วันอาทิตย์ ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 17.31 น.
“รศ.ดร.รุ่งเรือง พิทยศิริ” มองเศรษฐกิจไทยย่ำแย่เกิดจากความไม่มั่นใจในตัวผู้นำและนโยบายไม่ชัดเจน ห่วงภาวะเศรษฐกิจไทยอาจเข้าใกล้ศูนย์ในอนาคต
รศ.ดร.รุ่งเรือง พิทยศิริ นักวิชาการอิสระ มองเศรษฐกิจไทยย่ำแย่เวลานี้เกิดจากความไม่มั่นใจในตัวผู้นำและนโยบายไม่ชัดเจน เสี่ยงภาวะเศรษฐกิจไทยเข้าใกล้ศูนย์ในอนาคต โดยระบุว่า ตอนนี้เห็นสัญญาณกันชัดเจนขึ้นนะครับว่า เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ช่วงขาลงอย่างชัดเจน โดยไม่ต้องไปสืบค้นตัวเลขสถิติการคาดการณ์การเจริญเติบโต หรือกิจกรรมการผลิตของภาคอุตสาหกรรมใดๆครับ เพราะทุกสำนักสื่อมวลชนเรียกว่า ถกแถลงทุกวันว่าสภาวะเศรษฐกิจตอนนี้เข้าสู่ข้าวยากหมากแพงกันจริงๆครับ สื่อสำนักไหนก็สนใจพูดคุยกันเรื่องเศรษฐกิจว่าจะเอายังไงกันดี แล้วที่ว่าแย่แล้ว เขาว่าปีหน้าจะแย่ยิ่งกว่าจริงไหม คือผมอยากทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า สถิติตัวเลขทางเศรษฐกิจเป็นการบ่งชี้สิ่งที่เกิดขึ้น และการคาดการณ์ก็จะอาศัยการประเมินปัจจัยเข้าในสมการการคำนวณจีดีพี รวมถึงฐานตัวเลขสำคัญอย่างอัตราเงินเฟ้อด้วย ทุกอย่างคือการประเมิน แต่หากความเชื่อมั่นดิ่งลง ย่อมจะส่งผลให้ปัจจัยเข้า (Input Factor) ที่ใช้ในการคำนวณจริงๆ ยิ่งจะแย่ลงไปอีก
เศรษฐกิจเป็นเรื่องของความเชื่อมั่น ถ้ามีความเชื่อมั่น ก็จะเกิดการใช้จ่ายและการลงทุน ทำให้เกิดพลวัตรทางเศรษฐกิจ แต่ถ้าความเชื่อมั่นตกลง หรือแย่ไปกว่านั้นกลายเป็นความกลัวว่าจะเกิดปัญหาหรือวิกฤตทางเศรษฐกิจขึ้นมา คนส่วนใหญ่ก็จะกอดเงินที่มีอยู่ ไม่ยอมใช้จ่าย ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป ยิ่งทำให้ภาวะเศรษฐกิจเกิดกิจกรรมการผลิตน้อยลงเข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว ธุรกิจอาหารและบริการ หรือแม้กระทั่งอุตสาหกรรมเทคโนโลยี อุตสาหกรรมยานยนต์ เพราะความเรียกร้องที่จะสนองเทคโนโลยีที่ทันสมัย รวดเร็ว หรือจะเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่ ก็อาจจะมองว่าไม่จำเป็นมากในขณะนี้ ความเชื่อมั่นยังรวมไปถึง ความเชื่อมั่นในตัวบุคคลที่หน้าที่ในการบริหารประเทศ บริหารระบบเศรษฐกิจด้วย และก็รวมไปถึงความเชื่อมั่นในนโยบายของประเทศ ว่าจะนำพาประเทศผ่านภาวะที่ยากลำบากได้หรือไม่ อยากให้ดูตัวอย่างของประเทศสิงคโปร์ ที่นายกรัฐมนตรีหว่อง เขาประกาศว่าเขาจะทำอย่างไรในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจจากปัญหาการค้าโลกที่ก่อตัวจากกำแพงภาษีของสหรัฐ เขาอภิปรายว่าประเทศจะเจออะไร เห็นภาพเป็นฉากๆ ชัดเจนมาก และต้องทำอะไรบ้างถึงจะรอด จะต้องมีจุดยืนอย่างไรในสถานภาพของสิงคโปร์ (คือประเทศที่เป็นนายหน้า/ตัวแทนการค้าโลก) และเขาก็เลือกให้ประชาชนตัดสินใจว่าเชื่อเขาหรือไม่
คนเชื่อมั่นในตัวนายกสิงคโปร์หรือเปล่า ดูจากการแชร์เฟสบุ๊กที่เขาอภิปรายในสภาของเขา ก็บอกได้ถึงคำตอบ ไม่ต้องวิจารณ์ผลการเลือกตั้งเลยครับ ผู้นำประเทศต้องมีความสามารถในการสร้างความเชื่อมั่น ต้องสามารถส่งสัญญาณเรียกความเชื่อมั่นของประชาชนได้ ต้องสามารถประกอบแนวคิดของพรรคการเมืองเป็นนโยบายที่จำเป็นในการแก้ปัญหาของประเทศ กล้าพูด กล้ายอมรับ กล้าเปลี่ยนแปลง อะไรที่พลาด ต้องเลิก ต้องเปลี่ยน และเมื่อประชาชนเขามั่นใจว่าประเทศกำลังมีนโยบายที่ถูกต้อง มันก็จะเป็นฐานให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดีกว่า มากกว่า และส่งสัญญาณไปยังนานาประเทศ ว่าประเทศนี้น่าจะฟันฝ่าคลื่นลมไปได้ แต่ถ้าเราไปเจอใคร หรือสื่อมวลชนทุกแขนงกลับบอกว่า เรากำลังอยู่ในภาวะข้าวยากหมากแพง เพื่อนฝูงทุกคนเจอกันล้วนบ่นว่าเศรษฐกิจแย่ ปีหน้าจะเผาจริง ยิ่งไปกว่านั้น หัวหน้าทีมเสนาธิการทางด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล อย่างสภาพัฒน์ฯ ยังออกมาเตือนประชาชนว่าให้ระมัดระวังการใช้จ่าย เศรษฐกิจข้างหน้ากำลังจะยากลำบาก อันนี้คงสรุปได้ง่ายๆเลยว่า สังคมไม่ได้มีความเชื่อมั่น ขนาดข้าราชการประจำที่ทำงานด้านเศรษฐกิจในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล้าออกมาพูดอย่างนี้ ในระบบการเมืองปกติ คงโดนเรียกมาจุ๊บปากแล้ว หรือเชิญไปเข้ากรุแล้ว เพราะพูดจาไม่สร้างความน่าเชื่อถือให้รัฐบาล
สรุปคือขณะนี้เราไม่มีความมั่นใจในตัวผู้นำ นโยบาย และภาวะเศรษฐกิจในอนาคต และเราก็ไม่สามารถมั่นใจในสภาวะต่างประเทศ ที่อาจเป็นปัจจัยภายนอกเชิงบวกที่เข้ามาช่วยเราได้ ซึ่งมันก็อาจจะช่วยเราได้ก็ได้ ถ้าเรามีนโยบายการค้าที่สามารถนำพาประเทศได้ประโยชน์จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ กับจีนและยุโรป แต่ผมก็ยังไม่เห็นโอกาสที่ชัดๆ เหมือนบางประเทศ เช่น อินเดีย รัสเซีย จะได้รับประโยชน์มากขึ้น ถ้าสหรัฐทะเลาะกับจีนหนักๆ หรือญี่ปุ่น ที่น่าจะตกลงกับสหรัฐหรือ ดีลการค้า ได้ในเร็วๆนี้ เพราะเขามีนโยบายในการเป็นประเทศสนับสนุนสหรัฐทุกมิติ แต่ของเราอยู่กลางๆหมดทุกอย่าง และยังทำให้สหรัฐโกรธเรื่องการส่งผู้ลี้ภัยอุยกูร์ให้จีนด้วย และยังไม่สามารถตอบได้ชัดเจนว่าจะจัดการอย่างไรกับจีนที่มาแปลงสัญชาติการผลิตในประเทศไทย เพื่อส่งออกไปสหรัฐ หรือที่อื่นๆ เราเห็นหรือยังว่าสหรัฐจัดการกัมพูชาอย่างไร
แม้ว่านโยบายด้านรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ จะชอบบอกว่าการเป็นกลางจะได้พันธมิตรทุกฝ่าย แต่เราต้องมีจุดแข็งในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่จะสร้างเงินตราเข้ามาประเทศเราให้ได้ ถ้าในประเทศมันซบเซาอย่างรุนแรงใช่ไหมครับ ทุกท่านคงทราบแล้วใช่ไหมครับว่าในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เข้าประเทศเราก็ลดลงอย่างมากมาย ตอนนี้เศรษฐกิจจะไม่แย่ไปกว่านี้มาก ถ้าเรายังสามารถส่งออกสินค้าได้เพิ่มขึ้น รวมถึงมีการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา แต่เราไม่มีจุดขายใดๆที่จะทำให้สหรัฐอยากคุยกับเรา รวมถึงจีนก็ต้องเข้ามาแทรกแซงในทุกเรื่องที่เข้าอยากให้เกิดขึ้นสำเร็จ เห็นได้จากการทลายแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ที่ต้องมีผู้ช่วยรัฐมนตรีของจีน เข้ามาสั่งการในประเทศไทยเอง เรากลัวสหรัฐขึ้นกำแพงภาษี แต่เราหงอกับจีนมากๆ ทั้งนี้เราอยู่บนตัวเราที่ผ่านมาโดยไม่กล้าทำอะไรที่เด็ดขาด ผู้ประกอบการไทยไปลงทุนที่จีน มีแต่ประสบปัญหาการกีดกันด้วยมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี กฎระเบียบมากมาย แต่ผู้ประกอบการจีนมาแย่งส่วนแบ่งตลาดสินค้าในประเทศ แทบจะทุกสาขา ไม่มีสินค้าไทยตัวไหนจะสู้ราคาสินค้าจีนได้
ทุกวันนี้ผู้ประกอบการ SME ได้รับผลกระทบจากผู้ประกอบการจีน ทั้งจีนขาว จีนเทา มาแย่งส่วนแบ่งเศรษฐกิจไปมากๆ ทำไมเราไม่พิจารณาจัดทำ Non-tariff Barriers เพื่อควบคุมจีนให้ดำเนินธุรกิจให้ถูกกฎหมาย และมีต้นทุนที่เหมาะสมกับการแข่งขันบนสภาพเศรษฐกิจแบบไทยๆ ทำไมเราไม่พิจารณาสร้างสมดุลการแข่งขันทางการค้าให้ผู้ประกอบการไทย อย่างเป็นธรรมมากขึ้น มันมีตัวอย่าง Non-tariff Barriers ที่จะปลอดภัยจากการตอบโต้ทางการค้า เพราะเป็นเรื่องการสร้างมาตรฐานคุณภาพสินค้า และสุขภาวะของคนไทย ที่รัฐบาลจะต้องดูแลจริงๆ ไม่มีใครที่จะมาตำหนิเราได้ หากเรามาดำเนินนโยบายปกป้องสิ่งที่ถูกต้องบนแผ่นดินเรา ให้ผู้ประกอบการเราสบายใจ และมีความพร้อมมากกว่านี้ ถ้าผู้ประกอบการเราไม่สบายใจ แล้วใครจะลงทุน
ผมไม่อยากเอาปัญหาเก่าที่วันนี้รัฐบาลคงรู้ตัวแล้วว่าดำเนินการผิดพลาดมาแล้ว คือเรื่องนโยบายไปกระตุ้นกำลังซื้ออย่างโครงการกระเป๋าเงิน หรือชื่อเดิมคือดิจิทัลวอลเล็ต เพราะวันนี้เขาก็บอบช้ำและไปยุติโครงการนี้มาแล้ว แม้ว่าจะอ้างว่าชั่วคราวเพื่อมาแก้ไขสถานการณ์สงครามการค้ากับสหรัฐก่อน แต่ผมมั่นใจว่าโครงการนี้คงไม่เดินหน้าต่อแน่นอน เพราะมันเป็นเรื่องผิดทาง ยังดีที่ยุติไป แต่สิ่งที่ผมกลัวมากกว่าคือ เมื่อยุติไปแล้ว ก็ควรเอาเงินที่เหลือตรงนี้ 157,000 ล้านบาท ไปทำโครงการที่ได้ประโยชน์มากกว่า แต่ปรากฏว่าในคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล กลับไปดำริให้สำนักงบประมาณ ไปคิดค้นโครงการที่จะมากระตุ้นเศรษฐกิจแทนโครงการกระเป๋าเงิน และก็มีข่าวออกมาแล้วว่า โครงการส่วนใหญ่ที่ดำริจะมาทำแทนนั้น ล้วนเป็นโครงการเกี่ยวข้องกับระบบชลประทาน คือเป็นเรื่องน้ำ เป็นเรื่องการพัฒนาแหล่งน้ำ ถามว่าเป็นโครงการที่มีประโยชน์ไหม ผมตอบได้ทันทีว่า มี แต่…
ปัญหาใหญ่ระยะสั้นของเศรษฐกิจตอนนี้ คือ เศรษฐกิจถดถอยอย่างรวดเร็ว ขาดเม็ดเงินมาหมุนในระบบ เพราะไม่มีคนลงทุน ที่เศรษฐกิจยังเติบโตเป็นบวกได้ก็ล้วนมาจากการบริโภคที่ยังโตประมาณ 2 % แต่ที่โตไปกว่านี้ไม่ได้ เพราะไม่มีการลงทุนเกิดขึ้นเลย และส่วนต่างการส่งออกกับนำเข้ามันน้อยมาก เราต้องเน้นเรื่องการลงทุนของภาคเอกชน ให้เกิดขึ้นให้ได้ มากกว่าไปทำโครงการน้ำแบบโครงการย่อยๆจำนวนมาก ซึ่งจะได้ประโยชน์ในเรื่องการจ้างงานเป็นสำคัญ และได้ประโยชน์เรื่องการลดต้นทุนการผลิตในระบบเศรษฐกิจในระยะกลาง-ยาว ไม่ใช่เรื่องฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้กับระบบเศรษฐกิจในตอนนี้ มันก็จะคล้ายๆโครงการมิยาซาวา ในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่ทำโครงการน้ำจำนวนมาก เพราะจะเน้นเรื่องการจ้างงานในส่วนภูมิภาค
ผมว่าปัญหาของเรา คือ เราไม่สามารถดึงดูดทุนใหญ่เข้ามาในประเทศได้ มีมาบ้าง ไม่ใช่ไม่มีเลย แต่มันน้อย เราไม่ได้ต่อยอดระบบนิเวศทางเศรษฐกิจเพื่อรองรับอุตสาหกรรมไฮเทค ทั้งๆที่ประเทศไทยมีปูมหลังเรื่องการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ การพัฒนา EEC แต่เรากลับไปเห็นมาเลเซียมาพัฒนาเรื่องพวกนี้มากจนเป็นแผนแม่บทของประเทศ ทั้งๆที่เดิม เรามีภาษีตรงนี้มากกว่ามาเลเซีย แต่เราไม่ทำ เราเลือกไปทำโครงการเสมือนการประคับประคองอาการทางเศรษฐกิจที่เครื่องยนต์การบริโภค ชอบเน้นที่ภาคการบริโภคมากจริงๆ ทั้งๆที่หากมีการลงทุนมากมาย มันก็จะเกิดการบริโภคอย่างมโหฬารตามมาเอง เราควรปรับเปลี่ยนแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจจากที่อุปสงค์ มาที่อุปทาน คือเราต้องเปิดกว้างให้เกิดการผลิตที่สามารถขายได้ และขายได้ราคา เป็นที่ต้องการของตลาดโลก ถามว่ามีอะไรบ้าง สภาอุตสาหกรรมเขามีข้อมูลเสนอรัฐบาลไปหมดแล้ว ใช่ไหมครับ
กลับมาที่เรื่องผู้ประกอบการไทยที่โดนหนัก พรรคแกนนำรัฐบาลเคยหาเสียงไว้หลายครั้งว่าจะสนับสนุนผู้ประกอบการไทย และผู้ประกอบอาชีพอิสระในการเข้าถือระบบค้าขายออนไลน์ที่เป็นของไทยเอง นี่ก็ผ่านมาสามปีแล้ว ยังไม่เห็น ท่านทราบใช่ไหมว่าพวก Lazada Shoppee เขาก็ค่าต๋งแพงมาก และขึ้นอัตราส่วนแบ่งมาอีก ทำไมเราไม่ทำเรื่องนี้เพื่อลดค่าต๋งการค้าออนไลน์ พร้อมกับการดึงการค้าออนไลน์เข้าระบบฐานภาษีของรัฐไปด้วยในตัว และควบคู่ไปกับการสร้างสมดุลการแข่งขันการค้าภายในประเทศ ที่เป็นธรรมมากขึ้น เราอาจจะใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองทางการค้ากับสหรัฐได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้
ผมพูดหรือเขียนไป มันก็คงไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ให้ภาพกับผู้อ่านว่า อาการทางเศรษฐกิจต่อไป ผู้บริหารเขาให้ยาคือการประคับประคอง ถ้าเศรษฐกิจระหว่างประเทศมันเดินหน้าแย่ลงกว่านี้ เช่นกรณีการกีดกันด้วยกำแพงภาษีที่สรุปใหม่กับมหาอำนาจทั่วโลก ทำให้การค้าหดตัวลงมากกว่าคาด และเราส่งออกไปจีน อาเซียน และสหรัฐ ได้น้อยลง เพราะเขาไปเลือกประเทศพันธมิตรอื่นๆมากกว่า หรือเพราะเราสู้ราคาเข้าไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ปกป้องผู้ประกอบการของเราเพียงพอ ตัวเลขเศรษฐกิจของเราอาจเข้าใกล้ ศูนย์ ในอนาคต
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.banmuang.co.th/news/politic/430943&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw07vGpuziQgO8CqvF7n9g2Y