- หน้าแรก
- เศรษฐกิจ

“อาเซียนโตสวนกระแสโลก แต่หนี้สาธารณะพุ่ง – สิงคโปร์นำสูงสุด ไทยเร่งกู้ฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิด” เศรษฐกิจอาเซียนเติบโตเฉลี่ย 4.2% ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
- ส่องหนี้สาธารณะชาติอาเซียนโตเพิ่มขึ้นแทบทุกประเทศหลังโควิด-19 สิงคโปร์นำสูงสุด 175% เน้นกู้เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่เพิ่มมูลค่า
- ขณะที่หนี้เมียนมาโตสูงสุดเฉลี่ยปีละเกือบ 10% สปป.ลาวโตเพิ่ม 9.3% ต่อปี
- ไทยระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอาจแซงมาเลเซียที่คุมหนี้สาธารณะได้ในระดับดี
- เวียดนาม – บรูไน เป็น 2 ประเทศในอาเซียนที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ลดลง
ภูมิภาคอาเซียนได้รับการจับตาจากทั่วโลกในสถานะภูมิภาคที่เป็น “ดาวรุ่ง” หลายประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวรวดเร็วต่อเนื่องหลายปี
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563–2567) เศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอาเซียน (ASEAN) มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 4.2% ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ของโลก โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความไม่แน่นอนและการชะลอตัวจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19
ข้อมูลจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า กลุ่มประเทศ ASEAN-5 ซึ่งประกอบด้วย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 4.0% ต่อปี โดยมีประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูง เช่น อินโดนีเซีย (4.7%) และฟิลิปปินส์ (5.6%) ขณะที่ไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคอยู่ที่ประมาณ 1.8% ต่อปี
อย่างไรก็ตามหลังจากการระบาดของโควิด-19 ประเทศต่างๆในอาเซียนต่างก็ต้องเผชิญกับภาระทางการคลังที่เพิ่มขึ้น จากการดำเนินมาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจ การลงทุนด้านสาธารณสุข และการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้หลายประเทศจำเป็นต้องกู้ยืมเพิ่มเติมเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายดังกล่าวแนวโน้มนี้สะท้อนผ่านการเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่แทบทุกประเทศในอาเซียนต่างปรับเพิ่มขึ้น
ตามรายงานของสำนักงบประมาณของรัฐสภา (PBO) ได้เผยแพร่ข้อมูลสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยระบุว่าจากข้อมูลกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ชี้ให้เห็นว่าหลายประเทศมีระดับหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปี 2563 – 2567 โดยมีข้อมูลหนี้สาธารณของประเทศต่างๆเรียงจากมากไปน้อยดังนี้
1.สิงคโปร์ มีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงที่สุดในภูมิภาค โดยเพิ่มขึ้นจาก 148.1% ในปี 2563 เป็น 175.2% ในปี 2567 หรือเติบโตเฉลี่ย 4.3% ต่อปี แม้ระดับหนี้จะสูง แต่ลักษณะหนี้ของสิงคโปร์เน้นการก่อหนี้เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่มีหลักประกัน ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้
2.ลาว สัดส่วนหนี้เพิ่มจาก 76.0% ในปี 2563 เป็น 108.3% ในปี 2567 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 9.3% ต่อปี สะท้อนถึงภาระหนี้ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว จากปัญหาหนี้ต่างประเทศสูง และสภาวะเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวมาก
3. มาเลเซีย ระดับหนี้มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย โดยเพิ่มจาก 67.7% เป็น 68.4% ในช่วงปี 2563–2567 อัตราการเติบโตเฉลี่ยเพียง 0.3% ต่อปี แสดงถึงความมีเสถียรภาพทางการคลัง และควบคุมหนี้สาธารณะได้
4.ไทย หนี้สาธารณะของไทยเพิ่มขึ้นจาก 49.3% ในปี 2563 เป็น 63.3% ในปี 2567 เติบโตเฉลี่ย 6.4% ต่อปี สะท้อนความจำเป็นของภาครัฐในการกู้ยืมเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19 โดยในปีนี้ระดับหนี้สาธารณะของไทยจะเพิ่มขึ้น และ GDP โตต่ำกว่า 2% อาจทำอันดับหนี้สาธารณะของไทยขยับแซงมาเลเซียขึ้นไปได้
5.ฟิลิปปินส์ สัดส่วนหนี้เพิ่มขึ้นจาก 51.6% ในปี 2563 เป็น 57.6% ในปี 2567 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 2.8% ต่อปี อยู่ในระดับปานกลาง
6.เมียนมาแม้จะเริ่มต้นจากฐานหนี้ที่ต่ำกว่าประเทศอื่น แต่มีอัตราการเติบโตของหนี้สาธารณะสูงที่สุดในอาเซียน โดยเพิ่มจาก 40.6% เป็น 60.8% ในปี 2567 เติบโตเฉลี่ย 10.6% ต่อปี แสดงถึงการเพิ่มขึ้นของภาระหนี้อย่างรวดเร็ว
7.อินโดนีเซีย สัดส่วนหนี้ปรับเพิ่มเล็กน้อยจาก 39.7% เป็น 40.5% ในปี 2567 อัตราการเติบโตเฉลี่ยเพียง 0.5% ต่อปี แสดงถึงความคงที่และการควบคุมหนี้ในระดับที่มีเสถียรภาพ
8.เวียดนาม เป็นประเทศที่สามารถลดสัดส่วนหนี้ได้มากที่สุด โดยลดลงจาก 41.3% ในปี 2563 เหลือ 33.8% ในปี 2567 คิดเป็นอัตราการลดลงเฉลี่ย -4.9% ต่อปี สะท้อนถึงการเติบโตของ GDP ต่อเนื่องที่ทำให้หนี้สาธารณะต่อ GDP ลดลง
8.กัมพูชา ระดับหนี้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 25.2% เป็น 26.5% ในช่วงเวลาดังกล่าว คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 1.3% ต่อปี แสดงถึงแนวโน้มการกู้ยืมในระดับต่ำ
9.บรูไน ถือเป็นประเทศที่มีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่ำที่สุดในอาเซียน และยังสามารถลดหนี้ลงได้ โดยจาก 2.9% ในปี 2563 เหลือเพียง 2.3% ในปี 2567 คิดเป็นอัตราการลดลงเฉลี่ย -5.6% ต่อปี สะท้อนเสถียรภาพทางการคลังที่แข็งแกร่ง
จากภาพรวมของข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่าหลังจากวิกฤตโควิด-19 หลายประเทศในอาเซียนต้องเผชิญกับภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่บางประเทศสามารถรักษาหรือปรับลดหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยปัจจัยสำคัญขึ้นอยู่กับโครงสร้างเศรษฐกิจและนโยบายการคลังของแต่ละประเทศ.
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1182550&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw1z6fqoOtLujalbJFVFgBO6