พระบรมฉายาลักษณ์

ที่มาของภาพ, Getty Images

ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยประชุมวิสามัญ ระหว่างวันที่ 28-31 พ.ค. เตรียมพิจารณาร่างกฎหมายรวม 5 ฉบับ หนึ่งในจำนวนนี้คือ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ซึ่งเสนอโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.)

สาระสำคัญของร่างกฎหมายฉบับใหม่นี้ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561 เพื่อเปลี่ยนชื่อ “สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” เป็น “สำนักงานพระคลังข้างที่” และโอนกิจการของสำนักพระราชวังเฉพาะส่วนของงานพระคลังข้างที่ไปเป็นของสำนักงานพระคลังข้างที่

การเปลี่ยนชื่อหน่วยงานนี้จะถือเป็นครั้งที่ 2 ภายใต้รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังก่อนหน้านี้เมื่อปี 2561 เคยมีการแก้ไขกฎหมายจัดระเบียบทรัพย์สินฯ โดยมีการเปลี่ยนชื่อ “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” เป็น “สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” มาแล้วครั้งหนึ่ง

นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม ในฐานะตัวแทนคณะกรรมการประสานงานของคณะรัฐมนตรี หรือวิป ครม. เปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า รัฐบาลได้ส่งร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ให้สภาผู้แทนราษฎรแล้ว เพื่อบรรจุลงระเบียบวาระการประชุมสภาสมัยวิสามัญ ซึ่งจะพิจารณาในวันแรก (28 พ.ค.) โดยมีนายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำเสนอหลักการของร่างกฎหมายต่อที่ประชุม

“ตอนพิจารณาร่าง พ.ร.บ. นี้ในชั้น ครม. ยังเป็นความลับ แต่พอร่างไปถึงสภาแล้ว ก็จะเป็นการพิจารณาโดยปกติ ซึ่งสังคมจะได้เห็นเนื้อหาสาระของตัวร่าง” วิป ครม. ของรัฐบาล “แพทองธาร” กล่าว

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and continue reading

ได้รับความนิยมสูงสุด

  • A giant dinosaur toe bone on the banks of a steep rocky river verge in Canada.

  • พระบรมฉายาลักษณ์

  • Guests throwing confetti over bride and groom as they walk past after their wedding ceremony.

  • Woman starring at the mirror

End of ได้รับความนิยมสูงสุด

สำหรับร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ มีเนื้อหารวม 6 มาตรา โดยระบุเหตุผลความจำเป็นในการตรา พ.ร.บ. นี้เอาไว้ว่า

“โดยที่พระคลังข้างที่เป็นหน่วยงานที่มีภาระหน้าที่ในการดูแลจัดการพระราชทรัพย์ของพระมหากษัตริย์มาแต่โบราณกาล ซึ่งต่อมาได้มีการจัดตั้งสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เพื่อทำหน้าที่แทน เพื่อเป็นการสืบทอดประวัติความเป็นมาให้สอดคล้องกับโบราณราชประเพณี จึงสมควรเปลี่ยนชื่อสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เป็นสำนักงานพระคลังข้างที่ และสมควรรวมกิจการของสำนักพระราชวังเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสำนักงานพระคลังข้างที่เดิมเข้ามาบริหารจัดการโดยสำนักงานพระคลังข้างที่ตามพระราชบัญญัตินี้”

ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ 21 พ.ค. 2568 ระบุว่า ร. 10 ทรงเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ของ SCB ในสัดส่วน 23.58%

ที่มาของภาพ, Bloomberg/Getty Images

คำบรรยายภาพ, ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ 21 พ.ค. 2568 ระบุว่า ร. 10 ทรงเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ของ SCB ในสัดส่วน 23.58%

สาระสำคัญ

บีบีซีไทยขอสรุปสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ฉบับใหม่ เอาไว้ดังนี้

  • เปลี่ยนชื่อ “สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” เป็น “สำนักงานพระคลังข้างที่”
  • แก้ไขถ้อยคำอื่นที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกัน ประกอบด้วย แก้ไขคำว่า “คณะกรรมการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” เป็น “คณะกรรมการพระคลังข้างที่”, แก้ไขคำว่า “กรรมการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” เป็น “กรรมการพระคลังข้างที่”, แก้ไขคำว่า “ผู้อำนวยการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” เป็น “ผู้อำนวยการพระคลังข้างที่”
  • กำหนดให้บรรดากิจการทั้งปวงของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เป็นกิจการของสำนักงานพระคลังข้างที่
  • บทบัญญัติแห่งกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ คำสั่ง รวมตลอดถึงเอกสารที่เกี่ยวกับนิติกรรมหรือสัญญา หรือเอกสารแสดงสิทธิ หน้าที่ และความผูกพันใด ๆ ที่อ้างถึงสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ให้ถือว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นอ้างถึงและหมายถึงสำนักงานพระคลังข้างที่
  • กำหนดให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ และภาระผูกพันของสำนักพระราชวังเฉพาะส่วนของสำนักงานพระคลังข้างที่ ไปเป็นของสำนักงานพระคลังข้างที่ ทั้งนี้ ตามที่เลขาธิการพระราชวังกำหนด
  • กำหนดให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตาม พ.ร.บ. นี้

ความเป็นมาในการแก้กฎหมาย

สำหรับความเป็นมาในการเสนอร่างกฎหมายฉบับนี้ ครม. มีมติเมื่อ 13 พ.ค. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) รับร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ไปดำเนินการ ตรวจพิจารณาร่างให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.หลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 และเสนอ ครม. พิจารณาอีกครั้ง

รัฐบาลระบุว่า “ร่าง พ.ร.บ. นี้มิได้มีผลกระทบต่อประชาชน กรณีจึงได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” ได้แก่ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) จำนวน 1 ครั้ง ในการประชุมคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) เมื่อ 14 พ.ค. ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว

ในการประชุมคณะกรรมการประสานงาน (วิป) 3 ฝ่าย วันที่ 21 พ.ค. ประกอบด้วย วิปรัฐบาล วิปฝ่ายค้าน และวิป ครม. จึงมีมติให้พิจารณาร่าง พ.ร.บ. นี้ในการประชุมสภาสมัยวิสามัญ 28 พ.ค.

ทำความรู้จัก “พระคลังข้างที่”

Crown Property Bureau;

ที่มาของภาพ, Crown Property Bureau

พระคลังข้างที่ (Privy Purse Bureau) เป็น “ชื่อเก่า” และเป็น “รากฐาน” ของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในปัจจุบันนั่นเอง

เว็บไซต์สำนักงานทรัพย์สินฯ ได้ลำดับความเป็นมาขององค์กร สรุปใจความสำคัญได้ว่า การบริหารจัดการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับการปกครองในระบอบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีวิวัฒนาการเคียงคู่กับประวัติศาสตร์ชาติไทย นับตั้งแต่สมัยที่ไทยยังปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ทรัพย์สินในราชอาณาจักรเป็นของพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงอยู่ในฐานะ “พระเจ้าแผ่นดิน” แต่เพียงพระองค์เดียว อย่างไรก็ตามพระมหากษัตริย์ได้ทรงพยายามแยกพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ออกจากทรัพย์สินของแผ่นดิน

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) การค้าขายกับต่างประเทศเจริญก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก จึงได้ทรงเก็บสะสมกำไรที่ได้จากการค้าสำเภาซึ่งเป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ไว้ในถุงผ้าสีแดงซึ่งเรียกกันว่า “เงินถุงแดง” ไว้ข้างพระแท่นที่บรรทม เรียกว่า “เงินข้างที่” ซึ่งต่อมามีจำนวนมากขึ้นก็เก็บไว้ในห้องข้าง ๆ ที่บรรทม จึงเรียกว่า “คลังข้างที่” โดยได้พระราชทานให้ไว้เป็นทุนสำรองให้แก่แผ่นดินสำหรับใช้ในยามบ้านเมืองเกิดภาวะคับขัน

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้เกิดเหตุวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2426) ที่สยามเกิดกรณีพิพาทกับฝรั่งเศส จึงได้นำเงินถุงแดงมาสมทบเพื่อเป็นการชดใช้ค่าเสียหายและค่าประกันแก่ฝรั่งเศส จนสามารถรักษาเอกราชอธิปไตยของชาติไว้ได้

ในช่วงนั้นเป็นยุคแห่งการปฏิรูปและการพัฒนาประเทศ ร. 5 โปรดเกล้าฯ ให้มีการปฏิรูประบบการคลังใหม่และมีการจัดทำงบประมาณแผ่นดินเป็นครั้งแรก เพื่อให้รายรับและรายจ่ายของแผ่นดินมีระเบียบแบบแผน โดยมีการแยกพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ออกจากทรัพย์สินของแผ่นดินอย่างเด็ดขาด ทรงมอบหมายให้ “กรมพระคลังข้างที่” เป็นผู้จัดการดูแลพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์

เมื่อรายได้ของแผ่นดินมากขึ้นอันเนื่องมาจากการปฏิรูปทางการเงิน ในปี 2433 มีการจัดตั้งกระทรวงการคลังขึ้นมาเป็นครั้งแรก ส่งผลให้จำนวนเงินที่ได้รับการจัดสรรของกรมพระคลังข้างที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน

ในช่วงแรก รายได้ของกรมพระคลังข้างที่นำไปเป็นค่าใช้จ่ายส่วนพระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์, บำรุงรักษาพระราชวัง, ค่าใช้จ่ายในการเสด็จไปทรงศึกษาต่อยังต่างประเทศของพระราชโอรสเป็นหลัก เมื่อรายได้เพิ่มมากขึ้นจึงมีเงินเหลือจ่ายจากค่าใช้จ่ายดังกล่าว จึงริเริ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของประชาชนและให้โอกาสในการทำการค้าขาย รวมถึงสร้างตลาดในเมืองสำคัญในต่างจังหวัด เพื่อนำค่าบำรุงตลาดไปใช้ในการพัฒนาระบบสุขาภิบาลและสาธารณูปโภคพื้นฐานในเขตศูนย์กลางเมืองใหม่เหล่านี้ ควบคู่พร้อมไปกับการตัดถนนของกระทรวงโยธาธิการ

ในปี 2480 มีการเปลี่ยนชื่อ “กรมพระคลังข้างที่” เป็น “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” ตามความใน พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479

จากนั้นมีการปรับปรุงแก้ไขและยกเลิกกฎหมายจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์อีกหลายครั้ง เพื่อให้เกิดความเหมาะสม ในปี 2484 และปี 2491

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร. 10) มีการปรับปรุงกฎหมายจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์เมื่อปี 2560 ซึ่งเป็นการแก้ไขกฎหมายนี้ในรอบ 69 ปี ก่อนที่ปีต่อมา จะมีการเปลี่ยนชื่อหน่วยงานจาก “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” เป็น “สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” ตามความใน พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561

ปัจจุบันสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ มีฐานะเป็นนิติบุคคล เป็นหน่วยงานในพระมหากษัตริย์ มีหน้าที่จัดการ ดูแลรักษา จัดหาผลประโยชน์ และดำเนินการอื่นใดอันเกี่ยวกับทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ตามที่จะทรงมอบหมาย

ส่วนคณะกรรมการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ มี พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สุขวิมล เป็นประธานกรรมการและผู้อำนวยการ และมีกรรมการอื่นอีก 8 คน