ฟังเสียงคนไทยชายแดน เมื่อต้องสร้าง “บังเกอร์หลบภัย” ในวันที่พวกเขา “ไม่อยากให้มีสงคราม”

BBC Thai/Wasawat Lukharang

ที่มาของภาพ, BBC Thai/Wasawat Lukharang

คำบรรยายภาพ, บังเกอร์ทำกันเองของวิจิตร อินทรสร (ขวา) และเสถียร ใชยภักดี (ซ้าย) ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างบ้านของทั้งคู่
  • Author, ปณิศา เอมโอชา
  • Role, ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
  • Twitter, @PAemocha

ท่ามกลางทหารไทยที่ตรึงกำลังอยู่ทั่วพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา แม้ปราศจากเสียงระเบิดที่ลอยร่วงลงมาใส่ผืนนาอย่างครั้งปี 2554 จากข้อพิพาทกรณีปราสาทพระวิหาร แต่ความเงียบกลับไม่ทำให้ชาวบ้านหลับได้ง่ายนัก

“ย่าน [กลัว] นอนบ่หลับดอกทุกมื้อ [วัน] นี้” คือสิ่งที่ วิจิตร อินทรสร ชาวบ้านบ้านด่านใต้ ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ วัย 65 ปี เอ่ยขึ้นเบา ๆ ขณะที่กำลังตักทรายใส่กระสอบ

เหตุตึงเครียดจากการปะทะกันที่บริเวณช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พ.ค. จนมีทหารกัมพูชาเสียชีวิตหนึ่งราย ยังไม่มีท่าทีว่าจะสงบลงได้ ทั้งในเชิงการทูตระหว่างประเทศ และการทหารของทั้งสองแผ่นดิน

ทว่า ณ พื้นที่ชายแดนที่ห่างจากจุดปะทะบริเวณช่องบกอย่างน้อย 62 กิโลเมตรใน จ.ศรีสะเกษ อย่างบ้านด่านใต้ หนึ่งในหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับชายแดนกัมพูชาที่สุดของไทยดำเนินไปเช่นนี้ในช่วงบ่ายวันที่ 5 มิ.ย.

ขณะที่บัญชีเฟซบุ๊กของกองทัพบกโพสต์เชิญชวนคนไทยติดแฮชแท็ก #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด กระแสเรียกร้องให้มีการปกป้องผืนแผ่นดินไทยและเตรียมพร้อมเพื่อสงครามและการรบก็ดังระงมไปทั่วโลกโซเชียล

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and continue reading

ได้รับความนิยมสูงสุด

  • Qian produced fundamental research on rocket propulsion.

  • A Cambodian soldier (2nd L) shakes hands with a Thai soldier (2nd R) at the disputed ancient Khmer temple Prasat Ta Muen Thom, or Prasat Ta Moan Thom in Khmer, on the Cambodian-Thai border in Oddar Meanchey province on March 26, 2025. (Photo by TANG CHHIN Sothy / AFP) (Photo by TANG CHHIN SOTHY/AFP via Getty Images)

  • .

  • น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ และสมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความตกลง 7 ฉบับ ในวาระ 75 ปีความสัมพันธ์ไทย - กัมพูชา เมื่อ 23 เม.ย. 2568

End of ได้รับความนิยมสูงสุด

คนในพื้นที่ด่านหน้าตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ตอนนี้เป็นอย่างไร บีบีซีไทยลงพื้นที่สำรวจความรู้สึก ของพวกเขาที่อยู่ประชิดชายแดนมากที่สุด

บังเกอร์ไม่บัง “ความกลัว” จากสงคราม

BBC Thai/Wasawat Lukharang

ที่มาของภาพ, BBC Thai/Wasawat Lukharang

คำบรรยายภาพ, บังเกอร์ที่สร้างโดยทางการซึ่งตั้งเรียงรายอยู่ในวัดด่านใต้พัฒนาราม เคยถูกใช้มาแล้วช่วงที่มีความรุนแรงในปี 2554

แม้ผู้เขียนไม่ใช่คนพื้นที่และฟังภาษาถิ่นไม่คล่องแคล่วนัก แต่เมื่อได้พูดคุยกับชาวบ้านบริเวณ บ้านด่านใต้และบ้านด่านกลางใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ มากกว่า 5 คน และทุกคนตอบกลับเรามาเหมือน ๆ กัน ด้วยศัพท์คำว่า “ย่าน” หรือหมายถึง “กลัว” เมื่อถามว่าแต่ละคนรู้สึกอย่างไรตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา สุดท้ายผู้เขียนก็เข้าใจความหมายของคำ ๆ นี้ได้อย่างถ่องแท้

ความวิตกกังวลของคนที่ชายแดน ทำให้พวกเขาเริ่มหาที่ทางหลบภัยด้วยตัวของพวกเขาเอง

วิจิตร ซึ่งเคยประสบอุบัติเหตุเหยียบกับดักระเบิดในอดีต จนต้องเสียขาข้างหนึ่งไปกำลังตักทรายใส่ถุงกระสอบ โดยมีเสถียร ใชยภักดี เพื่อนบ้านวัย 71 ปี ร่วมด้วยช่วยกันอยู่

BBC Thai/Wasawat Lukharang

ที่มาของภาพ, BBC Thai/Wasawat Lukharang

คำบรรยายภาพ, วิจิตรสูญเสียขาไปข้างหนึ่งจากอุบัติเหตุเหยียบระเบิดในช่วงที่มีสงครามกลางเมืองในกัมพูชา

ทั้งคู่ตัดสินใจขุดและสร้างบังเกอร์หลบภัยซึ่งตั้งอยู่ระหว่างบ้านทั้งสองหลังขึ้นมา หนึ่งวันก่อนที่บีบีซีไทยจะลงพื้นที่แห่งนี้ หรือราววันที่ 8 หลังเกิดเหตุปะทะที่ช่องบกใน จ.อุบลราชธานี หรือห่างออกไปกว่า 60 กิโลเมตร ทว่าหมู่บ้านแห่งนี้กลับห่างจากชายแดนกัมพูชาเพียง 5-6 กิโลเมตร

“ถ้าเกิดตู้มต้ามขึ้นมานะ ไม่รู้เวลาไหน ถ้ามันเกิดปะทะกันขึ้นมาจริง ๆ เราจะหลบไม่ทันหนีไม่ทัน ก็ต้องอาศัยตัวนี้ก่อน กว่าทางราชการเขาจะมาอพยพ [เรา] ไป” เสถียร อธิบายเหตุผลที่ทั้งคู่ตัดสินใจสร้างบังเกอร์ขึ้นมา แม้จะไม่มีทั้งทุนและแรงงาน

ทั้งเสถียรและวิจิตรต่างกลัวเกรงกลัวต่อสงคราม โดยเฉพาะในฐานะคนด่านหน้า

“ตอนนี้มันก็ลำบากมากนะ ถ้าเกิดปะทะกันขึ้นมา บ้านด่านใต้นี่ก็เป็นหน้าด่านด้วยนะ เป็นหมู่บ้านสุดท้ายที่ติดกับชายแดนเขมร เป็นด่านสุดท้ายด้วย ลำบากมาก ไปไหนก็ลำบาก ทำมาหากินก็ลำบาก ทำไร่ทำนาก็ลำบากมาก” เสถียรกล่าว

นอกจากบังเกอร์ที่ทั้งสองทำขึ้นมา บริเวณวัดใกล้ ๆ กับชุมชนที่ทั้งคู่อาศัยอยู่ก็ยังมีบังเกอร์อยู่อีกราว 6 จุด ซึ่งทางการช่วยสร้างขึ้นมา และเคยถูกใช้งานเมื่อครั้งปี 2554 เช่นเดียวกัน

ความลำบากของคนอับจนหนทาง

BBC Thai/Wasawat Lukharang

ที่มาของภาพ, BBC Thai/Wasawat Lukharang

คำบรรยายภาพ, นาข้าวผืนเล็ก ๆ นี้ของอมร ไม่ได้มีไว้เพื่อปลูกข้าวเพื่อนำไปขาย แต่เพื่อเป็นอาหารให้กลับครอบครัวหลายชีวิตของเธอ

ตามข้อมูลในปี 2567 จากกลุ่มยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานพาณิชย์ จ.ศรีสะเกษ พบว่า สัดส่วนรายได้ของประชากรที่นี่มาจากภาคบริการและอื่น ๆ ราว 63.26% รองลงมาเป็นภาคเกษตร 27.45% และเป็นภาคอุตสาหกรรมเพียง 9.29%

โดยประชากรที่นี่มีรายได้ต่อหัวราว 86,259 บาท/คน/ปี (ราว 7,188.25 บาท/คน/เดือน) ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่อยู่ที่ 248,789 บาท/คน/ปี ถึง 65.34%

ความลำบากเหล่านี้ยิ่งสะท้อนออกมาชัดเมื่อบีบีซีไทยได้พูดคุยกับ อมร มลราช วัย 49 ปี ซึ่งกำลังนั่งอยู่บนเพิงไม้บริเวณหน้าบ้านพร้อมกับพี่สาว แม่ของเธอ และหลาน ๆ ในช่วงสาย ๆ ของพฤหัสบดี (5 มิ.ย.) ที่ฝนตกลงมาอย่างหนัก

เธอมีลูกสองคนที่ทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ และคอยส่งเงินกลับมาจุนเจือคนที่บ้าน แต่ว่าตอนนี้ปัญหาใหม่ที่เธอกำลังเผชิญคือ ไร่นาจำนวนหนึ่งที่ปกติเธอปลูกเอาไว้เพื่อให้คนที่บ้านมีกิน ไม่ได้มีไว้ค้าขายแต่อย่างใด ตอนนี้ไม่สามารถหว่านเมล็ดพันธุ์ได้ สาเหตุมีทั้งที่มาจากธรรมชาติอย่างฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้ และความไม่สงบที่ปะทุอยู่กับประเทศเพื่อนบ้าน

“เราก็อยากให้เจ้าหน้าที่สู้นะ แต่ว่าเราอยู่ชายแดน เราก็กลัวว่าจะได้รับผลกระทบ กลัวว่าจะเกิดสงคราม ถ้ามันเกิดขึ้นจริง ๆ เราจะได้หว่านข้าวไหม เราจะได้เก็บเกี่ยวไหม เพราะเราเป็นประชาชนธรรมดา ทำมาหากินลำบาก ยากจน เราก็กลัวอยู่”

เธอเสริมว่าก่อนหน้านี้เธอและชาวบ้านคนอื่น ๆ จะขึ้นไปในป่าซึ่งมีชายแดนติดกับกัมพูชาเพื่อเก็บเห็ดมาขาย เป็นรายได้เสริมที่ค่อนข้างดี อาจได้สูงถึงหลักพันบาทต่อครั้ง

ทว่าตั้งแต่เกิดการปะทะขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้ว เธอเองก็เลือกจะไม่เข้าไปในป่าอีก แต่เธอก็บอกว่ายังมีชาวบ้านอีกไม่น้อยที่ยังเดินทางเข้าไปเก็บเห็ดป่าอยู่ดี

“จนถึงตอนนี้ก็ยังมีคนที่ต้องไปอยู่ เสี่ยงที่จะไป เพราะคนที่ไปส่วนมากก็ไม่มีไร่นาเป็นของตัวเอง คนที่มีไร่นาก็ยังไปเหมือนกัน เพราะรายได้มันดี เขาก็ไป… ก็เพราะต้องหาเลี้ยงลูกหลาน ก็พอช่วยจุนเจือครอบครัวเราได้ประมาณหนึ่ง”

เด็กและโรงเรียนชายแดน

BBC Thai/Wasawat Lukharang

ที่มาของภาพ, BBC Thai/Wasawat Lukharang

คำบรรยายภาพ, ในวันที่บีบีซีไทยลงพื้นที่ เรายังได้เห็นเด็ก ๆ นักเรียนเดินกลับบ้านหรือเล่นกีฬาหลังเลิกเรียนเป็นปกติ

ตอนที่เราพูดคุยอยู่กับอมร เราสังเกตเห็นว่ามีเด็กในวัยประถมจำนวนหนึ่งวิ่งเล่นอยู่ใกล้ ๆ เมื่อถามถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่าส่งผลกระทบอย่างไรกับเด็ก ๆ ในท้องที่บ้าน อมร เล่าให้ฟังว่าตอนนี้เองทางโรงเรียนในพื้นที่ก็มีการพูดคุยกับผู้ปกครองว่าหากกังวลถึงความปลอดภัยของเด็ก ๆ ก็สามารถให้หยุดเรียนได้

บีบีซีไทยมีโอกาสได้พูดคุยกับ นางจิตรา กุมพันธ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านด่านกลาง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งมีนักเรียนในความดูแลตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 ทั้งสิ้นกว่า 400 คน ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ด้วย

เธอเล่าให้ฟังว่าหลังเหตุการณ์วันที่ 28 พ.ค. เกิดขึ้น เธอก็ได้เรียกประชุมครูและเจ้าหน้าที่โดยทันทีเพื่อเตรียมแผนรับมือกับความปลอดภัยของเด็กนักเรียน

“เราจะเตรียมแผนว่าเราจะทำยังไงเพื่อให้เด็กเรียนปลอดภัยที่สุดด้วยการแบ่งหน้าที่กันไปทำ เช่นการดูบังเกอร์ว่าเราพร้อมไหมเรื่องของความปลอดภัย การซักซ้อมนักเรียนที่จะเข้าไปในบังเกอร์”

BBC Thai/Wasawat Lukharang

ที่มาของภาพ, BBC Thai/Wasawat Lukharang

“ในส่วนของคุณครู นักเรียนคนสุดท้ายออกจากโรงเรียนเมื่อไหร่ คุณครูถึงจะกลับได้” เธอเสริม

นางจิตรา อธิบายเพิ่มเติมเรื่องมาตรการดูแลความปลอดภัยของเด็ก ๆ และการหยุดเรียนว่า นโยบายของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในปัจจุบันให้อำนาจต่อผู้บริหารสถานศึกษาว่า สามารถสั่งปิดโรงเรียนได้ทันทีหากเกิดเหตุฉุกเฉิน

แม้ทุกอย่างจะดูเหมือนมีการเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ทว่า ผอ.หญิง แห่งโรงเรียนบ้านด่านกลางยอมรับว่า “ในสถานการณ์แบบนี้ก็จะมีความกลัว ความกลัวก็คือในขณะที่เราเปิดเรียนตามปกติและนักเรียนมาเรียนเต็มโรงเรียน ถ้ามีการยิงกันขึ้นมาเราจะดูแลลูก ๆ นักเรียนอย่างไร อันนี้มีความกังวล มีความกังวลมาก ๆ” เธอกล่าว

“แต่ในส่วนของความเป็นประชาชน ก็เชื่อมั่น เชื่อมั่นในกองกำลังทหารไทยว่าจะสามารถปกป้องดูแลคุ้มครองพวกเราได้เป็นอย่างดี” ผู้อำนวยการโรงเรียนบริเวณชายแดนที่มีนักเรียนหลายร้อยชีวิต กล่าว

อนาคตชายแดนจะไปทางไหน

ห่างออกไปจากโรงเรียนบ้านด่านกลางไม่ถึง 5 นาที บีบีซีไทยได้พูดคุยกับ สุเทียน ผิวจันทร์ ชายวัย 49 ปี ซึ่งเติบโตอยู่ที่นี่ และเป็นอดีตหัวหน้าโครงการ งานวิจัยไร้พรมแดน 45 ปี แห่งการพลัดพรากสู่การฟื้นความสัมพันธ์ชุมชนท้องถิ่นชายแดนไทย-กัมพูชา

เราถามเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า สำหรับคนชายแดนมองว่าการสงครามและสู้รบเป็นทางออกหรือเปล่า

BBC Thai/Wasawat Lukharang

ที่มาของภาพ, BBC Thai/Wasawat Lukharang

“ไม่อยากให้มีสงคราม… คนที่บอกรบเลย คำว่ารบเลย รบเลยแล้วเราแยกกันอยู่ได้ไหมครับ คำถามนี้จากคำว่ารบ เรามาคุยกันได้ไหม คือยังไงมันก็ยกดินออกจากกันไม่ได้อยู่แล้ว ยังไงมันก็ต้องไปหากันเหมือนเดิม แล้วถ้าเราไม่ทำตอนนี้ภายภาคหน้ามันก็ต้องเป็นอย่างนี้อยู่ตลอด ชายแดนมันก็จะอยู่อย่างงี้แหละครับ

แล้วลูกหลานในอนาคตล่ะครับ มันจะเป็นยังไง ถ้าเราจะอย่างงั้นอย่างงั้น” เขาเพิ่มเติม

ในสายตาของเขา ซึ่งทำงานในพื้นที่มานาน สุเทียนอยากให้รัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้ามาจัดการประเด็นพื้นที่พิพาทให้เด็ดขาด โดยเขาบอกเล่ากับบีบีซีไทยว่า ที่ผ่านมาฝั่งกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในดินแดนของไทย บริเวณที่เป็นป่าสงวนเข้ามาเรื่อย ๆ และเป็นการรุกล้ำอย่างเป็นระบบและเป็นประจำ ขณะที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยมีการขับไล่ออกไปเป็นบางครั้ง

บีบีซีไทยไม่อาจตรวจสอบข้อเท็จจริงคำกล่าวอ้างนี้ได้อย่างเป็นอิสระ ณ ตอนนี้ แต่เราพบว่าชาวบ้านที่เราได้พูดคุยด้วย และเป็นผู้ที่เดินทางเข้าไปเก็บของป่าในพื้นที่ที่เป็นเขตพรมแดนระหว่างทั้งสองประเทศกล่าวไปในทิศทางเดียวกัน

สุเทียนกล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมากัมพูชาเน้นเอาชาวบ้านไว้ด่านหน้าที่ติดพรมแดนแล้วเอาป่าไว้ข้างหลัง “แต่ของเราเอาป่าไว้ข้างหน้า ถ้าเราทำแบบเขา ก็คือเอาป่าไว้ข้างหลัง แล้วเอาคนอยู่ด้วยกัน ผมว่ามัน มันก็ลด [ความรุนแรง] ลงได้ คนที่มาอยู่ก็คือชาวบ้าน เขาไม่ได้ใช้อาวุธอะไร ทางโน้นเขาก็ไม่ได้ใช้อาวุธอะไร เราอยู่ด้วยกัน แล้วก็เป็นญาติกันด้วย”

แม้สื่อสังคมโซเชียลมีเดียของไทยและกัมพูชาอาจเห็นต่างกันอยู่หลายเรื่อง แต่ดูเหมือนการพูดคุยกับผู้คนในแนวชายแดนจำนวนหนึ่งจะสะท้อนว่าพวกเขาเห็นคนชายแดนเช่นกัน เป็นคนคุ้นเคย บ้างก็เป็นเครือญาติกันด้วยซ้ำ

“ชาติเราก็คือชาติ แต่ทั้งสองฝั่งก็พี่น้องกัน ไม่มีใครอยากให้รบกันหรอกครับ” สุเทียน ทิ้งท้าย