โพลตบหน้ารัฐบาลอิงค์ ชาวบ้านเจอวิกฤตศก.ถ้วนหน้า!!


เมืองไทย 360 องศา

แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะรับรู้ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจของบ้านเราว่าในปีนี้จะต้องเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจ โดยหลายหน่วยงานต่างเห็นพ้องกันกันว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจหรือจีดีพี จะโตไม่ถึงร้อยละ 2 โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์ ) คาดการณ์แนวโน้มว่าจะโตแค่ร้อยละ 1.8 ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า น่าจะโตต่ำกว่านั้นอีกนั่นคือ แค่ร้อยละ 1.4 เท่านั้นเอง และยังคาดว่าภายในไตรมาส 3 หรือปลายปีนี้ จะได้เห็นปัญหาเศรษฐกิจที่ชัดเจน

หากเป็นแบบนั้นจริง ก็ต้องถือว่าไทยจะเจอกับปัญหาเศรษฐกิจที่หนักหน่วงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียนด้วย เพราะที่ผ่านมาเราก็โตต่ำที่สุดอยู่แล้ว โดยก่อนหน้านี้ทั้งธนาคารโลก ไอเอ็มเอฟ ต่างมองไปในทิศทางเดียวกันว่า เราจะโตต่ำกว่า เวียดนาม ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และลาว และที่น่าสนใจก็คือ ก่อนหน้านี้ยังมองว่าไทยโตต่ำกว่าเมียนมา ที่กำลังประสบปัญหาสงครามภายในเสียอีก

ที่ผ่านมารัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และแกนนำในพรรคเพื่อไทยมักจะยืนยันว่า สาเหตุที่ไทยยังมีปัญหาเศรษฐกิจหนักหน่วงเป็นเพราะมีปัญหาหมักหมมมานานนับสิบปี ที่สำคัญเป็นเพราะการ “รัฐประหาร” ทำให้ประเทศถอยหลัง มีปัญหาที่ต้องแก้ไขมากมาย อีกทั้งตอนนี้ยังต้องเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจทั้งโลก จากปัญหา “สงครามภาษี” จากสหรัฐอเมริกา โดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ยิ่งทำให้ต้องปัญหาซ้ำเติมเข้ามาอีก

แน่นอนว่าข้ออ้างดังกล่าวคงใช้ได้ผลในช่วงแรกๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ น้ำหนักความน่าเชื่อถือก็ย่อมลดลง เหมือนกับเวลานี้ที่ทั้งตัว นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่กำลังประสบกับ “ปัญหาความเชื่อมั่น” ที่หลายคนเริ่มมองเห็นชัดเจนมากขึ้นว่า เธอมีปัญหาเรื่องวุฒิภาวะ ความรู้ความสามารถ ซึ่งหากเป็นแบบนี้ย่อมไม่มีผลดีกับทั้งรัฐบาล หรือแม้แต่พรรคเพื่อไทย

เพราะจะทำให้เครดิตของพวกเขา ที่เคยบอกว่า “มืออาชีพทางด้านเศรษฐกิจ” หรือก่อนหน้านี้เมื่อตอนหาเสียงพรรคเพื่อไทยก็ใช้คำว่า “พรรคเพื่อไทยคิดใหญ่ ทำเป็น” ซึ่งเวลานี้ทุกอย่างกำลังฟ้องให้เห็นภาพมากขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงจะส่งผลกระทบไปถึง นายทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นทุกอย่างในพรรคเพื่อไทย และผู้ผลักดันคนสำคัญของน.ส.แพทองธาร ที่เป็นลูกสาว

เวลานี้สิ่งที่กำลังทำลายเครดิตของรัฐบาล และพรรคเพื่อไทยก็คือ ทุกนโยบายไม่สามารถผลักดันออกมาได้ ตั้งแต่ค่าแรงขั้นต่ำ เพิ่มรายได้ต่อเดือนให้คนไทยทุกคน เงินเดือนปริญญาตรี ล่าสุดนโยบาย “เรือธง” อย่าง “แจกเงินหมื่น” หรือรู้จักกันในชื่อ “ดิจิทัลวอลเล็ต” ที่ถือว่า “ไม่ตรงปก” มาตั้งแต่ต้น และถึงตอนนี้ถือว่า “จบแล้ว” แบบกล้าฟันธงร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าจะเฟส 3 หรือ เฟส 4 ก็ไม่มีแจกแล้ว เพราะมีการโยกงบประมาณไปทำอย่างอื่นที่อ้างว่า “กระตุ้นเศรษฐกิจ” ไปแล้ว การเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด ความหมายก็คือ “ยกเลิก” นั่นเอง เพียงแต่ว่าไม่กล้าพูดออกมาเท่านั้น

อย่างไรก็ดี จะว่าไปแล้ว การยกเลิกแจก “เงินหมื่น” ดังกล่าวถือว่า “กระทบฐานเสียง” หรือกระทบความนิยมให้กับพรรคเพื่อไทย และทำลายเครดิตให้กับ “ครอบครัวชินวัตร” อย่างหนัก แน่นอน ดังนั้นการยกเลิกคราวนี้ย่อมต้องเป็นเพราะ “ไม่มีเงินแจก” นั่นเอง เพราะย่อมรู้ดีว่า หากไม่แจก หรือว่าแจกช้า ย่อมทำให้เสื่อมความนิยม ส่วนเรื่องเกรงว่าจะทำผิดกฎหมายนั้นก็เป็นส่วนสำคัญ แต่สาเหตุหลักก็คือ “ไม่มีเงิน” มาแจก

เมื่อวกกลับมาผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ จนกลายเป็น “วิกฤตเศรษฐกิจ”ในเวลานี้ และยังเชื่อมโยงกับการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต”

ล่าสุด ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจเรื่อง “วิกฤตเศรษฐกิจกับการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 และ เฟส 4” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 7-8 พฤษภาคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค

จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศไทยในขณะนี้ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 83.66 ระบุว่า เผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจในระดับที่ต้องหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน รองลงมา ร้อยละ 9.70 ระบุว่า เผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจในระดับที่ต้องหาทางแก้ไขแต่ไม่เร่งด่วน ร้อยละ 4.20 ระบุว่า เผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจในระดับที่ไม่น่าวิตกกังวลใด ๆ และร้อยละ 2.44 ระบุว่า ไม่ได้เผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ

สำหรับการเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจของประชาชนในขณะนี้ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 47.17 ระบุว่า เผชิญกับ วิกฤตเศรษฐกิจ ในระดับที่ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างเร่งด่วน รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า เผชิญกับ วิกฤตเศรษฐกิจในระดับที่สามารถรับมือได้ด้วยตนเอง ร้อยละ 15.80 ระบุว่า เผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจในระดับที่ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่ไม่เร่งด่วน และ ร้อยละ 7.56 ระบุว่า ไม่ได้เผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจใด ๆ

ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อการดำเนินนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เฟส 3 ของรัฐบาลให้กับประชาชนกลุ่มอายุ 16-20 ปี ในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน พบว่าตัวอย่าง ร้อยละ 57.25 ระบุว่า ดำเนินนโยบายต่อไปในปีนี้ ตามที่ได้ประกาศไว้ รองลงมา ร้อยละ 33.90 ระบุว่า ควรหยุดการดำเนินการในนโยบายนี้ได้แล้ว ร้อยละ 7.63 ระบุว่า เลื่อนการดำเนินนโยบายไปในปี 2569 และร้อยละ 1.22 ระบุว่า เลื่อนการดำเนินนโยบายไปในปี 2570

ส่วนความคิดเห็นของประชาชนต่อการดำเนินนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เฟส 4 ของรัฐบาลให้กับประชาชน กลุ่มอายุ 21-59 ปี ในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 62.98 ระบุว่า ดำเนินนโยบายต่อไปในปีนี้ ตามที่ได้ประกาศไว้ รองลงมา ร้อยละ 26.95 ระบุว่า ควรหยุดการดำเนินการในนโยบายนี้ได้แล้ว ร้อยละ 8.47 ระบุว่า เลื่อนการดำเนินนโยบายไปในปี 2569 และร้อยละ 1.60 ระบุว่า เลื่อนการดำเนินนโยบายไปในปี 2570

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความรู้สึกของประชาชนหากนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ตัดสินใจยกเลิกนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 54.12 ระบุว่า ไม่โกรธเลย รองลงมา ร้อยละ 17.41 ระบุว่า ค่อนข้างโกรธ ร้อยละ 15.27 ระบุว่า โกรธมาก ร้อยละ 13.05 ระบุว่า ไม่ค่อยโกรธ และร้อยละ 0.15 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

เมื่อพิจารณาจากผลสำรวจ จะเห็นว่าชาวบ้านส่วนใหญ่เจอกับวิกฤตเศรษฐกิจที่ต้องหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน ทำให้เห็นว่ายังต้องการรับแจกเงินหมื่นดิจิทัลต่อไป และหากเป็นไปได้ให้แจกภายในปีนี้ แต่ถึงอย่างไร ก็ถือว่ามีความเห็นใจรัฐบาลอยู่บ้างว่าหากไม่แจก ก็ “ไม่โกรธ”

ดังนั้น เวลานี้ถือว่าประเทศไทยกำลังเจอกับความยากลำบากเรื่อง “ปากท้อง”ที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะให้เตรียมการรับมือในช่วงปลายปีนี้ ไปจนถึงปีหน้าที่หลายฝ่ายประเมินตรงกันว่าอาจเข้าขั้นวิกฤต ขณะเดียวกันเมื่อผลสำรวจก็ออกมาว่าชาวบ้านส่วนใหญ่เกินร้อยละ 80 ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ทำให้สะท้อนผลงานของรัฐบาลได้เป็นอย่างดีว่า ยังพึ่งพาได้อยู่หรือเปล่า!!

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://mgronline.com/politics/detail/9680000048967&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw3hqzWIhdlWiAIEtZKZzWzH

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *