บทสรุปผู้บริหาร
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน การลงทุน และคุณภาพชีวิตของประชาชน รัฐบาลมีงบประมาณ 157,000 ล้านบาทที่เดิมตั้งใจจะใช้ในโครงการแจกเงินโดยตรงให้ประชาชน แต่ได้ตัดสินใจปรับเปลี่ยนแนวทางเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด
รายงานฉบับนี้นำเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการพัฒนาเมืองใหญ่ในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น สร้างการเติบโตในระยะยาว เสริมสร้างความเข้มแข็งให้ SME ลดการพึ่งพาสินค้านำเข้า และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน มาตรการที่นำเสนอได้รับการออกแบบให้สามารถเบิกจ่ายได้ภายใน 6 เดือน และมุ่งเน้นการสนับสนุน SME และเศรษฐกิจฐานราก
การจัดสรรงบประมาณได้คำนึงถึงความสมดุลระหว่างมาตรการระยะสั้นและระยะยาว โดยมีการกระจายงบประมาณไปยังเมืองใหญ่ทั่วประเทศ และมีการกำหนดกลไกการเบิกจ่ายที่ชัดเจนเพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ครบถ้วนภายในกรอบเวลาที่กำหนด
มาตรการที่นำเสนอมีความสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้ ข้อจำกัดของรัฐบาล และเป้าหมายทางเศรษฐกิจที่กำหนดไว้ โดยมีศักยภาพในการเพิ่ม GDP เพิ่มการจ้างงาน และกระตุ้นการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างยั่งยืนในระยะยาว
1. บทนำ
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าลงอันเนื่องมาจากปัจจัยหลายประการ ทั้งจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ และการแข่งขันที่รุนแรงจากสินค้านำเข้าโดยเฉพาะจากประเทศจีน นอกจากนี้ ประเทศไทยยังกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังแรงงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ในสถานการณ์เช่นนี้ รัฐบาลมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลัง โดยรัฐบาลมีงบประมาณ 157,000 ล้านบาทที่เดิมตั้งใจจะใช้ในโครงการแจกเงินโดยตรงให้ประชาชน แต่ได้ตัดสินใจปรับเปลี่ยนแนวทางเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ทั้งในแง่ของการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นและการสร้างการเติบโตในระยะยาว
การศึกษาจากประสบการณ์ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศพบว่า การแจกเงินโดยตรงให้ประชาชนอาจไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากเงินที่แจกอาจไม่ได้ถูกนำไปใช้จ่ายทั้งหมด และอาจไม่ได้สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจในระยะยาว นอกจากนี้ การแจกเงินโดยตรงยังอาจไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย เช่น การพึ่งพาสินค้านำเข้า และการขาดขีดความสามารถในการแข่งขัน
ดังนั้น รายงานฉบับนี้จึงนำเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางเลือกที่มุ่งเน้นการพัฒนาเมืองใหญ่ในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น สร้างการเติบโตในระยะยาว เสริมสร้างความเข้มแข็งให้ SME ลดการพึ่งพาสินค้านำเข้า และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน มาตรการที่นำเสนอได้รับการออกแบบให้สามารถเบิกจ่ายได้ภายใน 6 เดือน และมุ่งเน้นการสนับสนุน SME และเศรษฐกิจฐานราก
2. สถานการณ์เศรษฐกิจไทยและความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในระดับต่ำกว่าศักยภาพ โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 2.6-2.7% ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยประกอบด้วย:
1. ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ : สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย
2. การแข่งขันที่รุนแรงจากสินค้านำเข้า : สินค้าจากประเทศจีนและประเทศที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าไทยได้เข้ามาแข่งขันในตลาดไทยมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SME
3. การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ : ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้กำลังแรงงานลดลงและภาระทางการคลังเพิ่มขึ้น
4. การพึ่งพาการท่องเที่ยว : เศรษฐกิจไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวในสัดส่วนที่สูง ทำให้มีความเปราะบางต่อปัจจัยภายนอก เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค หรือความไม่สงบทางการเมืองระหว่างประเทศ
5. ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ : ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในระดับสูง ทั้งระหว่างเมืองกับชนบท และระหว่างกลุ่มคนรวยกับกลุ่มคนจน ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวม
ในสถานการณ์เช่นนี้ การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลังมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจในเมืองใหญ่ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศ การกระตุ้นเศรษฐกิจในเมืองใหญ่จะช่วยสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้าง (Multiplier Effect) และกระจายไปยังพื้นที่โดยรอบ นอกจากนี้ การมุ่งเน้นการสนับสนุน SME และเศรษฐกิจฐานรากจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว
3. บทเรียนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมา
การศึกษามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศที่ผ่านมา ทำให้เราสามารถสรุปบทเรียนสำคัญที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ได้ดังนี้
บทเรียนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศไทย :
1. โครงการ “ช้อปดี มีคืน” : โครงการนี้ประสบความสำเร็จในการกระตุ้นการใช้จ่ายในระยะสั้น โดยในปี 2023 สามารถกระตุ้นการใช้จ่ายได้ถึง 30,000 ล้านบาทในเวลาเพียง 6 สัปดาห์ นอกจากนี้ ยังช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษีและระบบดิจิทัลมากขึ้น โดยมีผู้ประกอบการ SME กว่า 65% เลือกใช้ใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของความซับซ้อนในการเริ่มต้นสำหรับ SME และการขาดแรงจูงใจในการอยู่ในระบบภาษีในระยะยาว
2. โครงการส่งเสริมการลงทุนสำหรับ SME ของ BOI : โครงการนี้ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรในการดึงดูด SME ทั่วไป เนื่องจากมีความซับซ้อนในการเข้าถึงข้อมูลและการปฏิบัติตามเกณฑ์ของโครงการ นอกจากนี้ โครงการนี้ยังมุ่งเน้นธุรกิจที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง นวัตกรรม และการสร้างมูลค่าเพิ่มสูง ซึ่งไม่สอดคล้องกับความสามารถและความต้องการของ SME ส่วนใหญ่ ส่งผลให้การลงทุนของ SME ภายใต้การส่งเสริมของ BOI มีเพียง 4% ของมูลค่าการส่งเสริมการลงทุนทั้งหมดในปี 2023 คิดเป็นเพียง 36,000 ล้านบาทเท่านั้น
3. โครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับ SME : โครงการนี้ช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับ SME ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของการเข้าถึงสินเชื่อของ SME ขนาดเล็ก และการขาดการสนับสนุนด้านอื่นๆ นอกเหนือจากเงินทุน เช่น การพัฒนาทักษะการบริหารธุรกิจ และการเข้าถึงตลาด
บทเรียนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในต่างประเทศ:
1. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน : หลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน และญี่ปุ่น ใช้การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานไม่เพียงแต่สร้างงานในระยะสั้น แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่มักใช้เวลานานในการดำเนินการและอาจไม่สามารถเบิกจ่ายได้ภายในกรอบเวลาที่จำกัด
2. การสนับสนุนการพัฒนาทักษะแรงงาน : ประเทศเช่น เยอรมนี สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะแรงงานเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต การลงทุนในทุนมนุษย์ช่วยเพิ่มผลิตภาพแรงงานและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
3. การส่งเสริมนวัตกรรมและการวิจัยและพัฒนา : ประเทศเช่น อิสราเอล ฟินแลนด์ และเกาหลีใต้ ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมนวัตกรรมและการวิจัยและพัฒนา การลงทุนในนวัตกรรมช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ และช่วยให้ประเทศสามารถแข่งขันได้ในเศรษฐกิจโลก
จากบทเรียนเหล่านี้ เราสามารถสรุปแนวทางในการออกแบบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพได้ดังนี้:
1. ความสมดุลระหว่างมาตรการระยะสั้นและระยะยาว : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพควรมีความสมดุลระหว่างมาตรการที่ให้ผลในระยะสั้น เช่น การกระตุ้นการบริโภค และมาตรการที่สร้างการเติบโตในระยะยาว เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาทักษะแรงงาน
2. การมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจควรมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น SME และเศรษฐกิจฐานราก เพื่อให้การสนับสนุนตรงกับความต้องการและสามารถสร้างผลกระทบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. การลดความซับซ้อนและอุปสรรคในการเข้าถึง : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจควรมีความเรียบง่ายและลดอุปสรรคในการเข้าถึง โดยเฉพาะสำหรับ SME และผู้ประกอบการรายย่อย
4. การบูรณาการระหว่างมาตรการต่างๆ : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจควรมีการบูรณาการระหว่างมาตรการต่างๆ เพื่อให้เกิดผลกระทบที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพสูงสุด
5. การติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจควรมีระบบการติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถปรับปรุงมาตรการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
4. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่นำเสนอ
จากการวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจไทยและบทเรียนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมา เราได้ออกแบบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการพัฒนาเมืองใหญ่ในประเทศไทย โดยแบ่งเป็นมาตรการระยะสั้นที่สามารถเบิกจ่ายได้ภายใน 6 เดือน และมาตรการระยะยาวที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
4.1 มาตรการระยะสั้น (เบิกจ่ายภายใน 6 เดือน)
4.1.1 โครงการ “ช้อปดี มีคืน พลัส” สำหรับเมืองใหญ่
โครงการนี้เป็นการขยายโครงการ “ช้อปดี มีคืน” ที่ประสบความสำเร็จในอดีต โดยมุ่งเน้นการกระตุ้นการใช้จ่ายใน SME ในเมืองใหญ่ ผู้เสียภาษีสามารถนำค่าใช้จ่ายมาหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า (200%) สำหรับการซื้อสินค้าและบริการจาก SME ที่ลงทะเบียนในระบบ โดยจำกัดวงเงินสูงสุด 50,000 บาทต่อคน และมีระยะเวลาโครงการ 3 เดือน
โครงการนี้จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในเมืองใหญ่อย่างน้อย 100,000 ล้านบาท เพิ่มรายได้ให้ SME ในพื้นที่เมืองใหญ่ และส่งเสริมให้ SME เข้าสู่ระบบภาษีและระบบดิจิทัล นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
4.1.2 โครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่อง SME ในเมืองใหญ่
โครงการนี้จัดสรรวงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (1-2%) ผ่านธนาคารของรัฐและธนาคารพาณิชย์ โดยมีวงเงินกู้สูงสุด 5 ล้านบาทต่อราย สำหรับ SME ในเมืองใหญ่ที่กำหนด ระยะเวลาผ่อนชำระ 5 ปี โดยปลอดเงินต้น 6 เดือนแรก และรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ธนาคาร 3-4% ต่อปี
โครงการนี้จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ SME ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ป้องกันการปิดกิจการและรักษาการจ้างงาน รวมทั้งสนับสนุนการลงทุนเพื่อปรับปรุงธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้ SME สามารถอยู่รอดและเติบโตได้ในระยะยาว
4.1.3 โครงการจ้างงานเร่งด่วนในเมืองใหญ่
โครงการนี้สนับสนุนการจ้างงานใหม่ในเมืองใหญ่ โดยรัฐร่วมจ่ายเงินเดือน 50% เป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยจำกัดเงินเดือนที่รัฐร่วมจ่ายไม่เกิน 7,500 บาทต่อคนต่อเดือน และเน้นการจ้างงานในกลุ่มแรงงานที่ตกงาน บัณฑิตจบใหม่ และผู้ด้อยโอกาส
โครงการนี้มีเป้าหมายในการสร้างการจ้างงานใหม่อย่างน้อย 200,000 ตำแหน่งในเมืองใหญ่ ซึ่งจะช่วยลดอัตราการว่างงานและเพิ่มกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังช่วยให้แรงงานได้รับการพัฒนาทักษะผ่านการทำงานจริง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในระยะยาว
4.1.4 โครงการปรับปรุงพื้นที่การค้าและแหล่งท่องเที่ยวในเมืองใหญ่
โครงการนี้มุ่งเน้นการปรับปรุงและพัฒนาพื้นที่การค้า ตลาด และแหล่งท่องเที่ยวในเมืองใหญ่ สร้างพื้นที่สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยในการจำหน่ายสินค้าและบริการ ปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ห้องน้ำ ที่จอดรถ ป้ายบอกทาง และระบบความปลอดภัย รวมทั้งพัฒนาระบบดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและการค้าในพื้นที่
โครงการนี้จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในเมืองใหญ่ สร้างพื้นที่ทำมาหากินให้ผู้ประกอบการรายย่อย และสร้างงานในภาคการก่อสร้างและบริการ นอกจากนี้ ยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ผ่านการปรับปรุงสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวก
4.2 มาตรการระยะยาว (เริ่มดำเนินการภายใน 6 เดือน)
4.2.1 โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในเมืองใหญ่
โครงการนี้มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในเมืองใหญ่ เช่น เครือข่าย 5G, Wi-Fi สาธารณะ, ศูนย์ข้อมูล สร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการค้าและบริการในเมืองใหญ่ พัฒนาระบบการชำระเงินดิจิทัลที่เชื่อมโยงกับผู้ประกอบการท้องถิ่น และฝึกอบรมทักษะดิจิทัลให้ผู้ประกอบการและแรงงานในพื้นที่
โครงการนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเมืองใหญ่ ลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ผ่านช่องทางดิจิทัล นอกจากนี้ ยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในยุคดิจิทัล
4.2.2 โครงการพัฒนาศูนย์นวัตกรรมและการผลิตในเมืองใหญ่
โครงการนี้จัดตั้งศูนย์นวัตกรรมและการผลิตในเมืองใหญ่ที่กำหนด สนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับการผลิตและทดสอบผลิตภัณฑ์ ให้คำปรึกษาด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตลาด และการส่งออก และเชื่อมโยงผู้ประกอบการกับสถาบันการศึกษาและนักวิจัย
โครงการนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ SME ลดการพึ่งพาสินค้านำเข้าผ่านการผลิตในประเทศ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมในเมืองใหญ่ ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมในระยะยาว
4.2.3 โครงการพัฒนาทักษะแรงงานเพื่ออนาคต
โครงการนี้จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมทักษะแรงงานในเมืองใหญ่ พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต สนับสนุนการฝึกงานในสถานประกอบการ และมอบเงินอุดหนุนให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมระหว่างการพัฒนาทักษะ
โครงการนี้จะช่วยยกระดับทักษะแรงงานให้ตรงกับความต้องการของตลาด เพิ่มผลิตภาพแรงงาน และลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานทักษะ นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการจ้างงานและรายได้ของแรงงาน ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
4.2.4 โครงการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
โครงการนี้สนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นในเมืองใหญ่ ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา สนับสนุนการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา และส่งเสริมการต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่ผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์
โครงการนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ลดการพึ่งพาสินค้านำเข้า และสร้างแบรนด์สินค้าไทยที่มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับ นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างรายได้และความภาคภูมิใจให้กับชุมชนท้องถิ่น ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในระยะยาว
4.2.5 โครงการพัฒนาระบบโลจิสติกส์และการเชื่อมโยงระหว่างเมือง
โครงการนี้พัฒนาระบบโลจิสติกส์ในเมืองใหญ่และการเชื่อมโยงกับพื้นที่โดยรอบ ปรับปรุงเส้นทางคมนาคมระหว่างเมืองใหญ่กับพื้นที่ผลิตสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม พัฒนาศูนย์กระจายสินค้าในเมืองใหญ่ และสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการโลจิสติกส์
โครงการนี้จะช่วยลดต้นทุนการขนส่งและกระจายสินค้า เพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค และสร้างโอกาสทางการตลาดให้กับสินค้าจากพื้นที่รอบนอก นอกจากนี้ ยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองและชนบท ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย
4.3 มาตรการเฉพาะสำหรับเมืองใหญ่ที่สำคัญ
นอกจากมาตรการทั่วไปที่กล่าวมาข้างต้น เรายังได้ออกแบบมาตรการเฉพาะสำหรับเมืองใหญ่ที่สำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพและความต้องการของแต่ละพื้นที่
4.3.1 นครราชสีมา (โคราช)
นครราชสีมาเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมีศักยภาพในการเชื่อมโยงกับภูมิภาคอื่นๆ ผ่านระบบรถไฟความเร็วสูงในอนาคต มาตรการเฉพาะสำหรับนครราชสีมาประกอบด้วย:
1. พัฒนาศูนย์กลางโลจิสติกส์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเชื่อมโยงกับรถไฟความเร็วสูง : การพัฒนาศูนย์กลางโลจิสติกส์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งและกระจายสินค้าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเชื่อมโยงกับภูมิภาคอื่นๆ ผ่านระบบรถไฟความเร็วสูงในอนาคต
2. สนับสนุนการพัฒนาแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับสินค้าอีสาน : การพัฒนาแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จะช่วยให้ผู้ประกอบการในภาคตะวันออกเฉียงเหนือสามารถเข้าถึงตลาดที่กว้างขึ้น และเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้า
3. จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมทักษะการขายออนไลน์และการไลฟ์เซลลิ่ง : การจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมทักษะการขายออนไลน์จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์จากช่องทางการขายออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. พัฒนาศูนย์นวัตกรรมอาหารแปรรูปจากวัตถุดิบท้องถิ่น : การพัฒนาศูนย์นวัตกรรมอาหารแปรรูปจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์เกษตรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ
4.3.2 สงขลา
สงขลาเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภาคใต้ตอนล่าง และมีศักยภาพในการเชื่อมโยงกับประเทศมาเลเซียและภูมิภาคอาเซียนตอนใต้ มาตรการเฉพาะสำหรับสงขลาประกอบด้วย:
1. พัฒนาศูนย์การค้าชายแดนและการท่องเที่ยวข้ามพรมแดนกับมาเลเซีย : การพัฒนาศูนย์การค้าชายแดนจะช่วยส่งเสริมการค้าและการท่องเที่ยวระหว่างไทยและมาเลเซีย และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่
2. สนับสนุนการยกระดับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นสู่ระดับพรีเมียม : การยกระดับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นจะช่วยเพิ่มมูลค่าและความสามารถในการแข่งขันของสินค้าจากภาคใต้ และสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่
3. จัดตั้งศูนย์แปรรูปผลิตภัณฑ์เกษตรและประมง : การจัดตั้งศูนย์แปรรูปผลิตภัณฑ์เกษตรและประมงจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์เกษตรและประมงในภาคใต้ และลดการสูญเสียจากการเน่าเสียของผลผลิต
4. พัฒนาศูนย์การศึกษานานาชาติเพื่อเป็นศูนย์กลางการศึกษาในภาคใต้ : การพัฒนาศูนย์การศึกษานานาชาติจะช่วยดึงดูดนักศึกษาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากมาเลเซียและอินโดนีเซีย และสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจในพื้นที่
5. การจัดสรรงบประมาณ
การจัดสรรงบประมาณ 157,000 ล้านบาทสำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในเมืองใหญ่ได้คำนึงถึงความสมดุลระหว่างมาตรการระยะสั้นและระยะยาว โดยมุ่งเน้นการกระจายงบประมาณไปยังพื้นที่เมืองใหญ่ทั่วประเทศ และให้ความสำคัญกับการสนับสนุน SME และเศรษฐกิจฐานราก
5.1 การจัดสรรงบประมาณตามประเภทมาตรการ
งบประมาณรวม 157,000 ล้านบาทได้ถูกจัดสรรตามประเภทมาตรการดังนี้:
1. มาตรการระยะสั้น : 60,000 ล้านบาท (38.2%)
- โครงการ “ช้อปดี มีคืน พลัส”: 20,000 ล้านบาท
- โครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่อง SME: 15,000 ล้านบาท
- โครงการจ้างงานเร่งด่วนในเมืองใหญ่: 9,000 ล้านบาท
- โครงการปรับปรุงพื้นที่การค้าและแหล่งท่องเที่ยว: 16,000 ล้านบาท
2. มาตรการระยะยาว : 97,000 ล้านบาท (61.8%)
- โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล: 20,000 ล้านบาท
- โครงการพัฒนาศูนย์นวัตกรรมและการผลิต: 25,000 ล้านบาท
- โครงการพัฒนาทักษะแรงงานเพื่ออนาคต: 18,000 ล้านบาท
- โครงการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น: 15,000 ล้านบาท
- โครงการพัฒนาระบบโลจิสติกส์และการเชื่อมโยงระหว่างเมือง: 19,000 ล้านบาท
การจัดสรรงบประมาณในสัดส่วนที่มากกว่าให้กับมาตรการระยะยาวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว ขณะเดียวกัน การจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอให้กับมาตรการระยะสั้นก็ช่วยให้มั่นใจว่าจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจในทันที
5.2 การจัดสรรงบประมาณตามพื้นที่เมืองใหญ่
งบประมาณรวม 157,000 ล้านบาทได้ถูกจัดสรรตามพื้นที่เมืองใหญ่ดังนี้:
1. กรุงเทพมหานคร: 30,000 ล้านบาท (19.1%)
2. เชียงใหม่: 12,000 ล้านบาท (7.6%)
3. ภูเก็ต: 12,000 ล้านบาท (7.6%)
4. ขอนแก่น: 12,000 ล้านบาท (7.6%)
5. อุบลราชธานี: 10,000 ล้านบาท (6.4%)
6. ชลบุรี (พัทยา): 12,000 ล้านบาท (7.6%)
7. อยุธยา: 10,000 ล้านบาท (6.4%)
8. พิษณุโลก: 10,000 ล้านบาท (6.4%)
9. หาดใหญ่: 9,000 ล้านบาท (5.7%)
10. นครราชสีมา (โคราช): 10,000 ล้านบาท (6.4%)
11. สงขลา: 10,000 ล้านบาท (6.4%)
12. เมืองใหญ่อื่นๆ: 20,000 ล้านบาท (12.7%)
การจัดสรรงบประมาณในสัดส่วนที่มากกว่าให้กับกรุงเทพมหานครสะท้อนถึงขนาดและความสำคัญทางเศรษฐกิจของเมืองหลวง ขณะเดียวกัน การจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอให้กับเมืองใหญ่อื่นๆ ทั่วประเทศก็ช่วยให้มั่นใจว่าจะมีการกระจายการพัฒนาอย่างทั่วถึง
5.3 การจัดสรรงบประมาณตามกลุ่มเป้าหมาย
งบประมาณรวม 157,000 ล้านบาทได้ถูกจัดสรรตามกลุ่มเป้าหมายดังนี้:
1. SME: 85,000 ล้านบาท (54.1%)
2. เศรษฐกิจฐานราก: 40,000 ล้านบาท (25.5%)
3. แรงงานและการจ้างงาน: 27,000 ล้านบาท (17.2%)
4. การบริหารจัดการและติดตามผล: 5,000 ล้านบาท (3.2%)
การจัดสรรงบประมาณในสัดส่วนที่มากกว่าให้กับ SME และเศรษฐกิจฐานรากสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่นและลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
5.4 แผนการเบิกจ่ายงบประมาณ
แผนการเบิกจ่ายงบประมาณ 157,000 ล้านบาทภายใน 6 เดือนมีดังนี้:
1. เดือนที่ 1: 30,000 ล้านบาท (19.1%)
2. เดือนที่ 2: 35,000 ล้านบาท (22.3%)
3. เดือนที่ 3: 40,000 ล้านบาท (25.5%)
4. เดือนที่ 4: 25,000 ล้านบาท (15.9%)
5. เดือนที่ 5: 15,000 ล้านบาท (9.6%)
6. เดือนที่ 6: 12,000 ล้านบาท (7.6%)
แผนการเบิกจ่ายนี้มุ่งเน้นการเบิกจ่ายในช่วงแรกสูงกว่าช่วงหลัง เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถเบิกจ่ายได้ทันตามกำหนด และเพื่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจในทันที
5.5 กลไกการเบิกจ่ายงบประมาณ
กลไกการเบิกจ่ายงบประมาณได้ถูกออกแบบให้มีประสิทธิภาพและโปร่งใส โดยมีรายละเอียดดังนี้:
1. การเบิกจ่ายสำหรับมาตรการระยะสั้น :
- โครงการ “ช้อปดี มีคืน พลัส”: เบิกจ่ายเป็นงวดตามจำนวนผู้ลงทะเบียนและมูลค่าการใช้จ่าย
- โครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ: เบิกจ่ายผ่านธนาคารของรัฐและธนาคารพาณิชย์ตามจำนวนเงินกู้ที่อนุมัติ
- โครงการจ้างงานเร่งด่วน: เบิกจ่ายเป็นรายเดือนตามจำนวนการจ้างงานจริง
- โครงการปรับปรุงพื้นที่การค้า: เบิกจ่ายตามความคืบหน้าของโครงการ (30% เมื่อเริ่มโครงการ, 40% เมื่อดำเนินการได้ 50%, 30% เมื่อเสร็จสิ้น)
2. การเบิกจ่ายสำหรับมาตรการระยะยาว :
- เบิกจ่าย 30-50% ในช่วง 6 เดือนแรกสำหรับการเริ่มโครงการ ส่วนที่เหลือทยอยเบิกจ่ายตามความคืบหน้า
3. ช่องทางการเบิกจ่าย :
- ผ่านหน่วยงานราชการส่วนกลาง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์
- ผ่านหน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่น เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเมืองใหญ่
- ผ่านสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารของรัฐ ธนาคารพาณิชย์
- ผ่านหน่วยงานสนับสนุน SME เช่น สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
4. การติดตามและประเมินผลการใช้งบประมาณ :
- พัฒนาระบบติดตามการเบิกจ่ายแบบเรียลไทม์
- กำหนดตัวชี้วัดประสิทธิภาพการใช้งบประมาณ
- จัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการใช้งบประมาณ
- เปิดเผยข้อมูลการเบิกจ่ายสู่สาธารณะ
6. การบริหารจัดการและการติดตามผล
การบริหารจัดการและการติดตามผลเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ประสบความสำเร็จ โดยมีรายละเอียดดังนี้:
6.1 การบริหารจัดการ
1. จัดตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการระดับชาติ :
- ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน และภาควิชาการ
- มีหน้าที่กำหนดนโยบาย กำกับดูแล และติดตามการดำเนินงานในภาพรวม
- ประชุมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้งเพื่อติดตามความคืบหน้าและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
2. จัดตั้งคณะทำงานในแต่ละเมืองใหญ่ :
- ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม
- มีหน้าที่ขับเคลื่อนการดำเนินงานในพื้นที่ และประสานงานกับคณะกรรมการระดับชาติ
- ประชุมอย่างน้อย 2 สัปดาห์ต่อครั้งเพื่อติดตามความคืบหน้าและแก้ไขปัญหาในพื้นที่
3. กำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จที่ชัดเจน :
- ตัวชี้วัดด้านเศรษฐกิจ เช่น การเติบโตของ GDP การจ้างงาน การลงทุน
- ตัวชี้วัดด้านการพัฒนา SME เช่น จำนวน SME ที่ได้รับการสนับสนุน การเติบโตของรายได้
- ตัวชี้วัดด้านการพัฒนาเมือง เช่น การปรับปรุงพื้นที่สาธารณะ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
- ตัวชี้วัดด้านการบริหารจัดการ เช่น การเบิกจ่ายงบประมาณ การดำเนินงานตามแผน
4. พัฒนาระบบติดตามและประเมินผลแบบเรียลไทม์ :
- พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับติดตามการดำเนินงานและการเบิกจ่ายงบประมาณแบบเรียลไทม์
- เชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เห็นภาพรวมของการดำเนินงาน
- เปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะเพื่อความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของประชาชน
6.2 การติดตามผล
1. รายงานความคืบหน้าทุกเดือน :
- จัดทำรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานและการเบิกจ่ายงบประมาณทุกเดือน
- นำเสนอต่อคณะกรรมการบริหารโครงการระดับชาติและเผยแพร่สู่สาธารณะ
- วิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงาน พร้อมเสนอแนวทางแก้ไข
2. ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจทุก 3 เดือน :
- จัดทำรายงานการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจทุก 3 เดือน
- วิเคราะห์ผลกระทบต่อ GDP การจ้างงาน การลงทุน และการพัฒนา SME
- เปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับเป้าหมายที่กำหนดไว้
3. ปรับปรุงมาตรการตามผลการประเมิน :
- ปรับปรุงมาตรการตามผลการประเมินและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
- เพิ่มหรือลดงบประมาณในแต่ละมาตรการตามความเหมาะสม
- ปรับปรุงกลไกการดำเนินงานเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
4. เผยแพร่ข้อมูลการดำเนินงานสู่สาธารณะ :
- เผยแพร่ข้อมูลการดำเนินงานและการเบิกจ่ายงบประมาณสู่สาธารณะผ่านเว็บไซต์และสื่อต่างๆ
- เวทีรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
- สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการติดตามและตรวจสอบการดำเนินงาน
7. ผลที่คาดว่าจะได้รับ
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่นำเสนอคาดว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยมีรายละเอียดดังนี้:
7.1 ผลกระทบทางเศรษฐกิจในระยะสั้น
1. การเพิ่มขึ้นของ GDP :
- คาดว่าจะช่วยเพิ่ม GDP ประมาณ 1.0-1.5% ในปีแรก
- การใช้จ่ายภาครัฐจะกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งจะส่งผลต่อ GDP โดยรวม
- การกระจายงบประมาณไปยังเมืองใหญ่ทั่วประเทศจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในวงกว้าง
2. การเพิ่มขึ้นของการจ้างงาน :
- คาดว่าจะสร้างการจ้างงานใหม่อย่างน้อย 300,000 ตำแหน่งในปีแรก
- โครงการจ้างงานเร่งด่วนจะช่วยลดอัตราการว่างงานโดยตรง
- การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาเมืองจะสร้างงานในภาคการก่อสร้างและบริการ
3. การเพิ่มขึ้นของการบริโภค :
- คาดว่าจะกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้นประมาณ 2.0-2.5% ในปีแรก
- โครงการ “ช้อปดี มีคืน พลัส” จะกระตุ้นการใช้จ่ายโดยตรง
- การเพิ่มขึ้นของการจ้างงานและรายได้จะส่งผลต่อการบริโภคในภาพรวม
4. การเพิ่มขึ้นของสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ :
- คาดว่าจะเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจประมาณ 200,000-250,000 ล้านบาท
- โครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับ SME
- การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจโดยรวม
7.2 ผลกระทบทางเศรษฐกิจในระยะยาว
1. การเพิ่มขึ้นของผลิตภาพ :
- คาดว่าจะช่วยเพิ่มผลิตภาพแรงงานประมาณ 2.0-3.0% ในระยะ 5 ปี
- โครงการพัฒนาทักษะแรงงานจะช่วยยกระดับทักษะและความสามารถของแรงงาน
- การลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
2. การเพิ่มขึ้นของขีดความสามารถในการแข่งขัน :
- คาดว่าจะช่วยยกระดับอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในดัชนีระดับโลก
- การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ
- การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาจะช่วยสร้างนวัตกรรมและมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ
3. การลดการพึ่งพาสินค้านำเข้า :
- คาดว่าจะช่วยลดการนำเข้าสินค้าบางประเภทลงประมาณ 5-10% ในระยะ 5 ปี
- การพัฒนาศูนย์นวัตกรรมและการผลิตจะช่วยส่งเสริมการผลิตในประเทศ
- การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นจะช่วยสร้างทางเลือกให้กับผู้บริโภค
4. **การเติบโตของ SME**:
- คาดว่าจะช่วยเพิ่มสัดส่วนของ SME ต่อ GDP เป็นประมาณ 40-45% ในระยะ 5 ปี
- การสนับสนุนด้านเงินทุน การพัฒนาทักษะ และการเข้าถึงตลาดจะช่วยให้ SME เติบโตและแข่งขันได้
- การพัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรมจะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ สำหรับ SME
7.3 ผลกระทบทางสังคม
1. การลดความเหลื่อมล้ำ :
- การกระจายงบประมาณไปยังเมืองใหญ่ทั่วประเทศจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำระหว่างพื้นที่
- การสนับสนุน SME และเศรษฐกิจฐานรากจะช่วยกระจายรายได้สู่ประชาชนในวงกว้าง
- การพัฒนาทักษะแรงงานจะช่วยเพิ่มโอกาสในการจ้างงานและรายได้ของแรงงาน
2. **การพัฒนาคุณภาพชีวิต**:
- การปรับปรุงพื้นที่สาธารณะและสิ่งอำนวยความสะดวกจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
- การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลจะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการและข้อมูลได้สะดวกขึ้น
- การสร้างงานและรายได้จะช่วยลดปัญหาสังคมที่เกิดจากความยากจนและการว่างงาน
3. **การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน**:
- การสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน
- การพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นจะช่วยสร้างความภาคภูมิใจและอัตลักษณ์ของชุมชน
- การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาเมืองจะช่วยสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของและความรับผิดชอบต่อสังคม
8. บทสรุปและข้อเสนอแนะ
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่นำเสนอในรายงานฉบับนี้มุ่งเน้นการใช้งบประมาณ 157,000 ล้านบาทอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น สร้างการเติบโตในระยะยาว เสริมสร้างความเข้มแข็งให้ SME ลดการพึ่งพาสินค้านำเข้า และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
มาตรการที่นำเสนอประกอบด้วยมาตรการระยะสั้นที่สามารถเบิกจ่ายได้ภายใน 6 เดือน และมาตรการระยะยาวที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีการกระจายงบประมาณไปยังเมืองใหญ่ทั่วประเทศ และมุ่งเน้นการสนับสนุน SME และเศรษฐกิจฐานราก
การจัดสรรงบประมาณได้คำนึงถึงความสมดุลระหว่างมาตรการระยะสั้นและระยะยาว โดยมีการกำหนดกลไกการเบิกจ่ายที่ชัดเจนเพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ครบถ้วนภายในกรอบเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดระบบการบริหารจัดการและการติดตามผลที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใส
ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมสำหรับการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมีดังนี้:
1. การบูรณาการระหว่างมาตรการ : ควรมีการบูรณาการระหว่างมาตรการต่างๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เช่น การเชื่อมโยงโครงการพัฒนาทักษะแรงงานกับโครงการพัฒนาศูนย์นวัตกรรม
2. การสื่อสารกับสาธารณะ : ควรมีแผนการสื่อสารที่ชัดเจนเพื่อให้ประชาชนและผู้ประกอบการเข้าใจและเข้าถึงมาตรการต่างๆ ได้อย่างทั่วถึง
3. การประเมินผลระหว่างดำเนินการ : ควรมีการประเมินผลระหว่างการดำเนินการเพื่อปรับปรุงมาตรการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
4. การเตรียมความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง : ควรมีการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องล่วงหน้าเพื่อให้สามารถดำเนินการได้ทันทีเมื่อได้รับงบประมาณ
5. การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและประชาชน : ควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและประชาชนในการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนจากทุกภาคส่วน
6. การเชื่อมโยงกับนโยบายอื่นๆ : ควรเชื่อมโยงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกับนโยบายอื่นๆ ของรัฐบาล เช่น นโยบายด้านการศึกษา สาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกมิติ
7. การเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยง : ควรมีการประเมินความเสี่ยงและเตรียมแผนรองรับสำหรับปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินมาตรการ เช่น การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์เศรษฐกิจโลก หรือการเกิดวิกฤตการณ์ต่างๆ
โดยสรุป มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่นำเสนอในรายงานฉบับนี้มีศักยภาพในการสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว หากมีการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพและมีการบูรณาการระหว่างมาตรการต่างๆ มาตรการเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน และสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่นและ SME ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thansettakij.com/blogs/columnist/629000&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw2nIOqeUqIG3JJPN3EsvRcW