ดูเหมือนว่าผลกระทบจาก “นโยบายภาษี” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์นั้น จะส่งผลกระทบมากกว่าสร้างความหวังให้ชาวอเมริกัน เพราะเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา OECD ได้มีการคาดการณ์แนวโน้มของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่าการเติบโตของ GDP จะดิ่งลงเกือบครึ่งหนึ่งของปี 2024 โดยลดจาก 2.8% เหลือเพียง 1.6% ในปี 2025 และลดลงเหลือ 1.5% ในปีถัดไป ไม่ใช่แค่สหรัฐฯ เท่านั้น ที่ต้องเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ แต่การเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกก็ส่อแววว่าจะโตช้าลงเรื่อยๆ
ดย OECD ได้มีการคาดการณ์ว่าตัวเลข GDP เศรษฐกิจโลกปี 2025 จะอยู่ที่ประมาณ 3.1% แต่ตอนนี้กลับปรับตัวเลขลดต่ำลงเหลือเพียง 2.9% เท่านั้น และเมื่อสหรัฐฯ มีการเติบโตของเศรษฐกิจต่ำ ทำให้บริษัทต่าง ๆ จ้างพนักงานน้อยลง อัตราคนว่างงานสูงขึ้น ราคาสินค้าและบริการต่าง ๆ เพิ่มขึ้นมากกว่ากำลังซื้อของคน และอาจก้าวเข้าสู่สภาวะ “เงินเฟ้อ”
จำนวนผู้ว่างงานยื่นขอสวัสดิการในสหรัฐเพิ่มมากขึ้น
สำนักงานสถิติแรงงานแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (U.S. BUREAU OF LABOR STATISTICS) เปิดเผยยอดการสำรวจตำแหน่งงานว่างและการหมุนเวียนแรงงาน โดยระบุว่า ในเดือนเมษายนมีบุคคลว่างงานรวมแล้วเกือบ 7.4 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้น 191,000 จากเดือนมีนาคม และสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ราว ๆ 7.1 ล้านคน
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ว่างงานในสหรัฐยื่นขอรับสวัสดิการเพิ่มขึ้น 8,000 ราย รวมเป็น 247,000 ราย ซึ่งนับว่าเป็นยอดสูงสุดในรอบ 8 เดือน สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการว่างงานที่เริ่มโตมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไม่มีบริษัทไหนที่อยากเสี่ยงรับพนักงานเข้ามาเพิ่ม ในช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในสภาวะชะลอตัวและไม่มีความมั่นคง
นายจ้างในสหรัฐฯ ประกาศการเลิกจ้างประมาณ 93,800 ตำแหน่งในเดือนพฤษภาคม แม้ตัวเลขการเลิกจ้างจะลดลงจากเดือนเมษายน แต่ยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของปีที่แล้ว ตามรายงานของ Challenger, Gray & Christmas และกลุ่มที่ถูกเลิกจ้างมากที่สุดคือภาคบริการและการค้าปลีก
ภาษีศุลกากร การลดเงินทุน การใช้จ่ายของผู้บริโภค และภาวะเศรษฐกิจโดยรวมกำลังกดดันอย่างมากต่อพนักงานของบริษัท เพราะบริษัทมีการใช้จ่ายน้อยลงเพื่อประหยัดงบประมาณมากขึ้น การจ้างงานน้อยลง และบางบริษัทเริ่มส่งหนังสือแจ้งการเลิกจ้างให้กับพนักงาน
ปัจจัยเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นผลมาจากการที่เศรษฐกิจไม่มีความแน่นอน และไม่สามารถคาดเดาอนาคตได้ การรัดเข็มขัดการเงินเผื่อฉุกเฉินจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เช่นเดียวกับหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศสหรัฐ เช่น Microsoft Corp., Walt Disney Co. และ Booz Allen Hamilton Holding Corp. ที่กล่าวว่า พวกเขาเองก็กำลังวางแผนที่จะเลิกจ้างพนักงานบางส่วนเหมือนกัน
“ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความต้องการของผู้บริโภคที่ชะลอตัวกำลังผลักดันให้ธุรกิจชะลอการจ้างงาน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดเป็นความกดดันต่อการเรียกร้องอย่างต่อเนื่อง และท้ายที่สุดคือส่งผลต่ออัตราการว่างงาน” Eliza Winger นักเศรษฐศาสตร์ กล่าว แม้ว่านโยบายภาษีนำเข้า จะถูกศาลสหรัฐฯ สั่งระงับชั่วคราว แต่ความกังวลก็จะไม่หายไปไหน ชาวอเมริกันบางคนหมดหวังกับตลาดแรงงานที่มีการอัตราเลิกจ้างสูง และไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีทรัมป์นั้นจะดีขึ้นหรือไม่ในอนาคต
สหรัฐเสี่ยงเผชิญ “เงินเฟ้อ” เพราะนโยบายภาษีทรัมป์
OECD คาดการณ์ว่าสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะตกอยู่ในสภาวะเงินเฟ้อ เพราะในขณะที่เศรษฐกิจโตช้า อัตราการจ้างงานลดน้อยลง แต่สินค้าอุปโภค-บริโภคมีแต่จะราคาแพงขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น iPhone ที่ต้องพึ่งพาส่วนประกอบจากจีน ซึ่งเป็นประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงที่สุดถึง 145% “ต้นทุนการค้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่ขึ้นภาษีศุลกากร จะผลักดันอัตราเงินเฟ้อให้สูงขึ้นเช่นกัน แม้ว่าผลกระทบจะถูกชดเชยบางส่วนโดยราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อ่อนค่าลง” OECD กล่าว แม้ล่าสุดอัตราเงินเฟ้อจะมีการปรับตัวลดลงเหลือ 2.3% หลังจากไต่ขึ้นสูงถึง 9.1% ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดในรอบหลายปี แต่บริษัทใหญ่ ๆ หลายเจ้า เช่น Walmart ยังคงประกาศขึ้นราคาในเดือนพฤษภาคม โดยระบุว่าการปรับขึ้นราคานั้นส่วนหนึ่งมาจากผลกระทบของภาษีนำเข้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีความผันผวน และ OECD คาดว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ อาจปิดที่ 4% ในช่วงปลายปี 2568
ที่มา :
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thairath.co.th/money/economics/global_economics/2862941&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw2b6cO29Cszq7JL8LFwWZo2