ประเทศไทยมีเด็กหลุดจากการศึกษาถึง 880,463 คน
สาเหตุมีอยู่มากมาย หลายคนต้องออกจากโรงเรียนช่วยพ่อแม่หารายได้ ต้องดูแลสมาชิกในครอบครัวที่เจ็บป่วย ขณะที่อีกจำนวนไม่น้อยเผชิญกับความยากจนขั้นรุนแรง ไม่มีค่าเดินทางหรือแม้แต่ค่าอาหารกลางวันเพื่อไปโรงเรียน
นอกจากนี้ ยังมีเด็กที่มีภาวะสุขภาพจิตหรือร่างกายที่ทำให้ไม่สามารถเรียนในระบบเดิมได้ และระบบเดิมก็ไม่มีทางเลือกให้พวกเขาอย่างแท้จริง สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่เราต้องเผชิญร่วมกันอย่างเร่งด่วน เพราะวันนี้ เด็กจำนวนมากรู้สึกว่า “เรียนไปแล้วไม่ได้อะไร”
หนึ่งในคำตอบที่เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ คือ เราควรเปิดประตูให้การศึกษาเกิดได้ทุกที่ บนพื้นฐานที่ยืดหยุ่น และเข้าใจชีวิตเด็กจริงๆ และนั่นคือที่มาของแคมเปญใหม่จากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ในชื่อว่า “เพราะทุกที่คือโรงเรียน”
“เพราะทุกที่คือโรงเรียน” แคมเปญที่มองการศึกษาในความหมายใหม่
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. ได้จับมือกระทรวงศึกษาธิการ เครือข่ายศูนย์การเรียนโดยสถาบันทางสังคม และพันธมิตรทั่วประเทศ เปิดตัวแคมเปญ “เพราะทุกที่คือโรงเรียน” พร้อมเชิญชวนทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน ร่วมกันออกแบบการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์เด็กกลุ่มเปราะบาง ซึ่งไม่สามารถกลับเข้าสู่ระบบโรงเรียนแบบเดิมได้
“เราไม่ได้แค่ดึงเด็กกลับเข้าสู่ระบบเดิม แต่เรากำลังร่วมกันสร้างระบบใหม่ที่ยืดหยุ่น ตอบโจทย์ชีวิตของเด็กจริง ๆ” ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวเปิดงาน
ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
ดร.ไกรยส เน้นย้ำว่า การปฏิรูปการศึกษาในครั้งนี้ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงเฉพาะรูปแบบ แต่คือการตั้งคำถามใหม่กับบทบาทของโรงเรียนและการเรียนรู้ในสังคมไทย ซึ่งต้องเปิดกว้างมากขึ้น ผ่านกรอบแนวคิด Flexible Learning ที่ยืดหยุ่นทั้งสถานที่ เวลา เนื้อหา และวิธีการ โดยเฉพาะสำหรับเด็กกลุ่มเปราะบางที่ต้องการทางเลือกที่ไม่ใช่แค่เรียนเพื่อสอบ แต่เรียนเพื่อใช้ชีวิตจริงได้
อีกทั้ง โครงการนี้ยังสอดรับกับมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ที่เปิดโอกาสให้ภาคีทุกฝ่ายร่วมจัดการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม โดยมาตรานี้ระบุชัดว่า
“บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถาบันศาสนา สถาบันวิชาชีพ และสถาบันอื่นของรัฐหรือเอกชน มีสิทธิและโอกาสในการจัดการศึกษา”
ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้การเรียนรู้ไม่ต้องถูกผูกขาดโดยรัฐหรือโรงเรียนแบบดั้งเดิมเท่านั้น แต่เปิดโอกาสให้สังคมทั้งระบบมีบทบาทในการสร้างพื้นที่การเรียนรู้ที่หลากหลาย สอดคล้องกับชีวิตของผู้เรียน พร้อมย้ำว่า การศึกษายุคใหม่ต้องเปิดโอกาสให้เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ของตนเอง ไม่ใช่แค่ผู้รับความรู้แบบตายตัว
จากการสำรวจของ กสศ. เด็กหลุดจากระบบกว่า 78% ไม่มีแผนการศึกษาต่อ ขณะที่ 49% ต้องการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ แสดงให้เห็นว่าระบบเดิมอาจไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป
พื้นที่การเรียนรู้ใหม่ของเด็กกลุ่มเปราะบาง ชีวิตคือห้องเรียน
ภายในงาน Open House ยังได้จัดแสดงตัวอย่างห้องเรียนทางเลือกจากทั่วประเทศ ที่เกิดจากความร่วมมือของ กสศ. กับภาคีชุมชน โดยชุมชนต่างๆ ได้ทำการเปิด Open House ตามซุ้มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น
- หมอลำนิวเจน เรียนไปม่วนไป – หลักสูตรศิลปะพื้นบ้านที่กลายเป็นพื้นที่เรียนรู้สำหรับเยาวชนในวงหมอลำ
- เจริญกาแฟ ความรู้กินได้ – จากการสอนให้เด็กหลานแรงงานรู้จักทักษะอาชีพ สร้างรายได้จากไร่ส้ม และนำมาประยุกต์การเรียนรู้ทำเครื่องดื่มต่างๆ
- Chick Lab เลี้ยงก็เป็น ขายก็ได้ – ห้องเรียนฟาร์มไก่ที่สอนทั้งการเลี้ยงและการขายไก่อบ เสริมทักษะผู้ประกอบการในชุมชน
- Learn to Earn : Earn to Learn – โมเดลที่เชื่อว่าการศึกษาเท่ากับปากท้อง และไม่แยกจากชีวิตจริง
- หนองสนิท บาร์เบอร์ – ห้องเรียนช่างตัดผมในหมู่บ้าน ที่พลิกชีวิตเด็กจากผู้รับกลายเป็นผู้สอน
- บ้านหนังสือจุดฝัน – กิจกรรมที่เปิดพื้นที่ให้เลือกหนังสือแล้วมาคุยแลกเปลี่ยนกัน
- ห้องเรียน 0% ชีวิตไร้ขยะ – ซุ้มผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเศษผ้าออกมาเป็นของที่ระลึก รวมถึงการทำสบู่จากน้ำมันยางนา
- การศึกษายืดหยุ่น ไร้ข้อจำกัด – จัดแสดงสิ่งของและวัฒนธรรมต่างๆ ตามวิถีชีวิตคนเมียนมา
- ห้องเรียนสื่อชายแดน – ห้องเรียนชายแดนในหมู่บ้านกองผักปิ้ง เชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเปิดพื้นที่ปลอดภัยให้เยาวชนในพื้นที่สีแดงได้เรียนรู้ผ่านสื่อ
- ห้องเรียนทุ่งใหญ่ 1.3 ล้านไร่ – การเรียนรู้จากธรรมชาติของเด็กในพื้นที่ห่างไกล ที่ไม่มีรั้วโรงเรียน แต่เต็มไปด้วยโอกาส
การศึกษาไม่ใช่ภาระของใครคนเดียว ทุกภาคส่วนมีบทบาทได้
ภาคเอกชนเริ่มเข้ามามีบทบาทในฐานะผู้ออกแบบพื้นที่เรียนรู้ เช่น
- Shopee ประเทศไทย ที่จัดตั้ง ‘โรงเรียนนักขายออนไลน์’ สำหรับเยาวชนที่อยากฝึกทักษะการขายสินค้า e-Commerce โดยใช้ระบบแพลตฟอร์มจริงในการฝึกปฏิบัติ
- CJ MORE ที่พัฒนา ‘โรงเรียนผู้ประกอบการ’ สอนทักษะชีวิตและธุรกิจให้เด็กและเยาวชนมีรายได้ตั้งแต่วัยเรียน
- The Reporters ก็มีแนวคิดริเริ่ม ‘โรงเรียนนักข่าว’ เพื่อฝึกการเล่าเรื่องจากมุมของเด็กและเยาวชนในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศ
ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นเพียง CSR แต่เป็นการสานต่อวิสัยทัศน์ที่เชื่อว่าการศึกษาต้องเปิดพื้นที่ให้เอกชนและชุมชนมีบทบาทมากขึ้น โดยมี ‘หุ้นส่วนการศึกษา’ ที่หมายถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการจัดการเรียนรู้ ขยายความเป็นไปได้ของ ‘โรงเรียน’ ให้กว้างเท่าชีวิตจริง และให้ทุกคนมีบทบาทในการสนับสนุนเด็กสู่อนาคตที่เลือกเองได้ สร้างระบบการเรียนรู้ที่เท่าเทียมและเข้าถึงเด็กทุกกลุ่ม
โฉมหน้าของ ‘หุ้นส่วนการศึกษา’ ความสำเร็จอีกก้าวหนึ่งของการศึกษาไทย
นอกจากนี้ภาครัฐอย่างกระทรวงศึกษาธิการก็มีการสนับสนุน 3 ตาข่ายการเรียนรู้หลัก ได้แก่
- โรงเรียนที่ปรับให้ยืดหยุ่น (1 โรงเรียน 3 รูปแบบ)
- การศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย
- ศูนย์การเรียนโดยสถาบันทางสังคม เช่น มูลนิธิ สมาคม กลุ่มอาชีพ
ขณะเดียวกันยังมีเครื่องมืออย่าง Mobile School, กลไกตำบล และ Credit Bank ที่ช่วยเชื่อมต่อการเรียนรู้ให้เทียบโอนได้จริง ทั้งในสายวิชาการและวิชาชีพ
แนวคิด ‘หุ้นส่วนการศึกษา’ จึงไม่ใช่เรื่องของนโยบายเท่านั้น แต่คือความเชื่อที่ว่าทุกคนสามารถเป็นครูได้ ทุกที่สามารถเป็นโรงเรียนได้ และภาคส่วนใดก็สามารถเป็นผู้จัดการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม
การศึกษาไทยยังมีความหวัง
“เด็กไม่ใช่ปัญหา เด็กคือศักยภาพของประเทศ” ดร.ไกรยส กล่าวไว้บนเวที เพราะหากเราสามารถลดเด็กหลุดจากระบบการศึกษาให้เหลือศูนย์ได้ เศรษฐกิจไทยจะเติบโตเพิ่มอีก 1.7% ของ GDP จากรายได้ตลอดชีวิตของเด็กที่ได้รับการศึกษา มากกว่านั้น คือชีวิตของเด็กแต่ละคนที่ได้รับโอกาสในการกลับมาเรียนรู้แบบที่สอดคล้องกับชีวิตตนเองจริง ๆ
เพราะทุกที่คือโรงเรียน หากเราทุกร่วมมือกัน ช่วยกันสร้างโรงเรียนสำหรับเด็กในอนาคตขึ้นมา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://thestandard.co/everywhere-is-school-eef/&ct=ga&cd=CAIyHDI4ODcxZTExZDQzMWVlYzA6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw0o90L0NE1Linohb4VTe8_S