ททท.ญี่ปุ่น พลิกกลยุทธ์ดัน 1.2 ล้านคนเที่ยวไทย ปรับฐานจากสูงวัย สู่คนรุ่นใหม่

ทททญี่ปุ่น-พลิกกลยุทธ์ดัน-1.2-ล้านคนเที่ยวไทย-ปรับฐานจากสูงวัย-สู่คนรุ่นใหม่
ททท.ญี่ปุ่น พลิกกลยุทธ์ดัน 1.2 ล้านคนเที่ยวไทย ปรับฐานจากสูงวัย สู่คนรุ่นใหม่

ททท.ตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเที่ยวไทย 1.2 ล้านคน

ในปีที่ผ่านมานักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเดินทางมาเที่ยวไทย กลับมาทะลุ 1 ล้านคนเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี นับจากเกิดโควิด-19 ทำให้ในปี 2568 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงตั้งเป้าดึงญี่ปุ่นเที่ยวไทย 1.2 ล้านคน เพิ่มขึ้น 20%

รวมถึงการปรับกลยุทธ ปรับฐานนักท่องเที่ยวเจาะกลุ่มรุ่นใหม่เข้าไทย  จากเดิมที่ในอดีตส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้สูงอายุเป็นหลัก ซึ่งททท.สำนักงานต่างๆในญี่ปุ่นจะมีกลยุทธอย่างไร “ฐานเศรษฐกิจ”ได้จับประเด็นมานำเสนอ

ขจรเดช อภิชาติตรากุล

โตเกียวรุกคนรุ่นใหม่ ผ่านการ์ตูน ต่อยอดโดราเอม่อนเที่ยวไทย บอยเลิฟ

นายขจรเดช อภิชาติตรากุล ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท.สำนักงานโตเกียว กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมานักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเดินทางมาเที่ยวไทย 1.05 ล้านคน ถือว่าเกินเป้าที่คิดไว้มาก เพราะเรามองว่าอย่างมากน่าจะอยู่ที่ 8.7 แสนคน แต่ได้ทะลุ 1 ล้านคน ไม่ใช่เรื่องง่าย ภายใต้สถานการณ์เงินเยนอ่อนค่ากว่า 30% เทียบกับก่อนโควิด 32 บาท ต่อ 100 เยน ตอนนี้ 22 บาท ต่อ 100 เยน นั่นหมายถึงคนญี่ปุ่นมาเที่ยวไทยจะต้องจ่ายแพงขึ้น 30% จากก่อนโควิด แต่เราก็ยังสามารถที่จะทำให้ญี่ปุ่นยืนเหนือ 1 ล้านคนได้ 

ปีนี้ททท.ตั้งเป้าหมายถึงนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเที่ยวไทย 1.2 ล้านคน เพิ่มจากปีที่แล้วอีก 2 แสนคน โดยในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้เติบโต 16 % ซึ่งก็ถือว่าเข้าใกล้เป้าที่เรามองไว้ 20% แต่พอเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ตัวเลขเดือนเม.ย.จริงๆควรจะดีขึ้นราว 15-16% เหมือนกัน แต่ปรากฏนักท่องเที่ยวลดลง 8% และเดือนพ.ค.ก็คาดว่าน่าจะลดลงไปราว 5-8% จากตัวเลขที่ลดลง เป็นเพราะคนญี่ปุ่นไม่ได้กลัวกับเรื่องแผ่นดินไหว แต่กลัวการบริหารจัดการแผ่นดินไหวในประเทศไทย เพราะประเทศไทยไม่ได้เกิดบ่อย 

นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเที่ยวไทย

แต่ทั้งนี้เราก็พร้อมรับมือทันที โดยร่วมกับกทม. แจ้งยืนยันมาตรฐานความปลอดภัยของอาคารสำคัญต่างๆ ว่าอาคารไหนผ่านการตรวจสอบมาตรฐานหลังแผ่นดินไหวแล้ว เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว แต่ตัวเลขก็ยังลดเพราะกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นตลาดหลักของไทยก็ยังไม่มั่นใจ แต่คนกลุ่มอื่นที่เป็นเด็ก เป็นครอบครัว หรือเป็นคนทำงาน เขาไม่ได้กลัว 

แม้ช่วงนี้นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นอาจจะลดลงไป แต่ก็คาดว่าจะมีการฟื้นอีกครั้งในเดือนก.ค.-ส.ค.ซึ่งมีปัจจัยบวกจากการปิดเทอมฤดูร้อนและเทศกาลโอบ้ง (เทศกาลเชงเม้งของญี่ปุ่น) ซึ่งจะมีช่วงวันหยุดยาวประมาณ 10 วัน และไทยติดอันดับ 1-2 อันดับประเทศที่คนญี่ปุ่นตั้งใจจะเดินทางออกไปเที่ยว ต่อด้วยเดือนก.ย.-ธ.ค.ก็ถือว่าเป็นช่วงพีคซีซัน

ดังนั้นททท.ก็ยังคงมองว่าเป้าหมาย 1.2 ล้านคนมีความเป็นไปได้ ซึ่งกว่า 65 % ของนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่เดินทางเข้าไทย หรือราว 7 แสนคนจะมาจากโตเกียว ส่วนอีก 5 แสนคนที่เหลือก็จะกระจายกันไปผ่านการทำตลาดของททท.สำนักงานต่างๆในญี่ปุ่น อาทิ โอซาก้า ฟูกูโอกะ  

ล่าสุดททท.ได้จัดโรดโชว์ใน 3 เมืองหลัก ทั้ง โตเกียว นาโกยา ฟูกูโอกะ โดยนำผู้ประกอบการไทยเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 26 – 30 พ.ค.ที่ผ่านมา ก็ถือว่าประสบความสำเร็จและได้รับความสนใจมากจากผู้ประกอบการทั้งสองประเทศ 

ททท.ญี่ปุ่น พลิกกลยุทธ์ดัน 1.2 ล้านคนเที่ยวไทย ปรับฐานจากสูงวัย สู่คนรุ่นใหม่

โฟกัส 3 กลุ่มหลัก ปรับฐานนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นจากกลุ่มสูงวัยสู่คนรุ่นใหม่

ในส่วนการทำตลาดของททท.โตเกียว จะเปลี่ยนโฟกัสสู่ตลาดรุ่นใหม่มากขึ้น เพราะหลังโควิด ตลาดผู้สูงอายุที่เป็นฐานลูกค้าหลักได้หายไป ขณะที่คนรุ่นใหม่กลับเคยชินกับการเที่ยวในประเทศ เพราะสะดวก ปลอดภัย ค่าใช้จ่ายไม่สูง จึงขาดการเดินทางออกนอกประเทศไป จากโควิดกว่า 3 ปี

ดังนั้นสิ่งที่เป็นงานท้าทายของ ททท. ก็คือ เราจะไปพึ่งตลาดคนรุ่นเก่า ที่หายไปในช่วงโควิด หรือผู้สูงวัยเยอะเหมือนเดิมไม่ได้ เราถึงจึงต้องหาตลาดทดแทน ก็มองไปที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 

กลุ่มที่ 1 เป็น เริ่มตั้งแต่เด็กเล็ก นักเรียน โดยญี่ปุ่นจะมีการจัดทัวร์นักเรียนไปต่างประเทศ  ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานของระบบการศึกษาเพื่อเรียนรู้ และประเทศไทยก็มีความเหมาะสมในแง่ของการเป็นจุดขายด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม อย่าง อยุธยา ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กจะต้องไปเรียนรู้ได้

กลุ่มที่ 2  กลุ่ม นักเรียน นักศึกษา หรือ GEN Y , GEN Z ในระดับมหาวิทยาลัย ก็มีเทรนด์ว่าเด็กมหาวิทยาลัยต้องการจะเรียนรู้โลกข้างนอก ก็จะดึงด้วยซีรีส์บอยเลิฟ (BL) ละครไทย และไทยป็อป ตอบโจทย์สำหรับกลุ่มนักศึกษา นักเรียนในระดับมัธยม

กลุ่มที่ 3  เฟิร์สจ็อบเบอร์ หรือคนทำงานใหม่ เพิ่งออกจากมหาวิทยาลัยมา อายุ  22-23 ไปจนถึงกลุ่มมิลเลียนเนียน ที่มีกำลังซื้อและแสวงหาความแปลกใหม่ของตัวเอง

โดยทั้ง 3 กลุ่มนี้มีจำนวนราว 30 ล้านคนในญี่ปุ่น ดังนั้นททท.โตเกียวจะใช้หลายโครงการเพื่อกระตุ้นตลาดกลุ่มเหล่านี้ อาทิ โครงการ “First Passport in Thailand” เพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่

โดยให้สิทธิพิเศษสำหรับคนที่มาเที่ยวไทยเป็นครั้งแรก อาทิ บัตร BTS ฟรี ซิมการ์ดของค่ายมือถือ ใช้ฟรี บริการนวดไทย-สปา เลานจ์สนามบินฟรี โครงการนี้ตั้งเป้า 10,000 ราย ซึ่งเต็มอย่างรวดเร็ว และกำลังจะดำเนินการต่อในเฟส 2 โดยมีเงื่อนไขให้ผู้เข้าร่วมต้องโพสต์แชร์ประสบการณ์ เพื่อสร้างการรับรู้ขยายไปยังคนที่ไม่ได้รับสิทธิ์ การร่วมมือกับ OTA Klook ในญี่ปุ่น เสนอขายกิจกรรมท่องเที่ยวประเทศไทยในราคาพิเศษ กระตุ้นช่วงโลว์ซีซันเดือนพ.ค.-มิ.ย.นี้ ตั้งเป้า 1 หมื่นคน  

รวมถึงการใช้กลยุทธใหม่ อย่างการวางแผนจะทำโครงการ “Illustrate Your Endless Story” ใช้การ์ตูนเป็นเครื่องมือดึงดูดคนรุ่นใหม่ เพราะคนญี่ปุ่นรุ่นใหม่คลั่งไคล้ และผูกพันธ์กับการ์ตูนต่างๆมาก ซึ่งจะมีการหารือกับ TV Asahi ผู้ผลิตโดราเอม่อน เพื่อขยายผลให้โดราเอม่อน ไปทำกิจกรรมต่างๆในไทย โดยมีการใช้ฉากของประเทศไทย ในเมืองที่เราต้องการโปรโมท เช่น อาจจะไปแม่ฮ่องสอน หรือ ลงใต้ ไปแหล่งท่องเที่ยวเมืองรองของไทย ในฉากการ์ตูนโดราเอม่อน

เพิ่มเติมจากโดราเอม่อนตอนล่าสุด ที่มีฉากรถตุ๊กตุ๊ก และ ตลาดน้ำดำเนินสะดวก ที่ทาง TV Asahi ทำขึ้นเอง ซึ่งในญี่ปุ่นการ์ตูนโดราเอม่อน มีการผลิตตอนใหม่อยู่ตลอดเพื่อฉายในญี่ปุ่น 

โดราเอม่อน เที่ยวไทย ททท.ญี่ปุ่น พลิกกลยุทธ์ดัน 1.2 ล้านคนเที่ยวไทย ปรับฐานจากสูงวัย สู่คนรุ่นใหม่

นอกจากนี้ก็จะร่วมมือกับ “โคบายาชิ” ซึ่งเป็นนักเขียนการ์ตูนผู้หญิงชาวญี่ปุ่น ซึ่งสนใจเมืองไทย แล้วก็ทำเป็นพ็อกเก็ตบุ๊คเกี่ยวกับไทย อย่างล่าสุดที่เขาเขียนการ์ตูนออนไลน์ ชื่อ “”Soi Story” เป็นเรื่องราวในซอย มีฉากต่างๆในไทย แม่ค้า ร้านค้า สตรีทฟู้ด ที่เขาจะเขียนแบบมีมุกที่น่าสนใจ ซึ่งต่อไปเราอยากจะไป Matching กับเขา เราจะให้เขาเขียนในพื้นที่เราต้องการ ที่จะเป็นเรื่อง 5 Must Do In Thailand โดยถ่ายรูป ส่งเป็นข้อมูล เพื่อให้เขียนเป็นการ์ตูน ทำให้คนรู้จัก

ขณะเดียวกันก็จะเน้นทำการตลาดผ่าน KOL และ Content Creator โดยมีการหารือกับ Nippon Boys 3 คน ได้แก่ เรียวตะ เป็นคนญี่ปุ่น ฮิเดกิ เป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น และ ลุค อิชิกาวะ เป็นญี่ปุ่น-อเมริกัน สังกัด GMM ที่เข้ามารวมตัวกัน ขยายการผลิตคอนเท้นท์ คิดมุกใหม่ๆชวนคนญี่ปุ่นมาเที่ยวเมืองไทย ซึ่งการที่เราเน้นทำตลาดผ่าน KOL มีอิทธิพลในการที่จะทำให้คนญี่ปุ่นสนใจหรือติดตามอยากไปเมืองไทย

อีกทั้งในปีนี้เราก็ยังเน้นไปในเรื่อง Boy Love อยู่ ซึ่งบอยเลิฟไม่ใช่แค่กระแสชั่วคราว แต่กลายเป็น “Subculture” ของคนญี่ปุ่น ที่มีการเติบโตสูงมากโดยกลุ่มคนเหล่านี้ ไม่ใช่ LGBTQ แต่เป็นกลุ่มผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ที่ชอบดูหรือชอบเสพสื่อที่เป็นผู้ชายกับผู้ชายรักกัน หรือผู้หญิงกับผู้หญิงรักกัน โดยที่ดังมากในญี่ปุ่น คือ คู่ของคริส-สิงโต

อีกทั้งเรากำลังจะเป็นสปอนเซอร์ในงานแฟนมีตติ้ง ของ “เอิร์ท-มิกซ์” แจกตั๋วเครื่องบินไปกลับประเทศไทยให้กับแฟนคลับ การถ่าย Shooting โลเคชั่นโปรโมทลำปาง ซึ่งมิกซ์เป็นคนลำปาง ชวนแฟนคลับชาวญี่ปุ่นมาเที่ยว และการสนับสนุนหนัง “โอ๊ตซัง” (ลุงรักของลุง) เป็นต้น

สำหรับความท้าทายและโอกาสในการทำตลาดญี่ปุ่น ก็ยังมีในเรื่องของญี่ปุ่นส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ จึงมีโครงการคล้าย “เที่ยวคนละครึ่ง”ของไทย ที่จะออกมาเป็นช่วงๆ เช่น 5 พันเยน หรือ 8 พันเยน รวมถึงการอ่อนค่าของเงินเยน ทำให้การเดินทางต่างประเทศแพงขึ้น  ราคาตั๋วเครื่องบินที่ซื้อจากญี่ปุ่นไปไทย จะแพงกว่าที่ซื้อจากไทยมาญี่ปุ่น

ส่วนโอกาสททท.ก็มองว่าจะเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มีกว่า 30 ล้านคนที่ยังไม่เคยมาไทย ให้มาเที่ยวไทย การใช้เครื่องมือทางการตลาดที่หลากหลาย และเข้าถึงคนรุ่นใหม่ 

นอกจากนี้ททท.ยังอยากแนะนำให้ผู้ประกอบการไทยที่ต้องการเจาะตลาดญี่ปุ่น จะต้องเน้นใน 3 เรื่อง ได้แก่ 1.สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ จ้างพนักงานที่พูดญี่ปุ่นได้หรือมี Sales คนญี่ปุ่น 2.ปรับตัวตามเทรนด์ ให้ความสำคัญกับ SDGs และการท่องเที่ยวยั่งยืน และ 3. เข้าใจวัฒนธรรม คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับความสะอาด ความสะดวก และความปลอดภัย

ด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลายและการปรับตัวสู่ตลาดรุ่นใหม่ ทำให้การท่องเที่ยวไทยมีโอกาสดีในการดึงดูดนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นในระยะยาว แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายด้านต่างๆ แต่ด้วยความหลากหลายของเครื่องมือการตลาดและการทำความเข้าใจตลาดเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง คาดว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมาย 1.2 ล้านคนในปี 2568 ได้

ฟูกูโอกะ จับกลุ่มเด็กประถม- มัธยม ทัศนศึกษาในไทย

นางสาวสุดาพร วรพล ผู้อำนวยการททท.สำนักงานฟูกูโอกะ กล่าวว่า ในปีนี้ทางสำนักงาน มีเป้าหมายที่จะดึงคนญี่ปุ่นเที่ยวเมืองไทยอยู่ที่ 2 แสนคน คิดเป็นสัดส่วน 15-20 % จากเป้าหมายรวม 1.2 ล้านคน ซึ่งถือเป็นความท้าทาย เพราะจากภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ทำให้คนเที่ยวในประเทศ มากกว่าเดินทางไปต่างประเทศ หรือถ้าไปต่างประเทศ ก็จะไปประเทศใกล้ๆ อย่าง ไต้หวัน เกาหลีใต้ ส่วนการเดินทางมาเที่ยวไทย ก็น่าจะเพิ่มขึ้นในเดือนส.ค.นี้ ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลโอบ้ง ที่มีวันหยุดยาว 

สุดาพร วรพล

ทิศทางการทำตลาดญี่ปุ่น เราได้มีการหารือกันระหว่าง 3 สำนักงาน ที่จะส่งเสริมให้คนญี่ปุ่นเดินทางมาไทยเพิ่มขึ้น โดยปรับโครงสร้างนักท่องเที่ยวจากกลุ่มผู้สูงอายุ ที่เดินทางมาเที่ยวไทย มาเป็นคนรุ่นใหม่ อย่าง นักเรียน นักศึกษา ไปจนถึงคนที่ทำงานเป็นครั้งแรก

โดยในส่วนของสำนักงานฟูกูโอกะ จะเน้นกลุ่มเด็กประถม และมัธยม เนื่องจากเป็นเมืองที่มีกลุ่มครอบครัวอาศัยอยู่มาก จึงมีประชากรเด็กมากกว่าสำนักงานอื่นๆ สำนักงานโอซากา เน้นกลุ่มมหาวิทยาลัย ส่วนสำนักงานโตเกียว จะเน้นกลุ่มคนเริ่มทำงาน และกลุ่มที่มีพาสปอร์ตครั้งแรก ดึงดูดให้เลือกเที่ยวไทยเป็นประเทศแรก 

“การทำตลาดนักเรียน ซึ่งเป็นในลักษณะทัศนศึกษา หรือ นักเรียนแลกเปลี่ยน ในปีนี้เป็นปีแรกที่ททท.จะเข้าไปสนับสนุน และเจาะตลาดกลุ่มนี้ให้มากขึ้น เพราะมองว่าอนาคตกลุ่มคนเหล่านี้ก็จะเป็นนักท่องเที่ยวที่มีโอกาสเดินทางมาเที่ยวไทยต่อไป และเมื่อมาแล้วเกิดความประทับใจก็จะบอกต่อ แม้ว่าจะมีคู่แข่งอย่างเวียดนาม และสิงคโปร์ ที่ทำตลาดนี้อยู่ แต่ประเทศไทยก็มีจุดเด่นที่จะนำเสนอในเรื่องของการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ซึ่งมีทั้งไปทัศนศึกษา 5-7 วัน หรือไปในลักษณะโครงการแลกเปลี่ยนระหว่างโรงเรียนของ 2 ประเทศ ก็จะใช้เวลาราว 2 สัปดาห์ เป็นต้น”

ปัจจุบันหากเป็นระดับประถม โรงเรียนในเมือง Koge ก็ความร่วมมือกับสาธิตจุฬา ส่งนักเรียนป.5 ไปทัศนศึกษาที่ไทย หรือเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ที่จะไปในเดือนส.ค.นี้ ส่วนนักเรียนไทยก็จะมาฟูกูโอกะในช่วงปิดเทอมเดือนต.ค.นี้

ส่วนนักเรียนมัธยม ก็มีโรงเรียนในฮิโรชิมา ที่มีความร่วมมือกับสาธิตเกษตร โดยททท.จะมีฝ่ายการตลาดเข้าไปส่งเสริม รวมถึงนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับประเทศ เพื่อให้โรงเรียนต่างๆในพื้นที่ ได้รับทราบข้อมูลต่างๆ 

รวมถึงการสนับสนุนค่าเข้าชมแหล่งท่องเที่ยวที่มีการไปทัศนศึกษา โดยถ้าเป็นเด็กประถม ก็จะทัศนศึกษาในกรุงเทพ อย่างไปวัดพระแก้ว ไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ส่วนถ้าเด็กมัธยม ก็จะไปอยุธยา กาญจนบุรี สุพรรณบุรี  ทำเชียงใหม่ สุโขทัย กิจกรรมปลูกข้าว หรือเลี้ยงอาหารบางมื้อ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดี

อย่างโรงเรียนในเมือง EHIME เกาะชิโกกุ ก็มีนักเรียนที่ตั้งใจเดินทางมาทัศนศึกษาในไทยกว่า 80 คนในเดือนสิงหาคมนี้ เป็นต้น โดยททท.ตั้งเป้าหมายการส่งเสริมกลุ่มตลาดนี้ให้เดินทางมาทัศนศึกษาในไทยราว  1,000 คน   

อีกทั้งยังจะร่วมมือกับ SHINRI ศิลปินที่มีชื่อเสียงเรื่องของการวาดคาแร็กเตอร์การ์ตูนเฉพาะตัว มาออกแบบเสื้อ 4 ลายที่แสดงถึงความเป็นไทย ขายในยูนิโคล ฟูกูโอกะ ซึ่งเด็กประถมและมัธยม สามารถเลือกลาย และสั่งผลิตได้ ซึ่งเป็นการผลิตตามออเดอร์ ไม่ได้วางขายหน้าร้าน ที่จะเริ่มในเดือนก.ค.-ก.ย.นี้ และจะมีการแจกให้กลุ่มนักเรียนที่เดินทางไปทัศนศึกษาในไทยด้วย

เสื้อ 4 ลายที่แสดงถึงความเป็นไทย ททท.ญี่ปุ่น พลิกกลยุทธ์ดัน 1.2 ล้านคนเที่ยวไทย ปรับฐานจากสูงวัย สู่คนรุ่นใหม่ ททท.ญี่ปุ่น พลิกกลยุทธ์ดัน 1.2 ล้านคนเที่ยวไทย ปรับฐานจากสูงวัย สู่คนรุ่นใหม่

นอกจากนี้ทางสำนักงานยังเน้นเจาะกลุ่มตลาดครอบครัว โดยจะร่วมกับบริษัท VELTRA ซึ่งเป็น OTA (Online Travel Agent) ของญี่ปุ่น ที่ขายกิจกรรมท่องเที่ยวประเทศไทย เสนอขายแพคเกจกิจกรรมสำหรับกลุ่มครอบครัวในราคาพิเศษ อาทิ สวนน้ำอควาเวิร์ส พัทยา เพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยว 

รวมไปถึงการเจาะกลุ่มนักกอล์ฟ ที่เป็นระดับกำลังซื้อสูงให้เข้ามาตีกอล์ฟในไทย เช่น ร่วมกับ First.L นิตยสารที่นำเสนอไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียมของเมืองฟุกุโอกะ นำผู้บริหาร 20 คนจัดตีกอล์ฟฉลองปีใหม่ในไทยเดือน ม.ค.2569 

รวมถึงการร่วมมือกับสายการบินต่างๆ อาทิ ไทยเวียตเจ็ท ไชน่า แอร์ไลน์ส อีวา แอร์ สนับสนุน และโปรโมทให้คนญี่ปุ่นเดินทางเที่ยวไทย เป็นต้น 

การจัดโรดโชว์มาที่ฟูกูโอกะ ก็ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ทำให้มีการเจรจาธุรกิจและอัพเดตสินค้าทางการท่องเที่ยว เพื่อนำไปสู่การเดินทางมาเที่ยวไทยต่อไป

โอซากา บุกทุกเซ็กเม้นท์ รุกกลุ่มมหาลัย

นางสาวธนวดี สุขสกุลวัฒน์ ผู้อำนวยการททท.สำนักงานโอซากา กล่าวว่า ในปี 2568 ททท. สำนักงานโอซากา ซึ่งรับผิดชอบในพื้นที่นาโกยา และโอซากา จะเน้นดำเนินการกระตุ้นการเดินทางของกลุ่มเดินทางซ้ำ (Revisit) ได้แก่ กลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไป กลุ่มครอบครัว กลุ่ม Active Senior รวมถึงกลุ่ม Niche Market (กลุ่ม Sport Lover : กอล์ฟ มาราธอน) โดย Joint Promotion ร่วมกับบริษัทนำเที่ยว เพื่อจัดทำแพคเกจราคาพิเศษเสนอขาย และ Joint Promotion กับสายการบิน นำเสนอตั๋วราคาพิเศษ เพื่อกระตุ้นให้เดินทางไปประเทศไทย

ธนวดี สุขสกุลวัฒน์

ขณะเดียวกันก็สร้างการรับรู้เกี่ยวกับประเทศไทยและส่งเสริมการเดินทางของกลุ่มนักท่องเที่ยวครั้งแรก (First Visit) โดยกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ นักศึกษามหาวิทยาลัย อายุ 18-23 ปี ทั่วประเทศญี่ปุ่น ททท.จะเน้นเจาะกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่มากขึ้น เนื่องจากนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ ยังไม่รู้ประเทศไทยมากนัก

ดังนั้นกลยุทธ์ในช่วงปี 2568-2570 จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างการรับรู้เกี่ยวกับประเทศไทยเป็นหลัก และเสริมด้วยการเสนอขาย การท่องเที่ยวในกลุ่ม Gen Z และกลุ่ม Millennials โดยจัดทำ Landing Page ที่จัดทำขึ้นมาเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพื่อนำเสนอข้อมูลสินค้า กิจกรรมและบริการสำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่

นอกจากนั้นกลุ่ม Gen Z ได้เน้นไปที่กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย เข้าไปแนะนำประเทศไทยในมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศญี่ปุ่น และร่วมกับ Tabipo ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญสำหรับกลุ่ม Backpacker จัดกิจกรรมแนะนำการท่องเที่ยวในประเทศไทย และเสนอขายการเดินทางไปประเทศไทย

รวมทั้งตอนนี้อยู่ระหว่างการจัดทำแคมเปญพิเศษประกวดวีดีโอประสบการณ์ท่องเที่ยวในประเทศไทย ชิงรางวัลตั๋วเครื่องบินไป-กลับประเทศไทย ซึ่งแคมเปญนี้จะช่วยเสริมสร้างการรับรู้เกี่ยวกับประเทศไทยยิ่งขึ้น สำหรับกลุ่ม Millennials ดำเนินการส่งเสริมการขายร่วมกับบริษัทนำเที่ยวในการจัดทำแพคเกจเสนอขายนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้

ส่วนความคาดหวังจากการจัด Road show ที่นาโกยา ในครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจของผู้ประกอบการทั้ง 2 ประเทศ ทำให้เกิดการเดินทางไปยังประเทศไทยมากยิ่งขึ้น และคาดหวังว่าผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวของประเทศญี่ปุ่นในพื้นที่ชูบุ

โดยเฉพาะนาโงยา ได้รับทราบข้อมูลสินค้า บริการทางการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่มีความหลากหลายและสามารถตอบรับกับกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ซึ่งผู้ประกอบการสามารถนำข้อมูลไปจัดทำแพคเกจเสนอขายและสามารถนำข้อมูลที่ได้รับไปแนะนำให้กับลูกค้าของตนเองได้เป็นอย่างดีเกี่ยวกับการท่องเที่ยวของประเทศไทย

หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,102 วันที่ 5 – 7 มิถุนายน พ.ศ. 2568

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thansettakij.com/business/tourism/629097&ct=ga&cd=CAIyHGRmMjMzNDMzN2E0NjM2ZDg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw31_UdUBlrqptuQK-caAKLx

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *