เศรษฐกิจไทย-กัมพูชา ขืนรบรา ใครต้องเจ็บ? จากช่องบกสู่ช่องว่างการค้า

เศรษฐกิจไทย-กัมพูชา-ขืนรบรา-ใครต้องเจ็บ?-จากช่องบกสู่ช่องว่างการค้า
เศรษฐกิจไทย-กัมพูชา ขืนรบรา ใครต้องเจ็บ? จากช่องบกสู่ช่องว่างการค้า

ไทย-กัมพูชา พึ่งพากันแค่ไหน?

การค้าไทย-กัมพูชามีมูลค่าสูงและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง กรมศุลกากรและสรรพสามิตกัมพูชา (GDCE) ระบุว่า ตัวเลขการค้าระหว่างกัมพูชาและไทยในปี 2567 มีมูลค่าสูงถึง 140,055 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.5% จากปีก่อนหน้า โดยไทยส่งออกสินค้าไปกัมพูชา 112,305 ล้านบาท ขณะที่ไทยนำเข้าสินค้าจากกัมพูชา 27,583 ล้านบาท

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ล่าสุด ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-เม.ย.68) การค้าชายแดนมีมูลค่ารวม 344,032 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% โดยเป็นการส่งออกของไทย 206,296 ล้านบาท และการนำเข้าของไทย 137,736 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้ากับกัมพูชา 

โดยส่วนใหญ่แล้ว กัมพูชาต้องการสินค้าอุปโภค-บริโภคในชีวิตประจำวันจากไทย เช่น เครื่องดื่ม ผักและผลไม้ น้ำตาล อาหารสำเร็จรูป ข้าวสาลี เครื่องสำอาง สบู่ ผลิตภัณฑ์รักษาผิว ไปจนถึงรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เหล็กและอะลูมิเนียม ส่วนสินค้าหลักที่ไทยนำเข้าจากกัมพูชา ได้แก่ สินแร่โลหะ เพชร พลอย อัญมณี ทองคำ ลวดและสายเคเบิล เครื่องจักรไฟฟ้า เสื้อผ้าสำเร็จรูป 

นอกจากนี้ ไทยจำเป็นต้องพึ่งพากัมพูชาในด้านแรงงาน โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น ทั้งสองประเทศมีบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการจ้างแรงงาน เพื่ออำนวยความสะดวกและดูแลสิทธิของแรงงานกัมพูชาในประเทศไทย นอกจากนี้ กัมพูชายังเป็นแหล่งลงทุนสำคัญของภาคธุรกิจหลายเจ้าจากประเทศไทยด้วย

“ช่องบก” สร้าง “ช่องว่างการค้า” ชายแดน?

ข้อพิพาทบริเวณ “ช่องบก” ซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อชายแดนระหว่างไทย กัมพูชา และลาว ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ทั้งสองประเทศเกิดความตึงเครียดต่อกัน ในพื้นที่ชายแดนมีการตรึงกำลังทหารเข้มงวดขึ้น และโดยปกติแล้ว แต่ละจุดชายแดนก็จะมีการค้าขายในพื้นที่ แลกเปลี่ยนสินค้าที่จำเป็นต่อกัน อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นนับว่าส่งผลทางเศรษฐกิจในระยะสั้น เนื่องจากช่องบก นับเป็นจุดผ่านชายแดนที่ไม่ได้เป็นเส้นทางขนส่งสินค้าสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับด่านอื่น ๆ 

ความสำคัญของช่องบกมักจะถูกเน้นไปที่ประเด็นความมั่นคง การปักปันเขตแดน และความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างประเทศมากกว่าด้านเศรษฐกิจโดยตรง อย่างไรก็ตาม การค้าขายในพื้นที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นการค้าในระดับท้องถิ่น หรือ จุดผ่อนปรน ซึ่งมีมูลค่าน้อยกว่าด่านถาวรใหญ่ๆ ที่รองรับการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่และนักท่องเที่ยวจำนวนมาก 

สำหรับจุดผ่ายชายแดนสำคัญ จะอยู่ที่ด่านบ้านคลองลึก หรือปอยเปต ฝั่งไทยจะเป็นอ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว นับเป็นด่านชายแดนที่สำคัญที่สุดและมีมูลค่าการค้าสูงที่สุดระหว่างไทยและกัมพูชา เป็นประตูหลักสำหรับการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ การเดินทางของนักท่องเที่ยว และแรงงานข้ามแดน ที่นี่เป็นป็นศูนย์กลางการค้า-การลงทุนสำคัญเพราะมีตลาดโรงเกลือคาสิโน และธุรกิจบริการต่าง ๆ 

จุดผ่านชายแดนสำคัญอื่น ๆ รองลงมาได้แก่  ด่านช่องจอม – โอสมัจ ฝั่งไทยอยู่ใน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ รวมถึงด่านช่องสะงำ – อัลลองเวง อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ จะเป็นทางผ่านของสินค้าเกษตรจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม หากความขัดแย้งลุกลามบานปลายถึงขั้นปิดด่านชายแดนช่องบก และชายแดนอื่น ๆ แน่นอนว่าทั้งสองประเทศจะได้รับความเดือดร้อน ไทยจะขาดแหล่งกระจายสินค้า ส่วนกัมพูชาขาดแคลนสิ่งของจำเป็น 

รบรา-เจรจา-คว่ำบาตร: ทางไหนจะได้ผลดี?

ตั้งแต่เกิดเหตุปะทะระหว่างสองกองทัพในพื้นที่ช่องบกเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ผบ.ทบ.ไทยและกัมพูชาได้มีการเจรจาหารือ เพื่อยุติเหตุรุนแรงผ่านข้อตกลง 3 ประการ ได้แก่ 1. แก้ไขปัญหาผ่านคณะกรรมการเขตแดนร่วมหรือ JBC 2. กองทัพสองฝ่ายต่างถอย 200 เมตร เพื่อลดการเผชิญหน้า และ 3. รักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ

อย่างไรก็ตาม แม้ข้อตกลงดังกล่าวจะลดอุณหภูมิความร้อนแรงบนชายแดนได้ แต่กองทัพทั้งสองประเทศต่างออกมาเคลื่อนไหว เพื่อให้อีกฝ่ายรับรู่กองทัพว่าเตรียมพร้อมเสมอ หากมีการปะทะรุนแรงอีกครั้ง แม้แต่ผู้นำประเทศอย่างสมเด็จฮุนเซ็น ก็ออกมาแสดงท่าทีต่อความสูญเสียที่ทหารกัมพูชาต้องเสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้ และอ้างไปถึงเหตุปะทะเขาพระวิหารด้วย ว่ากัมพูชาถูกไทยรุกรายอย่างไรในเวลานั้น ในฝั่งของประเทศไทย ล่าสุด รมว. กระทรวงกลาโกม ภูมิธรรม เวชยชัย เดินทางลงพื้นที่ช่องบกแล้ว 

ด้านพรรคประชาชนออกแถลงการณ์แนะนำให้รัฐบาลใช้มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจกดดันกัมพูชา เช่น  การสั่งห้ามส่งออกสินค้าบางประเภทไปยังประเทศกัมพูชา การเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจจุดผ่านแดนถาวร จุดผ่อนปรนการค้า และจุดผ่อนปรนเพื่อการท่องเที่ยว หรือแม้กระทั่งการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาบางจุดหากจำเป็น การไม่อนุญาตให้คนไทยข้ามแดนไปท่องเที่ยวหรือเล่นการพนันในกัมพูชา  ซึ่งเคยมีการประเมินว่ามีคนไทยเดินทางไปเล่นการพนันที่กัมพูชาประมาณวันละ 5,000 คน สร้างเงินหมุนเวียนกว่า 40,000 ล้านบาท/ปี รวมไปถึงมาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา โดยตัดสัญญาณมือถือและอินเตอร์เน็ต

ทั้งนี้ ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการให้บริการสัญญาณมือถือและอินเทอร์เน็ตแก่กัมพูชาหลายรูปแบบ โดยหลักๆ แล้วจะผ่านทางโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศ หรือ CAT (ปัจจุบันคือ NT) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการที่เคยมีโครงการขยายความจุโครงข่ายภายในประเทศเชื่อมโยงไปยังชายแดน การให้บริการไม่ได้มีเพียงแค่ “ขายสัญญาณ” โดยตรงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงค่าธรรมเนียมการเชื่อมต่อโครงข่าย (interconnection fees) ค่าบริการโรมมิ่งรายบุคคล การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และอื่นๆ ซึ่งยากที่จะแยกเป็นมูลค่าเฉพาะของการ “ให้บริการแก่กัมพูชา” ได้อย่างชัดเจน ซึ่งหากดำเนินมาตรการคว่ำบาตรดังกล่าว ประเทศไทยก็จะสูญเสียรายได้อย่างมหาศาล

คอนเทนต์แนะนำ

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.amarintv.com/spotlight/world/516241&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw2v3f6kcoeJpc6Kbl5iNdIi

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *