วันนี้ (12 มิ.ย.2568) นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เปิดแถลงผลการประชุมที่ใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง โดยมี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม พร้อมตัวแทนจากหน่วยงานความมั่นคงและสำนักความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เข้าร่วมให้ข้อมูล
อย่างไรก็ตาม ตัวแทนกระทรวงการต่างประเทศติดภารกิจเตรียมการเจรจาคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) จึงจะได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมใหม่ในภายหลัง
นายรังสิมันต์ ระบุว่า การประชุมครั้งนี้ มีการหารือในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติอย่างละเอียด แต่เนื่องจากหลายเรื่องเป็นข้อมูลลับ จึงไม่สามารถเปิดเผยทั้งหมดได้ อย่างไรก็ตาม มีประเด็นสำคัญที่สามารถสื่อสารสู่สาธารณะได้ โดยกรรมาธิการ รัฐมนตรี และหน่วยงานความมั่นคงเห็นพ้องกันในหลายแนวทาง ทั้งยุทธศาสตร์และวิธีการดำเนินการ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในทุกมิติ
หนึ่งในประเด็นสำคัญคือ การจัดการปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ ซึ่งนายรังสิมันต์ชี้ว่า นอกจากการแก้ปัญหาภายในประเทศไทยแล้ว รัฐบาลควรเพิ่มมิติการปราบปรามในฝั่งกัมพูชา เนื่องจากคอลเซนเตอร์เป็นแหล่งรายได้สำคัญที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของกัมพูชา กรรมาธิการมองว่าการดำเนินการเชิงรุกในเรื่องนี้จะสร้าง “แต้มต่อ” ให้ไทย และเพิ่มน้ำหนักในการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้เน้นย้ำให้ตัวแทนรัฐบาลนำข้อเสนอนี้ไปพิจารณาและดำเนินการอย่างจริงจัง
นายรังสิมันต์ ยังแสดงความกังวลถึงความพยายามของกัมพูชาที่จะยกระดับความขัดแย้งบริเวณชายแดนไปสู่กลไกศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) โดยชี้ว่า กัมพูชามีการเตรียมการอย่างเป็นระบบมานาน ทั้งการว่าจ้างทนายความต่างชาติและจัดเตรียมเอกสารเพื่อใช้ในกระบวนการศาลโลก กรณีปราสาทเขาพระวิหารในอดีต เป็นบทเรียนที่แสดงให้เห็นว่าไทยไม่อาจประมาทได้ แม้ไทยจะถอนตัวจากบางกลไก แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมในทุกด้าน
กัมพูชามีการเตรียมพร้อมมานาน ทั้งด้านนักกฎหมายระหว่างประเทศและกลไกต่าง ๆ ทุกการเจรจาที่เกิดขึ้น ไทยต้องคาดการณ์ว่ากัมพูชาจะนำไปใช้ประโยชน์ในศาลโลกแน่นอน ดังนั้น ไทยต้องเตรียมทั้งแนวรับและแนวรุก โดยเฉพาะการจัดทีมนักกฎหมายที่มีความเชี่ยวชาญและกลไกสนับสนุนที่รัดกุม นายรังสิมันต์กล่าว
กรรมาธิการจึงเสนอแนะให้รัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวงกลาโหม เตรียมการด้านนี้อย่างเร่งด่วน เพื่อให้ไทยพร้อมรับมือหากสถานการณ์พัฒนาไปถึงขั้นขึ้นศาลโลก
อีกประเด็นสำคัญที่หยิบยกในที่ประชุมคือ การสร้างหลุมหลบภัย หรือ บังเกอร์ เพื่อปกป้องประชาชนบริเวณชายแดน นายรังสิมันต์ชี้ว่า ปัจจุบันกัมพูชามีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยกว่าในอดีต โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับช่วงความขัดแย้งปี 2554 ทำให้มีศักยภาพการยิงที่ไกลขึ้น อาจถึง 100 กิโลเมตร ซึ่งอาจส่งผลกระทบถึงประชาชนใน 2-3 อำเภอตามแนวชายแดน
ถึงแม้ไทยจะมั่นใจในศักยภาพทางทหาร แต่การปกป้องประชาชนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด รัฐบาลควรใช้งบกลางตามอำนาจของนายกรัฐมนตรี เพื่อเร่งสร้างหลุมหลบภัยให้เพียงพอและตอบโจทย์สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
กรรมาธิการเสนอว่างบประมาณดังกล่าว มีความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะหากการเจรจา JBC ในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ ไม่สามารถลดความตึงเครียดได้ และกัมพูชายังคงเดินหน้าสร้างเงื่อนไขความขัดแย้ง ซึ่งอาจนำไปสู่การปะทะทางอาวุธ
นายรังสิมันต์ กล่าวถึงการเจรจา JBC ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ว่า ผลลัพธ์ยังไม่แน่นอน แต่หากทุกฝ่ายเคารพบันทึกความเข้าใจ (MOU 43) และใช้กลไกทวิภาคีอย่างเต็มที่ จะช่วยลดความขัดแย้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเจรจาควรครอบคลุมประเด็นอื่น ๆ นอกเหนือจากกรณี 3 ปราสาทและพื้นที่ทับซ้อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะทางอาวุธ
หากกัมพูชาไม่ใช้กลไกทวิภาคี และยืนยันจะไปศาลโลก อาจทำให้เสียเปรียบในมิติเศรษฐกิจในระยะยาว ไทยต้องวางไพ่ทุกใบให้รอบคอบ เพื่อให้เกิดเอกภาพและแก้ไขวิกฤตได้จริง
กรรมาธิการมีกำหนดประชุมต่อเนื่องในวันที่ 26 มิ.ย.นี้ โดยจะเน้นหารือเรื่องการเตรียมการรับมือกรณีที่กัมพูชานำเรื่องขึ้นสู่ศาลโลก รวมถึงมาตรการอื่น ๆ เพื่อให้ไทยมีความพร้อมและรอบคอบสูงสุด แม้จะมีความมั่นใจในศักยภาพของฝ่ายไทย แต่การเตรียมการที่รัดกุมยังคงเป็นสิ่งจำเป็น
อ่านข่าวอื่น :
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://news.thaipbs.or.th/news/content/353149&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw2Dflzp9-5qPG_TMY81dbAR