ล้านบาท คือ (1) โครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่ม
ขีดความสามารถธุรกิจ (เสือติดปีก) วงเงิน 1,200 ล้านบาท และ (2) โครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องธุรกิจ (คงกระพัน) วงเงิน 700 ล้านบาท ซึ่งผู้ประกอบการให้ความสนใจและมีความต้องการด้านสินเชื่อจำนวนมาก กองทุนจึงได้ขยายกรอบวงเงินโครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถธุรกิจ (เสือติดปีก) เพิ่มเติมอีก 400 ล้านบาท โดยได้มีการอนุมัติสินเชื่อแล้ว จำนวนกว่า 2,200 ล้านบาท โดยคาดว่าสินเชื่อทั้งสองโครงการนี้จะช่วยต่อทุนและเพิ่มสภาพคล่องให้ SME สร้างเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นกว่า 10,000 ล้านบาท และรักษาการจ้างงานไว้ได้มากกว่า 5,000 อัตรา ทั้งนี้จากความสำเร็จของโครงการและผลตอบรับที่ดี กองทุนจึงมีแผนเปิดตัวสินเชื่อใหม่เพิ่มเติม จำนวน 2 โครงการ ภายในเดือนตุลาคมนี้ โดยสินเชื่อโครงการแรกจะมีเงื่อนไขใกล้เคียงกับโครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถธุรกิจ (เสือติดปีก) ในปี 2568 สามารถกู้ได้ทั้งลูกค้าเดิมของกองทุนและลูกค้าใหม่ และอีกหนึ่งโครงการจะเป็นสินเชื่อเติมทุนหนุนธุรกิจ (Top Up) ซึ่งเป็นเงินทุนช่วยเหลือและสนับสนุนลูกหนี้สินเชื่อชั้นดี (บัญชีเกรด A) เพื่อนำไปใช้ในการลงทุน เพิ่มขีดความสามารถ นวัตกรรม ปรับปรุงเทคโนโลยีอุตสาหกรรม และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ กรอบวงเงินกว่า 2,800 ล้านบาท โดยอยู่ระหว่างยื่นของบประมาณในปีงบประมาณ 2569
ทั้งนี้ ในครึ่งหลังของปี 2568 กองทุนยังคงเดินหน้าสานต่อความสำเร็จเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับ
เอสเอ็มอีไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมพร้อมออกมาตรการพลิกฟื้นธุรกิจ เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาภาระการชำระหนี้ให้กับลูกหนี้สินเชื่อของกองทุน ให้ได้รับการยกเว้นการชำระดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 12 เดือน เพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งเป็นการลดแนวโน้มการเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)
นอกเหนือจากมาตรการด้านสินเชื่อ ในปี 2568 กองทุนยังได้ดำเนินโครงการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอี จำนวน 2 โครงการ งบ 10 ล้านบาท ได้แก่ โครงการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตอย่างยั่งยืน และโครงการพัฒนาธุรกิจด้วยดิจิทัล ซึ่งมุ่งเน้นการช่วยเอสเอ็มอีให้สามารถปรับปรุงกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการใช้พลังงาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงสามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการทางธุรกิจเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งประสบความสำเร็จในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกว่า 350 ล้านบาท
และกองทุนยังได้ทุ่มงบอีกกว่า 20 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอี จำนวน 4 โครงการ ได้แก่
• โครงการเสริมแกร่งการเงิน เพิ่มทุนหนุนธุรกิจ (สุขใจ): เน้น Financial Literacy และการเข้าถึงแหล่งทุน
• โครงการยกระดับธุรกิจเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน (เปิดใจ): เน้น Digital และ BCG ในอุตสาหกรรมศักยภาพ
• โครงการพัฒนาฮาลาลไทย รับรองได้ ขายส่งออกชัวร์ (มั่นใจ): เน้นมาตรฐานฮาลาลและการขยายตลาดส่งออก
• โครงการพลิกชีวิต ฟื้นธุรกิจ ปรับหนี้ให้อยู่รอด (สู้สุดใจ): มุ่งช่วยเหลือลูกหนี้กองทุนที่ประสบปัญหาหนี้สินให้ฟื้นฟูและกลับมาดำเนินธุรกิจได้
โดยผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ จะได้รับการบ่มเพาะและพัฒนาศักยภาพธุรกิจจากสถาบันเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งจะเริ่มดำเนินการเปิดรับสมัครในช่วงเดือนมิถุนายน 2568 เป็นต้นไป โดยสามารถรองรับผู้สมัครเข้าร่วมได้กว่า 400 กิจการ หรือกว่า 1,000 ราย สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม และสมัครเข้าร่วมโครงการ ได้ที่ https://i.industry.go.th หรือศึกษารายละเอียดได้ที่ www.thaismefund.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ สำนักงานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด หรือธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ทั่วประเทศ
และสำหรับตัวอย่างผลสำเร็จของสถานประกอบการที่กองทุนได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนด้านเงินทุนและ
การส่งเสริมพัฒนา ได้แก่
1. บริษัท บัตเตอร์ฟลาย ออร์แกนิค จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค เช่น
นมโคแท้ออร์แกนิค โยเกิร์ตออร์แกนิค เครื่องดื่มน้ำนมจากพืช
o จุดเด่น :
– ได้รับรองมาตรฐานอาหารและผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคของสหรัฐอเมริกา (USDA Organic : US Department of Agriculture) ซึ่งเป็นเจ้าแรกที่ได้รับมาตรฐานในอาเซียน
– ผลิตภัณฑ์เป็น Natural Product ยกตัวอย่าง โยเกิร์ตที่มีจุลทรีย์มีชีวิตมากกว่าโยเกิร์ตตามท้องตลาด และไม่ใส่สารควบแน่น
– ได้รับมาตรฐานฮาลาล, GHPs, HACCP
o โครงการสินเชื่อหรือโครงการส่งเสริมและพัฒนา :
– ปี 2568 ได้รับสินเชื่อโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องธุรกิจ (คงกระพัน) จำนวน
5 ล้านบาท เพื่อนำไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนเสริมสภาพคล่องภายในกิจการ
– เข้าร่วมโครงการพัฒนาธุรกิจด้วยดิจิทัลสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีใหม่ (Digital Transformation) โดยได้รับการยกระดับการบริหารจัดการและแผนการลงทุนสำหรับการขยายโรงงานเป็นระบบกึ่งอัตโนมัติและระบบคลังสินค้าเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลภายในองค์กร
o ผลสำเร็จในการเข้าร่วมโครงการ :
– เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต โดยเป็นการลดระยะเวลาในการผลิตสินค้าในโรงงาน
o การต่อยอดพัฒนาธุรกิจในอนาคต :
– มีแผนระยะยาวในการผลิตอาหารที่ดีต่อสุขภาพ (Health Land) เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ให้เข้าสู่ตลาดในระดับโลก รวมทั้งมีแผนการขยายลูกค้าใหม่ เช่น การบินไทย ธุรกิจแม่และเด็ก เป็นต้น
2. บริษัท เค การ์เด้นท์ แอนด์ เฟนซ์ จำกัด จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง เช่น รั้วสำเร็จรูปมาตรฐานยุโรป ฝาตะแกรงท้อ เหล็กเส้น
o จุดเด่น :
– เป็นผู้ผลิตลวดเหล็กชุบสังกะสีอลูมิเนียมอัลลอยรายแรกในประเทศไทย ด้วยกรรมวิธีแบบจุ่มร้อน (Hot-dip Galvanization)
– ประกอบธุรกิจและจำน่ายสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง ได้แก่ รั้วตาข่าย รั้วสำเร็จรูปมาตรฐานยุโรป ฝาตะแกรงท่อ เหล็กเส้น และกรงตับไก่ ภายใต้แบรนด์ Euro Fence
– ปัจจุบันธุรกิจมีแนวโน้มเติบโตและมียอดขายเพิ่มขึ้น โดยได้มีการขยายตลาดและเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ เสาเข็มเหล็ก พัดลมระบายอากาศ พัดลมอุตสาหกรรม ซึ่งช่วยในการประหยัดพลังงาน ลดค่าไฟฟ้า มีความทนทานสูง สามารถต่อตรงกับระบบโซล่าเซลล์ได้
– ได้รับมาตรฐาน มอก. 934-2558
– กลุ่มลูกค้า ได้แก่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โรงงานอุตสาหกรรม และฟาร์มเลี้ยงสัตว์
o โครงการสินเชื่อหรือโครงการส่งเสริมและพัฒนา :
– ปี 2563 ได้รับสินเชื่อโครงการสินเชื่อ SME โตไว ไทยยั่งยืน (ปิดบัญชีแล้ว) โดยได้รับการช่วยเหลือจากกองทุน ในช่วงวิกฤตโควิด-19 เป็นการลงทุนซื้อเครื่องจักร ในวงเงิน 2.80 ล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
– ในปี 2568 ได้รับสินเชื่อโครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจ (เสือติดปีก) วงเงิน 10 ล้านบาท เพื่อสมทบการซื้อเครื่องจักรเพิ่มเติม
o ผลสำเร็จในการเข้าร่วมโครงการ
– ช่วยให้เกิดการขยายตลาดในกลุ่มลูกค้าใหม่และเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ประกอบกับธุรกิจเริ่มมีการตอบรับที่ดีและยอดขายมีแนวโน้มเติบโตขึ้นกิจการ
o การต่อยอดพัฒนาธุรกิจในอนาคต :
– นำสินเชื่อที่ได้ไปต่อยอดธุรกิจในการผลิตมอเตอร์พัดลมอุตสาหกรรม ที่ประหยัดพลังงาน มากกว่าร้อยละ 30 ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ของโลก
“ผมเชื่อว่าโครงการสินเชื่อและโครงการส่งเสริมและพัฒนา SME ของกองทุน จะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยยกระดับ SME ไทยให้ปรับตัวและเติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมรับมือกับความท้าทายในสภาวะเศรษฐกิจยุคใหม่ และมีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนควบคู่ชุนชนและสิ่งแวดล้อมต่อไป” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thaigov.go.th/news/contents/ministry_details/96948&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw0wj0jpTRkll0n8zIcgwUfu