โครงสร้างตลาดท่องเที่ยวเปลี่ยน อย่างมีนัยสำคัญ
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และอดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่าในอดีตที่ผ่านมาการท่องเที่ยวไทยฝ่าวิกฤตมานับครั้งไม่ถ้วนและสามารถผ่านพ้นทุกความท้าทายมาได้ด้วยดี เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ แต่ปัจจุบันการท่องเที่ยวไทยเข้าสู่จุดเปลี่ยนผ่านที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งสำคัญ จากภูมิทัศน์การท่องเที่ยว (Tourism Landscape) ที่กำลังเปลี่ยนไป เราจะเห็นสัญญาณเตือนได้จากการชลอตัวของการท่องเที่ยว
จากสถิติในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ มีต่างชาติเที่ยวไทย 14.3 ล้านคน ลดลง 2.7 % เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ที่น่าวิตกคือภูมิภาคเอเชียซึ่งเป็นฐานตลาดหลักของไทย คิดเป็นเกือบ 63 % ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด กลับหดตัวอย่างมีนัยสำคัญถึง 11.35 % แม้จะในทางตรงกันข้าม จะมีนักท่องเที่ยวจากยุโรป อเมริกา โอเชียเนีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ที่เพิ่มขึ้นก็ตาม
ปัญหาหลักมาจากการลดลงของนักท่องเที่ยวจีน โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ นักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทย1.95 ล้านคน ลดลง 32.7 % เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ 2.91 ล้านคน ที่น่าตกใจคือเทรนด์ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากเฉลี่ยวันละ 2.13 หมื่นคนในเดือนม.ค. เหลือเพียง 1 หมื่นคนในเดือนพ.ค.
ครั้งแรกปีนี้นักท่องเที่ยวจีน ลดต่ำกว่า 5 ล้านคน ในรอบ 12 ปี
หากแนวโน้มนี้ยังคงเป็นไปตามนี้ ตลอดทั้งปี 2568 อาจมีนักท่องเที่ยวจีนเพียง 4-5 ล้านคน ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีที่ต่ำกว่า 5 ล้านคน ทั้งๆที่ก่อนโควิดจีนเที่ยวไทย 11.1 ล้านคน จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด 39.8 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนถึง 28 % ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด คิดเฉลี่ยเดือนละ 925,000 คนหรือวันละกว่า 30,000 คน
ผลสำรวจของ Dragon Trail International พบว่าคนจีนกังวลการเดินทางมาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว ภาพลักษณ์เชิงลบจากภาพยนตร์เรื่อง “No More Bets” ที่นำเสนอเรื่องวงจรฉ้อโกง การค้ามนุษย์ การค้าอวัยวะในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ส่อไปในทางไม่ปลอดภัย ทำให้เกิดภาพจำใหม่ว่าระบบจัดการของไทยไม่ดี ไม่ปลอดภัย เมื่อพิจารณาโครงสร้างนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย 10 อันดับแรกเปรียบเทียบระยะเวลาเดียวกันของปี 2567 และ 2568 พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยนักท่องเที่ยวมาเลเซีย อาจก้าวขึ้นไปเป็นอันดับ 1 แทนที่จีนในอนาคต เพราะมีอัตราการหดตัวลงน้อยกว่าจีน ในขณะที่อินเดียน่าจะแซงรัสเซีย ขึ้นเป็นอันดับที่ 3 จากนโยบาย Free Visa และ ไต้หวันอาจตกจากอันดับ 6 มารั้งท้ายสุดเมื่อสิ้นปี 2568
ทั้งนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะใกล้ ยังมองว่าการท่องเที่ยวของไทยยังคงพึ่งพาแบบแผนการท่องเที่ยวเดิมๆ คือ “ทะเล + อาหาร” ไม่มีจุดขายใหม่ๆ นอกจากนี้ ขีดความสามารถของการท่องเที่ยวไทยในระดับโลกก็ถดถอยเสื่อมลงในทุกมิติ จากดัชนี Travel & Tourism Development หรือ TTDI ปี 2567 ของ World Economic Forum พบว่า ไทยถูกปรับอันดับลดลง 12 อันดับ มาอยู่ในอันดับที่ 47 จาก 119 ประเทศ โดยลดลงในทุกมิติ โดยเฉพาะมิติด้านความยั่งยืนลดลงถึง 36 อันดับ และมิติด้านความมั่นคงปลอดภัยปรับลงจากอันดับที่ 86 เป็นอันดับที่ 102 ปรับตัวลดลง 16 อันดับ
ขณะที่ต้นทุนการบริโภคในประเทศไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ความได้เปรียบด้านราคาในฐานะจุดหมายปลายทางที่ค่าใช้จ่ายไม่สูงของไทยลดลง โดยความได้เปรียบด้านราคาของการท่องเที่ยวในไทยดีกว่าสิงคโปร์เพียงประเทศเดียว ไทยเป็นอันดับรองสุดท้ายของกลุ่มอาเซียนในการแข่งขันด้านราคา
จากปัญหาที่สั่งสมมานานเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้ปัจจุบันการท่องเที่ยวไทย มาอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า “อุตสาหกรรมกบต้ม” กบต้ม หรือกบในน้ำเดือด เป็นการเปรียบเทียบสภาวะที่หากไม่ยอมปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ยังพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทีละน้อย กว่าจะรู้ตัวก็จะสายไปเสียแล้ว
แนะท่องเที่ยวไทยปรับภูมิทัศน์ใหม่
ถึงเวลาที่การท่องเที่ยวไทยต้องเปลี่ยนแปลง เราต้องสร้างการท่องเที่ยวไทย “ยุคใหม่” ภายใต้ “ภูมิทัศน์ใหม่” ให้เติบโตบนพื้นฐานของ “สมดุล คุณภาพ ยั่งยืน” ด้วยแนวคิด Better Target/Better Quality/Better Future ได้แก่
1.Better Target คือ การเร่งนำนักท่องเที่ยวจีนกลับมา พร้อมกับเฟ้นหานักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่สามารถชดเชยการขาดหายไปของนักท่องเที่ยวจีนในมิติของการสร้างรายได้เชิงคุณภาพทั้งกลุ่ม FIT และ Group โดยเฉพาะจากตลาดประเทศเพื่อนบ้านและประเทศอื่นในพื้นที่ตลาดระยะใกล้ ในฐานะ Holidays and Weekend Destination โดยมุ่งทำการตลาดกับกลุ่มเป้าหมายคุณภาพที่เน้นคุณภาพมากกว่าจำนวน ในลักษณะทำน้อยได้มาก ได้แก่ กลุ่มรายได้สูง กลุ่มใช้จ่ายสูง กลุ่มความสนใจพิเศษ และกลุ่มที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม
การสร้างสมดุลในเชิงพื้นที่ (เมืองหลัก-เมืองรอง) และเวลา (High Season-Low Season) ให้เมืองทุกเมืองคือเมืองต้องห้ามพลาด เที่ยวไทยได้ทุกที่ทุกเวลา ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศอย่างเข้มข้น จริงจัง เพื่อให้ “ไทยเที่ยวไทย” เป็นแหล่งรายได้หลักและมั่นคง ทัดเทียมกับ “ต่างชาติเที่ยวไทย” เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพารายได้จากตลาดต่างประเทศเมื่อเกิดผลกระทบทางลบจากปัจจัยภายนอก
2. Better Quality คือ การเร่งสร้างสรรค์ประสบการณ์ท่องเที่ยวที่มีคุณภาพเหนือระดับเพื่อให้ไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ในฐานะ Trusted Destination ที่ได้รับการยอมรับ เชื่อมั่นในด้านคุณภาพและความเอาใจใส่เรื่องความปลอดภัย ทำให้โลกตระหนักรู้ว่าประเทศไทยเราห่วงใยคุณเสมอ (Thailand always CARE) ใช้ Thai Hospitality ดูแลเรื่องความปลอดภัยของนักเดินทางท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือนักท่องเที่ยวต่างชาติ
การกำหนดพื้นที่ท่องเที่ยวปลอดภัย (T-Zone) มีระบบเตือนภัยให้กับภายใต้แนวคิด “Thailand always CARE” CARE หมายถึง Caution : มีระบบเตือนภัย ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ, Aid in Emergencies : ช่วยเหลือทันทีเมื่อเกิดเหตุโดยจัดมี Tourism First Aid, Remedy : เยียวยาความรู้สึกของนักท่องเที่ยวจากเหตุที่ประสบ และ Escalate : ยกระดับความเข้มข้นของการป้องกันเหตุ
การแก้ปัญหาอย่างจริงจังและเร่งด่วนเพื่อสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวในทุกมิติโดยเฉพาะในเรื่องมาตรฐานด้านความปลอดภัยและสุขอนามัย นอกจากนี้ต้องเร่งพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพสูง ด้วยการยกระดับแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ผ่านหลัก 3C: ต้องมีเสน่ห์ (Charisma) ต้องมีชีวิตชีวา (Cheerful) ต้องมีสีสัน (Colorful) บนพื้นฐานของอัตลักษณ์ท้องถิ่น ธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและวิถีชีวิต มาสร้างเป็นจุดหมายปลายทางที่สดใหม่ (Unseen) ที่พร้อมดึงดูดนักท่องเที่ยวเดินทางมาสัมผัสประสบการณ์ต้องห้ามพลาดและแตกต่าง ครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น หรือการสร้างสรรค์กิจกรรมในด้านต่างๆ เช่น ดนตรี กีฬา ศิลปะวัฒนธรรม อาหารถิ่น งานประเพณี
3. Better Future คือ การวางอนาคต กำหนดตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ให้ไทยเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ในฐานะ Sustainable Destination โดยใช้ความยั่งยืนเป็นกลยุทธ์หลักในการสร้างการเติบโตและการสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยว สร้างให้เป็นจุดขายใหม่สำหรับการท่องเที่ยวของประเทศ ยกระดับและปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวทั้งในส่วนของ Nature และ Man-made รวมถึงระบบและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่อุปทานการท่องเที่ยวไทยให้มีคุณภาพ มาตรฐานสูง ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ส่งเสริมและสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าการท่องเที่ยว เพื่อให้เกิดประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีความหมาย เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจฐานรากของประเทศอย่างเป็นระบบ ทั่วถึง และเป็นธรรม สร้างรายได้ กระจายสู่ท้องถิ่นและชุมชนโดยไม่สร้างผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนต้องเร่งปรับตัว เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อรักษาความสำคัญของการท่องเที่ยวในฐานะกลไกขับเคลื่อนประเทศอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ เพราะกรณีเลวร้ายที่สุดของสภาวะ “อุตสาหกรรมกบต้ม” คือการยอมรับความผิดปกติที่เกิดขึ้น โดยไม่ได้สังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงนั้น ถึงเวลาแล้วที่การท่องเที่ยวไทยต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลง อาจจะสิ้นยุคทอง แต่เชื่อว่าการท่องเที่ยวไทยจะสามารถก้าวสู่ยุคใหม่ของการท่องเที่ยวไทยที่จะสามารถกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งและโลดแล่นในเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน
หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,103 วันที่ 8 – 11 มิถุนายน พ.ศ. 2568
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thansettakij.com/business/tourism/629411&ct=ga&cd=CAIyHGRmMjMzNDMzN2E0NjM2ZDg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw3iz7fLdSgbDS36Ep5Nq5GW