แบงก์ผวา “รายใหญ่” ทรุด สภาพคล่องฝืด – พอร์ตสินเชื่อเปราะบาง

แบงก์ผวา-“รายใหญ่”-ทรุด-สภาพคล่องฝืด-–-พอร์ตสินเชื่อเปราะบาง
แบงก์ผวา “รายใหญ่” ทรุด สภาพคล่องฝืด – พอร์ตสินเชื่อเปราะบาง

การเงิน-การลงทุน

แบงก์ผวา “รายใหญ่” ทรุด สภาพคล่องฝืด – พอร์ตสินเชื่อเปราะบาง

05 มิ.ย. 2025 เวลา 6:00 น.

รายใหญ่ทรุด จ่อเผชิญวิกฤติ “สภาพคล่อง – เงินสด” ทรุด – นายแบงก์ชี้พอร์ตสินเชื่อเปราะบาง ธปท.เตือนธุรกิจก่อหนี้พุ่ง หวั่นสะเทือนเสถียรภาพการเงินพัง

  • สัญญาณเตือนจากภาคการเงิน กลุ่มธุรกิจรายใหญ่เริ่มเปราะบาง ไม่ใช่แค่รายย่อยหรือ SME เท่านั้นที่อ่อนแรง แต่ “เสาหลัก” ของเศรษฐกิจอย่างบริษัทขนาดใหญ่ก็เริ่มมีปัญหาสภาพคล่อง และกระแสเงินสดลดลง
  •  ผลประกอบการแย่ต่อเนื่องสะท้อนถึงความไม่แน่นอนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ส่งผลต่อพอร์ตลูกหนี้ของธุรกิจรายใหญ่
  • มุมมองจาก SCB X หันมาโฟกัสการบริหารความเสี่ยงพอร์ตลูกหนี้อย่างเข้มข้มชี้ไม่ใช่เวลาขยายธุรกิจ
  • KTB ชี้ธุรกิจรายใหญ่เริ่มเปราะบางชัดเจน ทั้งตลาดหุ้นกู้ สภาพคล่อง และผลประกอบการแสดงสัญญาณอ่อนแรง
  •  แบงก์จะ “เลือกปล่อย” มากขึ้น ต้องระมัดระวังในการพิจารณาสินเชื่อ โดยเฉพาะกับกลุ่มเสี่ยง 
  • แบงก์ชาติ แนะจับตา 4 ประเด็นเสี่ยง กระทบเสถียรภาพระบบการเงินพัง 
  • ความเชื่อมั่นนักลงทุนเปราะบาง ธุรกิจรายใหญ่บางรายก่อหนี้สูงเกินตัว 
  •  แม้ฐานะยังดี แต่การก่อหนี้ต่อเนื่องสะสมความเปราะบาง ภาคอสังหาฯ ยังเปราะบาง
  •    Developer บางรายอาจเผชิญความเสี่ยงด้านการเงิน และเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้

แบงก์ผวา ท่ามกลางสัญญาณ “เศรษฐกิจโลก” และ “เศรษฐกิจไทย” ที่ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน กลุ่มธุรกิจการเงินขนาดใหญ่ เริ่มมองเห็น “ผลกระทบ” ที่หนักมากยิ่งขึ้น ที่กระทบต่อ “พอร์ตลูกหนี้” ไม่เฉพาะ “รายย่อยครัวเรือน” หรือ “ธุรกิจเอสเอ็มอี” แต่ปัจจุบันเริ่มเห็น “เสาหลัก” อย่าง “ธุรกิจรายใหญ่” เริ่มแสดงอาการ “อ่อนแอ” และเปราะบางมากขึ้น สะท้อนผลประกอบการ สภาพคล่อง กระแสเงินสด “ลดลง” ต่อเนื่อง

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB กล่าวว่า ภายใต้ความท้าทายที่เพิ่มขึ้นในมุม “เอสซีบี เอกซ์” มองว่า ในมุมของสินเชื่อนั้น ในกลุ่มมีการหารืออย่างต่อเนื่องว่า หากภาพรวมไม่รอด “เราก็ไม่รอด”

ฉะนั้น จะทำอย่างไร ซึ่งภายใต้กลุ่มของ “เอสซีบี เอกซ์” ไม่ได้หุบร่มแน่นอน และกลับมาดูแลพอร์ตมากขึ้น ดูแลเรื่องการบริหารความเสี่ยงต่างๆ มากขึ้นในทุกมิติ

ซึ่งหากสถานการณ์ต่างๆ “แย่ลง” มีด้านใดบ้างที่บริษัทต้องเตรียมพร้อม สิ่งเหล่านี้เอสซีบีเอกซ์มีการเตรียมพร้อมมากขึ้น ทั้งการเปลี่ยนกระบวนการในการทำงานให้ใกล้ชิดมากขึ้น ทั้งกระบวนต่างๆ ในการพิจารณาสินเชื่อ การดูแลลูกค้าต่างๆ

ดังนั้น ในมุมของเอสซีบีเอกซ์ พยายามอย่างเต็มที่ในการทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ไม่ใช่แค่รักษาดูแลเฉพาะ เอสซีบี เอกซ์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะบริษัทรู้ดีกว่าเรา อยู่ไม่ได้หากระบบไม่สามารถไปต่อได้

สิ่งที่เราทำ เราคงดูแลลูกค้าต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่อยู่บนหอคอย แต่เราจะต้องออกไปดูจริงๆ รวมถึงการไปดูถึงการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูง รวมทั้งคณะกรรมการเข้ามามีส่วนร่วมในการที่จะดูแลกระบวนการตัดสินใจต่างๆ เพราะเวลาเช่นนี้มองว่า มีความเปราะบางสูง ดูไปที่ไหนดูไม่แข็งแรงไปหมด ดังนั้นหากบอกว่าใครไม่แข็งแรงเราจะไม่เข้าไป สุดท้ายก็ยิ่งไม่แข็งแรงเข้าไปใหญ่ สุดท้ายระบบก็จะไปต่อไม่ได้

ไม่ใช่เวลาเร่งเครื่องธุรกิจ
ทั้งนี้หากถามว่า เวลานี้เป็นช่วงของการเร่งเครื่องธุรกิจหรือไม่ มองว่า ไม่ใช่เวลาของการ “เร่งเครื่อง” เพราะขณะนี้ไม่ได้มีลูกค้าที่พร้อมในการเร่งเครื่องธุรกิจ หรือออกไปในต่างประเทศ ทุกประเทศก็ระมัดระวังตัวกันหมดภายใต้ความไม่แน่นอนที่ยังอยู่สูงมาก

ทั้งนี้ข้อเสนอแนะ ในมุมของผู้ประกอบการ สิ่งจำเป็นในภาวะปัจจุบันมองว่า การบริหารค่าใช้จ่าย การบริหารต้นทุน เพื่อช่วยธุรกิจในการเตรียมพร้อมความไม่แน่นอนต่างๆ เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก ในการผ่อนหนักเป็นเบา และรองรับความเสี่ยงที่กำลังเกิดขึ้นในระยะข้างหน้าได้

พอร์ตรายใหญ่ “เปราะบาง” ขึ้น

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB กล่าวว่า ยอมรับว่าปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณความ “เปราะบาง” ของธุรกิจรายใหญ่มากขึ้น ไม่เฉพาะตลาดหุ้นกู้ แต่สะท้อนผ่านผลประกอบการที่ “ลดลง” สภาพคล่องต่างๆ ที่ลดลงด้วย

เหล่านี้ไม่ได้มาจากสถานะลูกหนี้ที่แย่ลงไม่ได้มาจาก การจัดชั้นคุณภาพหนี้ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปัจจุบันเท่านั้น แต่มาจากการที่แบงก์เห็นถึง “ความเสี่ยง” ของธุรกิจมากขึ้น

โดยธุรกิจที่แย่ลงครั้งนี้ถือว่า รอบด้าน ทั้งใน และต่างประเทศ จากผลกระทบจาก supply chain เศรษฐกิจนักท่องเที่ยว การบริโภคในประเทศต่างๆ ด้วย

อย่างไรก็ตาม ในมุมของเป้าหมายการเติบโตสินเชื่อปีนี้ ยอมรับว่าอาจ “ชะลอ” กว่าที่ประเมินไว้ และชะลอลงหากเทียบกับปีก่อนหน้า แต่สินเชื่อไม่ควร “ติดลบ” ดังนั้น หลังจากนี้ในมุมแบงก์คงเห็นการเลือกกลุ่มในการเข้าไปเติบโตมากขึ้น (Selective segment)

การจัดชั้นหนี้ก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ต้องเห็นมากขึ้น แต่มาจากธุรกิจด้วย เพราะวันนี้ภาพที่มันชะลอ ธุรกิจรายใหญ่ที่เปราะบาง ชะลอตัวลง เราก็ต้อง selective มากขึ้นอยู่แล้ว เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะคำถามคือ เอาสินเชื่อไปเพื่อไปลงทุน แล้วไปขายใคร ขายเท่าไร ต้นทุนแค่ไหนก็ยังเป็นคำถาม”

ธปท. จับตาความเสี่ยง 4 กระทบเสถียรภาพการเงิน

ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดการประเมินเสถียรภาพระบบการเงินไทยในปี 2567 โดย ธปท. มองว่าท่ามกลางแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจ และภาคการเงินที่อาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ ทั้งภายใน และนอกประเทศ อาทิ นโยบายการค้า และนโยบายภาษีของประเทศต่างๆ ปัญหาเชิงโครงสร้างของบางภาคธุรกิจ เหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเมียนมา และหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง

ดังนั้น ต้องติดตามความเสี่ยงที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินในระยะข้างหน้า ได้แก่

ด้านแรก ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เปราะบาง และอ่อนไหวต่อทั้งปัจจัยภายใน และภายนอกประเทศ จากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก

รวมถึงบางภาคธุรกิจที่ยังฟื้นตัวช้า มีปัญหาเชิงโครงสร้าง และเผชิญกับการแข่งขันจากจีน ขณะที่ความเชื่อมั่นที่เปราะบางของนักลงทุนอาจนำไปสู่การขายสินทรัพย์ที่ทำให้ราคาปรับลดลง กระทบต่อฐานะของนักลงทุนสถาบัน และผู้ลงทุนรายย่อย

รวมถึงทำให้ต้นทุนการกู้ยืมผ่านตลาดทุน และความเสี่ยงในการออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดอายุ (rollover risk) ปรับเพิ่มขึ้น

โดยหากมีเหตุการณ์ที่นำไปสู่การปรับตัวลงอย่างมากของราคาสินทรัพย์ในต่างประเทศ (global asset price correction) จะยิ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และอาจนำไปสู่การเทขายสินทรัพย์จากความตื่นตระหนก (panic asset selling) อันจะส่งผลต่อเสถียรภาพระบบการเงินอย่างมากได้

ด้านที่สอง ภาวะการเงินที่อาจตึงตัวมากขึ้น และส่งผลต่อสภาพคล่องของธุรกิจ และครัวเรือน รวมถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยในปี 2567 ภาวะการเงินมีความตึงตัวขึ้น สะท้อนจากสินเชื่อ ที่ขยายตัวในระดับต่ำ และการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนที่หดตัว

โดยมีสาเหตุทั้งจากความต้องการสินเชื่อที่ลดลง การชำระคืนหนี้ และความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้กู้ยืมบางกลุ่มที่สูงขึ้นทำให้สถาบันการเงินระมัดระวังในการให้สินเชื่อแก่ผู้กู้กลุ่มนี้ 

ทั้งนี้ การประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐอเมริกา จะเป็นแรงกดดันเพิ่มเติมต่อการลงทุน การค้า และการแข่งขันกับสินค้าจีนที่เข้ามาในไทยมากขึ้น (Import Flooding) โดยเฉพาะธุรกิจที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐ ในสัดส่วนที่สูง และหาตลาดทดแทนได้ยาก

รวมถึงธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม (small and medium enterprises: SMEs) ที่มีปัญหาด้านการเข้าถึงสินเชื่อ และความสามารถในการแข่งขันอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปยังการจ้างงานของธุรกิจเหล่านี้ และรายได้ครัวเรือน ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจ และครัวเรือนลดลง 

ขณะที่สถาบันการเงิน และนักลงทุนมีความระมัดระวังในการให้กู้แก่ผู้กู้ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น อีกทั้งสภาพคล่องที่ลดลงของธุรกิจ และครัวเรือนจะเป็นปัจจัยกดดันกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมในระยะข้างหน้าได้

ห่วง “รายใหญ่” ก่อหนี้สูงลามเสี่ยงพุ่ง

ด้านที่สาม บริษัทขนาดใหญ่บางรายมีการก่อหนี้ในระดับสูง (Highly Leveraged Large Corporations : HLLCs) และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ

แม้บริษัทขนาดใหญ่โดยรวมจะมีฐานะการเงินดี ซึ่งระดับหนี้ที่สูงโดยเปรียบเทียบของ HLLCs เกิดจาก สถาบันการเงิน และนักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อความสามารถในการชำระหนี้ของ HLLCs

ที่ส่วนใหญ่มีผลการดำเนินงานดี จึงยังไม่ส่งผลต่อเสถียรภาพในระยะสั้น 
อย่างไรก็ตาม ระดับหนี้ที่สูงขึ้นต่อเนื่องเป็นการสะสมความเปราะบาง ทำให้ความสามารถในการรองรับความเสี่ยง (Negative Shocks) ของบริษัทลดลง

โดยเฉพาะ รายใหญ่ที่มีระดับหนี้สูง มีรายได้ และความสามารถในการชำระหนี้ที่ค่อนข้างอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งหากเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างมากจากนโยบายการค้าของประเทศต่างๆ อาจส่งผลกระทบต่อฐานะการเงิน และการชำระหนี้ของรายใหญ่ บางรายแก่เจ้าหนี้ที่มีทั้งสถาบันการเงิน และผู้ลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีทั้งนักลงทุนสถาบัน และบุคคลธรรมดา และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้ฝากเงิน 

รวมถึงอาจส่งผลต่อเสถียรภาพระบบการเงินได้หากความเชื่อมั่นลดลงเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะกรณีที่บริษัทมีความเชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจและการเงินสูง

ด้านที่สี่ ฐานะการเงินของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (developer) บางรายที่ได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวล่าสุด หลังจากที่ภาคอสังหาริมทรัพย์มีการชะลอตัวต่อเนื่องและฟื้นตัวช้า

โดย ในปี 2567 ภาคอสังหาริมทรัพย์ประสบกับอุปสงค์ที่ลดลงตามกำลังซื้อของประชาชนที่อ่อนแอ และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะผู้กู้ที่มีฐานะการเงินเปราะบาง สะท้อนจากอุปทานคงค้างที่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท 

อีกทั้งเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และอุปสงค์ของอาคารชุดในระยะสั้น ทำให้ developer บางรายที่เน้นพัฒนาอาคารชุดเป็นหลักอาจเผชิญกับความเสี่ยงด้านชื่อเสียง (reputation risk) และการระบายอุปทานคงค้างของอาคารชุดที่อาจทำได้ยากขึ้นหากอาคารได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งในที่สุดจะกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในระยะยาวได้

โดย developer บางรายที่มีฐานะการเงินอ่อนแออยู่แล้วในช่วงก่อนหน้า อาจมีความสามารถในการชำระหนี้ลดลง และกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดการเงินที่เปราะบางอยู่แล้ว ทำให้ความเสี่ยงในระบบการเงินปรับเพิ่มขึ้นได้

พิสูจน์อักษร….สุรีย์   ศิลาวงษ์  

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1183330&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw1mfKEsXtx9NNarym0YsXuf

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *