.

ที่มาของภาพ, Getty Images

คำบรรยายภาพ, นิยายเรื่อง 1984 ของ จอร์จ ออร์เวลล์ ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1949 สร้างมาจากเรื่องจริง
  • Author, เอมราห์ อาตาซอย และ เจฟฟรีย์ วาสเซอร์สตรอม
  • Role, เดอะ คอนเวอร์เซชัน

มีผลงานนิยายในอดีตที่ช่วยให้เราเข้าใจความเป็นไปในปัจจุบันอันน่ากังวลได้หรือไม่ ?

เมื่อพิจารณาถึงการอ้างอิงถึง “นิวสปีก (Newspeak)” [ภาษาที่ปรากฏในนวนิยายเรื่อง 1984 เป็นภาษาที่ถูกออกแบบมาเพื่อควบคุมและจำกัดการแสดงออกทางความคิด ซึ่งรัฐบาลในเรื่องดังกล่าวสร้างขึ้นเพื่อควบคุมความคิดของคนในสังคม] ที่ทำให้สับสน รวมถึงผู้นำสไตล์พี่ใหญ่ (Big Brother) และระบบเฝ้าระวังที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในหน้าหนังสือพิมพ์ คำถามนี้มีคำตอบง่าย ๆ นั่นคือ “มี และมันคือหนังสือเรื่อง 1984 ของจอร์จ ออร์เวลล์ นั่นแหละ”

ทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาของปีกการเมือง ต่างเห็นตรงกันว่านวนิยายเรื่องนี้ของจอร์จ ออร์เวลล์ ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1949 เป็นหนังสือแห่งศตวรรษที่ทำให้เห็นภาพปัจจุบันได้ดีที่สุด

แต่ก็มีคนอื่น ๆ ที่มองว่าวัฒนธรรมบริโภคนิยมและความหมกมุ่นในสื่อสังคมออนไลน์ของผู้คนต่างหากที่เป็นปัญหาหลักในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ คำตอบจึงแตกต่างออกไป และบอกว่านิยายที่ช่วยให้เราเข้าใจความอลหม่านในปัจจุบันได้ คือ “หนังสือเรื่อง “โลกที่กล้าเปลี่ยน” (Brave new world) ซึ่งเขียนโดย อัลดัส ฮักซลีย์”

ทว่า ผู้เขียนกลับคิดว่าควรอ่านหนังสือทั้งสองเล่มคู่กัน

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and continue reading

ได้รับความนิยมสูงสุด

  • หลายคนอาจคาดไม่ถึงว่า เราสามารถได้รับโปรตีนปริมาณมากจากการกินผลไม้

  • A still from video compiled by UK Special Forces shows how members of one squadron kept count of their kills

  • Shreya Mishra Reddy stands behind a sign with the words Harvard Business School and a crest of the institution at its campus in Boston in the United States.

  • A photo of Catherine Meng’anyi

End of ได้รับความนิยมสูงสุด

ในการถกเถียงที่ดำเนินมาอย่างยาวนานว่าใครคือนักเขียนที่พยากรณ์อนาคตได้แม่นที่สุดในยุคของเขา ออร์เวลล์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของฮักซลีย์ในสมัยเรียนอยู่ที่วิทยาลัยอีตัน มักเป็นชื่อนักเขียนคนแรก ๆ ที่ผุดขึ้นมา

หนึ่งในเหตุผล คือ พันธมิตรระหว่างประเทศที่ดูเหมือนมีความมั่นคงมาอย่างยาวนาน กำลังเผชิญกับความผันผวนอยู่ตลอดเวลา คล้ายกับที่ออร์เวลล์จินตนาการไว้ในหนังสือเรื่อง 1984 ว่าโลกในอนาคตจะแบ่งออกเป็น 3 ขั้วอำนาจที่เป็นคู่แข่งกัน และมีพันธมิตรที่เปลี่ยนแปลงไป

ในช่วงเวลาสั้น ๆ นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐอเมริกา เริ่มดำรงตำแหน่งสมัยที่สองของเขา นโยบายและแถลงการณ์ต่าง ๆ ของทรัมป์ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่น่าประหลาดใจ

สหรัฐฯ และแคนาดาซึ่งเคยเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกันมานานกว่าศตวรรษ กำลังเผชิญความขัดแย้งระหว่างกัน ขณะที่รัฐบาลจีนจับมือกับเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น เพื่อต่อต้านมาตรการภาษีของทรัมป์

.

ที่มาของภาพ, Getty Images

คำบรรยายภาพ, อัลดัส ฮักซลีย์ ขณะเป็นครูสอนภาษาฝรั่งเศสของออร์เวลล์ในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่วิทยาลัยอีตัน

บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมีสาขาการศึกษาเกี่ยวกับลักษณะหรือสถานการณ์ที่มีความคล้ายคลึงกับสังคมเผด็จการที่ออร์เวลล์บรรยายไว้ในนวนิยายเรื่อง 1984 หรือที่เรียกว่า “Orwellian Studies” อย่างเฟื่องฟู โดยมีวารสารวิชาการเป็นของตัวเอง แต่สิ่งนี้กลับไม่เกิดขึ้นกับการศึกษาเกี่ยวกับโลกดิสโทเปียแบบในงานของฮักซลีย์ หรือที่เรียกว่า “Huxleyan Studies”

นี่อาจอธิบายได้ว่าเหตุใดหนังสือ 1984 จึงติดอันดับหนังสือขายดี ควบคู่ไปกับหนังสือ “เรื่องเล่าของสาวรับใช้ (The Handmaid’s Tale)” ของมาร์กาเร็ต แอตวูด แต่หนังสือเรื่อง Brave New World กลับไม่อยู่ในชั้น

“การศึกษาออร์เวลเลียน (Orwellian)” มีคู่แข่งเพียงไม่กี่คน หนึ่งในนั้นคือ “Kafkaesque (คาฟคาเอสค์)” [คำที่ใช้บรรยายสถานการณ์ที่สับสน น่ากลัว โดยเฉพาะสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับกฎระเบียบและระบบทางการที่ซับซ้อน ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีเหตุผล ตามคำอธิบายของอ็อกซ์ฟอร์ด เลิร์นเนอร์ ดิกชันนารีส์] ซึ่งเป็นคำคุณศัพท์ที่ทุกคนรู้จักได้ทันทีจากงานเขียนของ ฟราน คาฟคา นักเขียนชื่อดังในยุคศตวรรษที่ 20

แม้ทั้งงานของคาฟคาและแอตวูดล้วนทรงคุณค่า แต่ผู้เขียนมั่นใจว่าการรวมวิสัยทัศน์ของออร์เวลล์และฮักซลีย์เข้าด้วยกัน จะทำให้เกิดการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะระบอบเผด็จการของออร์เวลล์และฮักซลีย์ถูกนำมาเปรียบเทียบกันอยู่บ่อยครั้ง แม้จะไม่เสมอไป

ตัวอย่างในประเทศเมียนมาและนครดูไบ

เราอยู่ในยุคที่มีการควบคุมโดยระบบทุกรูปแบบ เพื่อจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกทางความเห็น ทางอัตลักษณ์ ไปจนถึงด้านศาสนา

แม้หลายระบบไม่ได้ตรงกับตัวแบบที่ออร์เวลล์หรือฮักซลีย์จินตนาการไว้ แต่มันกลับผสานใช้แนวคิดของนักเขียนทั้งสองคนเข้าด้วยกัน

ยกตัวอย่างเช่น เมียนมา ที่ผู้มีอำนาจหันไปใช้เทคนิคที่ทำให้นึกถึงออร์เวลล์ทันที นั่นคือการมุ่งเน้นไปที่ความกลัวและการสอดส่องประชาชน ขณะที่นครดูไบทำให้นึกถึงฮักซลีย์ ซึ่งงานของเขามุ่งเน้นไปที่การสร้างความสุขและความบันเทิงที่ช่วยหันเหความสนใจ และในหลายกรณีเราก็พบการผสมผสานของทั้งสองแนวคิด

สิ่งนี้เห็นได้ชัดมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะจากมุมมองระดับโลก และนี่คือสิ่งที่ผู้เขียนเชี่ยวชาญในฐานะนักวิจัยระดับนานาชาติและสหวิทยาการ โดยหนึ่งในผู้เขียนบทความนี้เป็นนักวิชาการวรรณกรรมชาวตุรกีในสหราชอาณาจักร และอีกคนเป็นนักประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมจีนจากแคลิฟอร์เนีย ซึ่งได้ตีพิมพ์งานเกี่ยวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย

เช่นเดียวกับออร์เวลล์ ฮักซ์ลีย์เองเขียนหนังสือหลายเล่มที่ไม่ใช่นิยายแนวดิสโทเปีย แต่หนังสือเรื่อง Brave New World ซึ่งเป็นนิยายแนวนี้ กลับเป็นผลงานที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดของเขา และเป็นที่รู้จักกันดีในช่วงสงครามเย็น

ในหลักสูตรและบทวิจารณ์ต่าง ๆ นิยายเรื่องนี้ของฮักซ์ลีย์มักถูกนำมาเปรียบเทียบกับ 1984 ในฐานะการเล่าเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงสังคมที่มีความผิวเผินอันมีพื้นฐานอยู่กับความฟุ่มเฟือยและการบริโภคนิยม ตรงข้ามกับโลกอันมืดมนของออร์เวลเลียนที่ความปรารถนาถูกกดขี่และอยู่ภายใต้การควบคุมที่เข้มงวด

.

ที่มาของภาพ, Getty Images

คำบรรยายภาพ, นิยายเรื่อง The Handmaid’s tale ของมาร์กาเรต แอตวูด ก็เป็นนิยายแนวดิสโทเปีย

แม้ว่าการเปรียบเทียบหนังสือทั้งสองเล่มจะเป็นเรื่องปกติ แต่หนังสือเหล่านี้ยังสามารถถูกมองว่าเป็นงานที่เชื่อมโยงและเกี่ยวพันกันได้ โดยในช่วงสงครามเย็น นักวิจารณ์บางคนมองว่า “Brave New World” แสดงให้เห็นว่าลัทธิบริโภคนิยมแบบทุนนิยมสามารถนำไปสู่จุดใดได้บ้างในยุคที่สื่อโทรทัศน์มีอิทธิพลอย่างมาก

หากตีความตามงานของฮักซ์ลีย์ โลกตะวันตกอาจกลายเป็นโลกเผด็จการเหมือนในนวนิยาย ที่ผู้ปกครองจะยังคงอยู่ในอำนาจ โดยทำให้ผู้คนยุ่งอยู่ตลอดเวลาและทำให้เกิดความแบ่งแยกในหมู่ผู้คน ขณะเดียวกันพวกเขาก็มีความสุขจากสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นความบันเทิงและยา “โซมา” ยาสามัญที่ใช้ควบคุมความคิดของประชากร เพื่อให้พวกเขาไม่สนใจสิ่งรอบตัว

ในทางกลับกัน ดูเหมือนว่าออร์เวลล์จะให้กุญแจแก่ประเทศที่ไม่ใช่ทุนนิยมและถูกควบคุมโดยพรรคคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศโซเวียต เพื่อไขให้เห็นว่าโหมดการควบคุมประชาชนที่รุนแรงที่สุดเป็นเช่นไร

การควบคุมและวิศวกรรมทางสังคม

ในหนังสือสารคดีเรื่อง “Brave New World Revisited” ซึ่งถูกตีพิมพ์ในช่วงทศวรรษ 1950 ของฮักซลีย์ มองว่าเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่จะต้องสะท้อนให้เห็นถึงการผสมผสาน การแก้ไข และการวิเคราะห์เทคนิคของอำนาจ รวมถึงออกแบบทางวิศวกรรมต่อสังคมที่ถูกนำมาใช้เพื่อควบคุมให้สังคมไปในทิศทางที่ต้องการ ซึ่งปรากฏอยู่ในนิยายทั้งสองเล่ม

และมันยังมีคุณค่ามากขึ้นอีก หากผสมผสานทั้งสองแนวคิดนี้เข้าด้วยกันในปัจจุบัน เนื่องจากระบบทุนนิยมได้แผ่ขยายไปทั่วโลก ขณะที่กระแสเผด็จการยังคงก้าวไปสู่จุดสูงสุดในยุคที่เรียกว่า “หลังความจริง (post-truth era)”

แนวทางแบบแข็งกร้าวในนวนิยายของออร์เวลล์ หรือนโยบายแบบนุ่มนวลในนวนิยายของฮักซ์ลีย์ สามารถนำไปสู่การควบคุมทางสังคมและวางแผนวิศวกรรมหรือออกแบบทางสังคมได้ ซึ่งส่วนใหญ่มักพบการประยุกต์ใช้ทั้งสองวิธีเข้าด้วยกัน

ผู้เขียนเห็นสิ่งนี้ในประเทศต่าง ๆ เช่น จีน ที่ใช้การปราบปรามดิบเถื่อนของรัฐพี่ใหญ่ (Big Brother) ต่อประชากรชาวอุยกูร์ ในขณะที่เมืองต่างๆ เช่น นครเซินเจิ้น กลับนำวิธีการแบบในหนังสือ Brave New World มาใช้แทน

.

ที่มาของภาพ, Getty Images

คำบรรยายภาพ, จอร์จ ออร์เวลล์ ผู้เขียน 1984 ในสมัยที่เป็นนักข่าวบีบีซี

เรามองเห็นการผสมผสานขององค์ประกอบดิสโทเปียในหลายประเทศด้วยเช่นกัน เช่น สิงคโปร์ ที่ วิลเลียม กิบสัน นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง “นิวโรแมนเซอร์ (Neuromancer)” เขียนว่าเป็น “ดิสนีย์แลนด์ที่มีโทษประหารชีวิต”

ผู้เขียนหวังว่านี่อาจเป็นก้าวแรกที่มีประโยชน์ในการทำความเข้าใจ และอาจเริ่มมองหาวิธีปรับปรุงโลกที่เต็มไปด้วยปัญหาในช่วงกลางทศวรรษ 2020 โลกที่มือถือสมาร์ทโฟนในกระเป๋าของคุณติดตามกิจกรรมของคุณทุกย่างก้าว และเสนอสิ่งที่ดึงดูดใจไม่รู้จบให้กับคุณ

หมายเหตุ

เอมราห์ อาตาซอย เป็นนักวิจัยด้านวรรณคดีเปรียบเทียบและภาษาอังกฤษ และเป็นนักวิจัยกิตติมศักดิ์ของ IAS ที่มหาวิทยาลัยวอร์วิก

เจฟฟรีย์ วาสเซอร์สตรอม เป็นศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์จีนและโลก ประจำมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เออร์ไวน์