สัญญาณเตือนเศรษฐกิจไทย เตรียมรับมือสู้พายุลูกใหญ่! | เดลินิวส์

สัญญาณเตือนเศรษฐกิจไทย-เตรียมรับมือสู้พายุลูกใหญ่!-|-เดลินิวส์
สัญญาณเตือนเศรษฐกิจไทย เตรียมรับมือสู้พายุลูกใหญ่! | เดลินิวส์

ในช่วงปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหลาย ทั้งจากปัจจัยภายนอก เช่น ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงทั่วโลก ตลอดจนปัจจัยภายในประเทศ เช่น ปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนทางการเมือง และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ยังไม่เต็มศักยภาพ แม้สถานการณ์จะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในบางด้าน แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่อาจกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้นถึงกลาง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางความไม่แน่นอนของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และสงครามการค้าสหรัฐที่ยังคงกดดันการค้าโลก แม้ล่าสุดจีนกับสหรัฐได้มีการเจรจาการค้าที่ถือว่ามีแนวโน้มคลี่คลาย แต่ในประเทศคู่ค้าต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศไทยที่ยังไม่สามารถเจรจากับสหรัฐหาข้อตกลงที่อาจทำให้การค้าของไทยเป็นอุปสรรคได้ โดยเศรษฐกิจไทยหลังจากนี้คงต้องพึ่งนโยบายการเงินและนโยบายการคลังเป็นสำคัญ

เศรษฐกิจชะลอ

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ ประเมินภาพเศรษฐกิจหากการเจรจาทางการค้ามีความยืดเยื้อและภาษีนำเข้าของสหรัฐ ใกล้เคียงกับอัตราปัจจุบัน อาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 68 ขยายตัว 2% และในปี 69 จะขยายตัว 1.8% แต่หากสงครามการค้ารุนแรงมากและภาษีนำเข้าของสหรัฐ อยู่ในอัตราที่สูง อาจทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 68 ขยายตัว 1.3% และในปี 69 ขยายตัว 1%

ไม่เพียงแค่ ธปท. แต่ล่าสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 68 คาดว่าจะขยายตัว 1.3-2.3% หรือเพียง 1.8% จากเดิมคาด 2.3-3.3% หรือ 2.8% นั่นเท่ากับว่าจีดีพีไทยหายไปจากคาดการณ์ครั้งก่อนถึง 1% สาเหตุหลักมาจากผลกระทบของกำแพงภาษีสหรัฐ ที่กระทบในหลายภาคส่วน

ปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยปี 68 มีหลายด้านหลัก ๆ คือ ข้อจำกัดจากภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง, เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี 68 ตามแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก และผลกระทบจากการดำเนินมาตรการทางการค้าของสหรัฐ รวมทั้งความเสี่ยงจากความผันผวนในภาคเกษตร

เตือนเตรียมรับมือ

ดนุชา พิชยนันท์” เลขาฯ สศช. ออกโรงเตือนประชาชนและผู้ประกอบธุรกิจ ให้ระแวดระวังในช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนเหมือนกับเวลานี้ แม้ว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกยังไม่ได้รับผลกระทบมาก แต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะผลกระทบการค้าโลกจากกำแพงภาษีจะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ปีนี้เป็นต้นไป จึงขอให้ผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจ เตรียมตัวรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้น และประชาชนให้เตรียมความพร้อมเรื่องการใช้จ่ายประจำวัน คงต้องรอบคอบมากขึ้น เพื่อทำให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้

ในขณะที่ “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการ ธปท. ได้ออกมาฉายภาพเศรษฐกิจไทยหลังจากนี้อาจเจอกับพายุลูกใหญ่ จากสาเหตุหลักผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐ ซึ่งอาจใช้เวลานาน และไม่จบเร็ว เนื่องจากการเจรจาการค้าครั้งนี้ต้องใช้เวลาพอสมควร โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยจะหนักครึ่งหลังของปีนี้ และจุดต่ำสุดไม่เร็วกว่าไตรมาส 4 และ “พายุ” จะใช้เวลาไม่ได้จบเร็ว

ผลกระทบการค้า

ผลกระทบจากสงครามการค้า คือ ผู้ส่งออกสินค้าไปสหรัฐ ถูกกระทบมาตรการภาษี เช่น กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ยางล้อ อาหารแปรรูป เครื่องจักร และสิ่งที่ ธปท.กังวลมากที่สุดคือ กลุ่มสินค้านำเข้าที่จะทะลักมาในไทย เพราะประเทศที่ไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐได้ ก็จะเข้ามาในไทยสูง ทำให้กระทบหลายธุรกิจ ทั้งภาคการผลิต ภาคบริการ จึงจำเป็นต้องปรับตัว อยู่อย่างสง่างามหลังพายุ

โจทย์นโยบายคือการรับมือทำอย่างไร ซึ่งต้องทำให้เบาลง อย่าให้ลึกมาก และช่วยเอื้อการปรับตัวอย่างไร สามารถเติบโตได้ในระดับที่ดีกว่าเดิมได้ ปรับช่วงทรานซิชัน เติบโตระยะยาวมาตรการเอื้อไปในทางนั้น มาตรการที่ต้องออกไม่ควรปูพรม เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นค่อนข้างแตกต่างมาก

แนวทางนโยบาย

แนวทางบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในปี 68 จากสภาพัฒน์มีอยู่ 6 ด้านสำคัญ คือ เรื่องแรกการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้เงินรายจ่ายภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนไม่ให้ต่ำกว่า 70% ของกรอบงบลงทุนรวม ควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพทางการคลัง

เรื่องที่ 2 การดำเนินการเพื่อรองรับการยกระดับมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศสำคัญ ทั้งการเร่งรัดการเจรจาเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนกับสหรัฐ, การเร่งรัดการส่งเสริมการส่งออกสินค้าที่ไทยยังมีศักยภาพ ควบคู่ไปกับการขยายตลาดใหม่, การส่งเสริมการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มโอกาสของสินค้าไทยในตลาดโลก รวมถึงการทบทวนสิทธิประโยชน์เพื่อดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย, การส่งเสริมให้ภาคธุรกิจบริหารจัดการความเสี่ยง จากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนควบคู่ไปกับการอำนวยความสะดวกและลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกและการเตรียมมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประกอบการ และแรงงานที่ได้รับผลกระทบ

เรื่องที่ 3 การปกป้องภาคการผลิตจากการทุ่มตลาดและการใช้นโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรม ในการปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบคุณภาพสินค้านำเข้า, การดำเนินการอย่างเคร่งครัดกับผู้กระทำความผิดลักลอบนำเข้าสินค้า, การตรวจสอบและเฝ้าระวังการทุ่มตลาด และมาตรการทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม

เรื่องที่ 4 การช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอีที่ประสบปัญหาด้านการเข้าถึงสภาพคล่อง ควบคู่ไปกับการสร้างความตระหนักรู้ถึงมาตรการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ ส่วนเรื่องที่ 5 การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร โดยเตรียมมาตรการรองรับผลผลิตที่จะออกสู่ตลาด ควบคู่ไปกับการลงทุนด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เรื่องที่ 6 การสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยให้ความสำคัญกับการสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวอย่างจริงจัง รวมถึงการเตรียมความพร้อมของปัจจัยแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญ

โยกงบตัดเงินดิจิทัล

สิ่งที่แน่นอนแล้ว การแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทของรัฐบาลต้องชะลอออกไปเพื่อนำเงิน 1.57 แสนล้านบาท ไปใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นตามคำแนะนำของสภาพัฒน์ และ ธปท. โดยรัฐบาลได้วางไว้ 4 โครงการหลัก ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐาน โครงการท่องเที่ยว โครงการลดผลกระทบภาคการส่งออก เพิ่มผลิตภาพ และเศรษฐกิจชุมชนและอื่น ๆ

จากความไม่แน่นอนสูงจากสงครามการค้าสหรัฐ ที่ไทยยังไม่อาจหาทางเจรจาข้อตกลงทางการค้าได้ ทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบการค้ากับไทยนั้นสูงมาก จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าภาคเอกชนก็ต้องหาทางรับมือตรงนี้ให้ดี ขณะที่ประชาชนคนไทยก็ต้องรับผลกระทบเข้าไปเต็ม ๆ หากยังนิ่งเฉย อาจเจ็บตัวได้ เพราะพายุลูกใหญ่กำลังจะมา และมีโอกาสยืดเยื้อไม่จบในเร็ววัน.

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.dailynews.co.th/articles/4743880/&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw3TLACoXQrUnVospaKlO0Sw

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *