หลังการเปิดประเทศในช่วงต้นปี 2568 ภาคการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งเคยเป็นเสาหลักในการพยุงเศรษฐกิจกลับต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่อย่างคาดไม่ถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหายไปของนักท่องเที่ยวจีนในระดับที่น่าตกใจ
จากเดิมที่เคยคาดหวังว่ากลุ่มนี้ จะเป็นแรงส่งสำคัญของเศรษฐกิจไทยเหมือนในช่วงก่อนและหลังโควิด-19 กลับกลายเป็นว่า จำนวนเฉลี่ยต่อเดือนลดฮวบลงเกือบครึ่งจากช่วงปลายปี 2567
KKP Research วิเคราะห์ว่า สถานการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องชั่วคราว หากแต่มีรากเหง้าอยู่ในโครงสร้างทางเศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคของจีนที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมเสนอแนวทางเชิงรุกที่ประเทศไทยควรหันไปให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวจากยุโรปและอินเดียมากขึ้น
นักท่องเที่ยวจีนหายไปไหน?
ในช่วงก่อนโควิด-19 ประเทศไทยเคยต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนเฉลี่ยเดือนละกว่า 560,000 คน แต่หลังตรุษจีนเดือนมกราคม 2025 ตัวเลขดังกล่าวกลับลดลงเหลือไม่ถึง 300,000 คนต่อเดือน หรือเพียง 30% ของช่วงก่อนวิกฤติโควิด ซึ่งนับเป็นการหดตัวที่รุนแรงและรวดเร็วจนสร้างความกังวลในภาคธุรกิจท่องเที่ยว
KKP Research ชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยที่ทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนลดลงอย่างมีนัยสำคัญเกิดจากทั้งปัจจัยเชิงโครงสร้าง (Structural) และปัจจัยชั่วคราว (Cyclical) ที่ผสมผสานกัน โดยมี 3 ข้อสังเกตสำคัญที่สะท้อนถึงแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงนี้
หนึ่ง : จีนหันมาเที่ยวในประเทศ-เปลี่ยนพฤติกรรมท่องเที่ยว
จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางออกนอกประเทศยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ โดยอยู่ที่เพียง 86.5% ของปี 2019 ขณะที่การท่องเที่ยวภายในประเทศฟื้นตัวถึง 93.6% ซึ่งสะท้อนว่า รัฐบาลจีนกำลังผลักดันให้คนจีนใช้จ่ายในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน
ในขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวจีนที่ยังเดินทางออกนอกประเทศเริ่มหันมาเที่ยวด้วยตนเองหรือ Free Individual Traveler (FIT) มากขึ้น จากเดิมที่ไทยเคยพึ่งพานักท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์เป็นสัดส่วนสูงถึง 40% แต่เมื่อจีนกลับมาเปิดประเทศ กลับพบว่ากรุ๊ปทัวร์เหลือเพียง 20% เท่านั้น
FIT เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูงกว่าและให้ความสำคัญกับประสบการณ์การท่องเที่ยวมากกว่าแค่ “ราคา” ทำให้รูปแบบการดึงดูดนักท่องเที่ยวแบบเดิม เช่น การลดราคา หรือแพ็กเกจทัวร์ราคาถูก ไม่สามารถตอบโจทย์ได้อีกต่อไป
สอง: ภาพลักษณ์เรื่องความปลอดภัยไทยตกต่ำ
เหตุการณ์การลักพาตัวดาราจีน ปัญหาธุรกิจสีเทา และภัยพิบัติอย่างแผ่นดินไหว ล้วนมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยของประเทศไทยในสายตานักท่องเที่ยวจีน โดยจากผลสำรวจของ Dragon Trail International พบว่า มากกว่าครึ่งของนักท่องเที่ยวจีนมองว่าไทยไม่ปลอดภัย เพิ่มขึ้นจาก 38% ในปี 2024
แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะลดลง แต่ข้อมูลเที่ยวบินจากจีนไปยังประเทศอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม และมาเลเซีย กลับเพิ่มขึ้น สะท้อนว่าประเทศเหล่านี้ยังคงรักษาความน่าสนใจไว้ได้ ขณะที่ไทยกำลังเผชิญกับภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยที่เสื่อมถอย
ผลสำรวจยังระบุด้วยว่า สิ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนรู้สึกปลอดภัยมากที่สุดไม่ใช่ทัวร์หรือไกด์ แต่คือ “ความเชื่อมั่น” ที่มาจากการประเมินความเสี่ยงจากรัฐบาลจีน มาตรการของรัฐในพื้นที่ปลายทาง และเสียงสะท้อนทางบวกจากเพื่อน ครอบครัว และโซเชียลมีเดีย
สาม: ไม่ใช่เรื่องชั่วคราว ต้องปรับเกมให้ทัน
KKP Research สรุปว่าการที่นักท่องเที่ยวจีนลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพียงการสะดุดชั่วคราว แต่เป็นผลจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างต่อเนื่องในการแก้ไข โดยเฉพาะเรื่อง “ความปลอดภัย” ซึ่งไม่สามารถสร้างคืนได้ในระยะสั้น
การจะดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมา ต้องอาศัยการฟื้นฟูความเชื่อมั่น และการปรับโครงสร้างการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับพฤติกรรม FIT ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ การบริการ และความปลอดภัยเป็นอันดับแรก
เปิดเกมใหม่ รุกตลาดยุโรป-อินเดีย
ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ KKP Research แนะนำให้ประเทศไทยไม่ควรรอการกลับมาของจีนเพียงอย่างเดียว แต่ควรหันมาให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวจากยุโรปและอินเดีย ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง
ข้อมูลในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2025 พบว่านักท่องเที่ยวจากสองภูมิภาคนี้ฟื้นตัวได้ถึง 120% ของช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 และคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดในปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ฤดูกาลท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวยุโรปและอินเดียยังสามารถช่วยถ่วงดุลได้ โดยยุโรปนิยมเที่ยวไทยในช่วงปลายปี ขณะที่อินเดียมักเดินทางมาในช่วงกลางปี ซึ่งเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของไทย
พฤติกรรมต่าง ต้องนโยบายที่ต่าง
การรุกตลาดใหม่จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ที่ตอบสนองพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวอย่างเหมาะสม โดยนักท่องเที่ยวยุโรปมักนิยมท่องเที่ยวในภาคใต้ เช่น ภูเก็ต กระบี่ หรือเกาะสมุย และให้ความสำคัญกับสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ อาหารพื้นเมือง และ Street Food
ขณะที่นักท่องเที่ยวอินเดียซึ่งมีความคล้ายกับนักท่องเที่ยวจีนในแง่พื้นที่เป้าหมาย เช่น กรุงเทพฯ และพัทยา จะให้ความสำคัญกับกิจกรรมยามค่ำคืน การนวด สปา และการชอปปิ้งสินค้าแฟชั่นมากกว่า
สร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคต
ภาครัฐจึงควรวางแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและส่งเสริมธุรกิจที่ตรงกับความต้องการของนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่อย่างเป็นระบบ เช่น การปรับปรุงมาตรฐานที่พัก การยกระดับความปลอดภัย การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้ตอบโจทย์ความสนใจเฉพาะกลุ่ม และการสร้างประสบการณ์เชิงคุณภาพมากกว่าการแข่งขันด้านราคา
บทสรุป
การหายไปของนักท่องเที่ยวจีนไม่ใช่แค่ตัวเลขที่ลดลงในเชิงสถิติ แต่คือสัญญาณเตือนให้ไทยเร่งปรับโครงสร้างการท่องเที่ยวใหม่ให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงในระดับโลก การหันมาให้ความสำคัญกับตลาดยุโรปและอินเดียคือแนวทางที่ไม่เพียงช่วยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ แต่ยังช่วยลดการพึ่งพาตลาดเดียวมากเกินไปในระยะยาว
นโยบายท่องเที่ยวไทยจึงต้องเปลี่ยนจาก “รอให้มา” เป็น “สร้างเหตุผลให้มา” ด้วยการฟังเสียงของนักท่องเที่ยวยุคใหม่และลงมือปรับทั้งระบบอย่างจริงจังในวันนี้ ก่อนที่การแข่งขันในภูมิภาคจะทิ้งไทยไว้ข้างหลัง
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thansettakij.com/business/tourism/628472&ct=ga&cd=CAIyHGRmMjMzNDMzN2E0NjM2ZDg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw0Zvrz4K7a-0KUxNdEdI8A5