“ต้องให้มีครูตายอีกสักกี่คน” เหตุใดการลดภาระงานของครู จึงไม่ประสบความสำเร็จ
ที่มาของภาพ, Getty Images
การยกเลิกครูเวรทั่วประเทศเกิดขึ้นเมื่อครูผู้หญิงรายหนึ่งจาก จ.เชียงราย ถูกทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อต้นปี 2567 ขณะเฝ้าเวรวันหยุดในโรงเรียน แต่ล่าสุดภาระงานที่นอกเหนือจากงานสอน ได้ปลิดชีวิตครูผู้หญิงจาก จ.บุรีรัมย์ ไปแล้วเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
“ต้องให้มีครูตายอีกสักกี่คน กระทรวง [ศึกษาธิการ] จึงจะลดภาระงานนอกที่นอกเหนือจากการสอนได้จริง ๆ” นายธนวรรธน์ สุวรรณปาล ครูผู้สอนวิชาสังคม-ประวัติศาสตร์จาก รร.ราชดำริ ในกรุงเทพมหานคร และเป็นผู้ดูแลเพจเฟซบุ๊ก “ครูขอสอน” ซึ่งขับเคลื่อนเรื่องการลดภาระงานของบุคลากรด้านการศึกษามาโดยตลอด กล่าวกับบีบีซีไทย
“ผมไม่อยากเห็นใครต้องตายอีก แต่ผมเชื่อว่านี่ไม่น่าใช่ศพสุดท้าย” เขากล่าว
ปัจจุบัน ครูส่วนใหญ่ในไทยต้องทำงานนอกเหนือจากการสอน ไม่ว่าจะเป็นงานฝ่ายวิชาการ ฝ่ายการเงินและงบประมาณ ฝ่ายบริหารงานบุคคล และฝ่ายบริหารงานทั่วไป
ความเสี่ยงและความกดดันของภาระงานครูการเงิน-พัสดุ คืออะไร ?
สื่อไทยหลายสำนักรายงานตรงกันว่า น.ส.อนุสรา ชวนรัมย์ หรือที่ผู้คนเรียกเธอในอีกชื่อหนึ่งว่า “ครูมัท” ได้ตัดสินในจบชีวิตตัวเองลงในวัย 39 ปี โดยข้อความในจดหมายลากล่าวว่า “มีปัญหาในเรื่องการทำงาน การเงิน การบัญชี ซึ่งข้าพเจ้าได้ทำงานคั่งค้างพอกพูนจนแก้ไขได้ยาก แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เพราะข้าพเจ้าเพียงคนเดียว แต่เป็นเพราะเกิดจากกระบวนการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพภายในโรงเรียน การทำงานไม่เป็นระบบ ให้เบิกก่อนจ่ายทีหลัง และก็นิ่งเฉยไม่มีใครมาเคลียร์”
“อันไหนเคลียร์ได้ก็ดีไป อันไหนเคลียร์ไม่ได้ก็ต้องมานั่งเครียดเอง จนหัวระเบิด ไมเกรนแทบทุกวัน ข้าพเจ้าเหนื่อยกาย เหนื่อยใจกับการทำงานนี้มาก” ครูผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษ รร.บ้านบุหนองเทา อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ ระบายความในใจ
ในจดหมายยังกล่าวตำหนิเพื่อนร่วมงาน รวมถึงผู้บริหารโรงเรียน รวมถึงขอร้องกระทรวงศึกษาธิการว่าให้ช่วยเห็นใจครูการเงินและพัสดุด้วย โดยบอกว่า “อย่าให้ต้องทำงานหนัก และเสี่ยงชีวิตแบบนี้เลย”
“ข้าพเจ้าไม่สามารถทำงานนี้ได้อีกต่อไปแล้ว ถ้าอยู่ต่อคงพิการหรือเส้นเลือดในสมองแตกตาย” น.ส.อนุสรา วัย 41 ปี ระบุในจดหมาย
บีบีซีไทยได้พูดคุยกับ น.ส. เอ (นามสมมติ) ซึ่งได้รับมอบหมายให้รับภาระงานการเงินและงบประมาณในโรงเรียนขนาดกลางแห่งหนึ่งได้ประมาณ 7 ปี แล้ว ควบคู่ไปกับการสอนวิชาหมวดศิลปะซึ่งเป็นงานหลัก เพื่อทำความเข้าใจว่าภาระงานด้านนี้มีความเสี่ยงและหนักหนาสาหัสอย่างไร
“โดยธรรมชาติแล้ว งานงบประมาณหรืองานการเงินพัสดุ มันไม่ค่อยมีใครอยากทำ เรียกได้ว่าไม่มีใครอยากทำเลยดีกว่า ทุกคนล้วนแต่จะปฏิเสธทั้งนั้น แล้วยิ่งเราเป็นคนที่เข้ามาใหม่ ไม่มีประสบการณ์เลย ก็ยิ่งไม่ควรมาแตะด้วยซ้ำ เพราะว่ามันมีความเสี่ยงสูงอยู่แล้ว” เธอบอก
ความเสี่ยงในทีนี้มีตั้งแต่ความผิดพลาดที่อาจทำให้ต้องควักเงินตัวเองออกมาชดใช้ หรือเสี่ยงโดนทำโทษฐานทุจริต เนื่องจากต้องรับภาระงานที่เกี่ยวข้องกับเงินจำนวนมากของโรงเรียน
เธอยังบอกด้วยว่าคำที่ใครต่อใครพูดว่าสอนผิดสอนใหม่ได้ แต่ทำการเงิน-พัสดุ หากทำผิดก็เสี่ยงติดคุกนั้น ไม่ใช่คำบรรยายที่เกินจริง
“มันเป็นความเสี่ยงที่ใกล้ตัวเรามาก ๆ” น.ส.เอ กล่าว “แต่ส่วนตัวโชคดีว่ายังไม่มีความเสี่ยงเช่นนั้น” ในตอนนี้
ปัจจุบัน น.ส. เอ เป็นครูชำนาญการอยู่ในโรงเรียนแห่งหนึ่งในภาคกลาง และทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายงบประมาณของโรงเรียนแล้ว
ที่มาของภาพ, FACEBOOK/Athapol Anunthavorasakul
จุดเริ่มต้นย้อนกลับไปเมื่อเธอได้รับการบรรจุเข้ามาเป็นครูใหม่ ๆ และภาระงานแรกที่ได้รับมอบหมายคือผู้ช่วยงานด้านงบประมาณ ซึ่งต้องทำงานเกี่ยวข้องกับการเงินด้วย
เมื่อถามว่าปฏิเสธได้หรือไม่ เพราะไม่ใช่หน้าที่ของครูผู้สอนโดยตรง น.ส.เอ บอกว่า “ด้วยความเป็นน้องใหม่ ทำให้น้ำหนักในการปฏิเสธเรื่องนี้น้อยมาก”
“มันก็จะมีความกดดันต่าง ๆ ที่สุดท้ายเราก็ต้องจำยอม ก็ต้องทำไปก่อน”
ด้านนายธนวรรธน์จากเพจ “ครูขอสอน” บอกกับบีบีซีไทยว่าสิ่งที่ น.ส.เอ เผชิญในตอนต้นนั้น เป็นรูปแบบที่ครูจบใหม่แทบทุกคนต้องเจอ ซึ่งพบว่าทางผู้บริหารโรงเรียนหรือครูคนอื่นที่มีความอาวุโสมากกว่าจะถือว่าตนเองมีอำนาจต่อรองสูงกว่าเพื่อมาบังคับ “ครูตัวเล็กตัวน้อย” ให้รับภาระงานที่พวกเขาไม่ได้เต็มใจรับ และไม่มีทักษะด้านนี้มาตั้งแต่แรก
“ครูบรรจุใหม่มักถูกใช้ให้ไปทำ เพราะไม่มีอำนาจต่อรอง แล้วก็กลัวว่าตัวเองจะถูกประเมินไม่ผ่าน หรือบางทีอาจมีผลกับการประเมินเลื่อนขั้นเงินเดือน ด้วยระบบราชการที่มัน Hierarchy (ลำดับขั้น) สูง ครูตัวเล็กตัวน้อยก็จะโดย ผอ. หรือ รอง ผอ. บังคับ ถ้าหนัก ๆ ก็ไซโค(การใช้จิตวิทยา)หรือข่มขู่ หลายคนต้องแกล้งป่วยหรือป่วยเป็นซึมเศร้าจนทำงานไม่ได้เลย เขาจึงจะยอมให้ออกจากงานด้านนี้ แต่สุดท้ายหากมีใครหายไป มันก็ต้องมีใครสักคนเข้ามาทำงานอยู่ดี คนในโรงเรียนก็จะแบบ…อ้าว ฉันก็ซวยสิ มันก็เหมือนบังคับให้ทำต่อไปกลาย ๆ เพราะคนอื่น ๆ ก็มีภาระงานเหมือนกัน” เขากล่าวเสริม
น.ส.เอ เล่าต่อว่าสิ่งที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงคือความกดดันและความเครียดของภาระงานด้านนี้ เธอย้ำด้วยว่าตัวเองจบด้านศิลปะ ไม่ได้มีทักษะทางบัญชีหรือการเงิน แต่ในเมื่อผู้บริหารบอกว่าเห็นศักยภาพและมอบหมายงานด้านนี้มาให้ จึงจำใจรับมาโดยปฏิเสธไม่ได้ และทำมาเรื่อยจนได้ขยับเป็นหัวหน้าฝ่ายงบประมาณ
เธอเล่าว่าต้องเรียนรู้กฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นความรู้และทักษะใหม่แทบทั้งหมด เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองต้องมีปัญหาละเมิดระเบียบและกฎหมายต่าง ๆ ที่ร้อยรัดเป็นระบบตรวจสอบการใช้เงินของหน่วยงานราชการเอาไว้
ที่มาของภาพ, Getty Images
ครูที่ทำงานด้านการเงินซึ่งเป็นกระบวนการท้าย ๆ ของการเบิกจ่าย และเมื่อต้นน้ำเริ่มต้นมาไม่ดี เช่น ขาดเอกสารที่ถูกต้องสำหรับการเบิกจ่ายเงิน เธอก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาด้วยการคิดในหัวอยู่ตลอดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ผิดระเบียบ ไม่ให้ตัวเองเสี่ยงถูกสอบ ไม่ให้กระทบกระทั่งจนเสียสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน และทำอย่างไรจึงจะสามารถประนีประนอมกับผู้บริหารของโรงเรียนได้
น.ส.เอ เล่าด้วยว่าบางครั้งต้องเจอกับผู้บริหารที่มักง่าย ถือความสะดวกเป็นหลักโดยไม่สนใจว่ากระบวนการจัดซื้อจัดจ้างถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ เช่น ไปซื้อของจากร้านค้าออนไลน์ที่ไม่สามารถนำบิลมาเบิกเงินได้ตามระเบียบ แต่ผู้บริหารก็พยายามกดดันครูที่ทำงานด้านพัสดุและการเงินให้เบิกจ่ายย้อนหลังได้ เป็นต้น
ทั้งหมดนี้คือภาระงานด้านงบประมาณล้วน ๆ ที่ น.ส.เอ ต้องทำควบคู่กับการสอนไปด้วย ปัจจุบันเธอต่อรองกับผู้บริหารโรงเรียนด้วยการรวบรวมคาบว่างของแต่ละวันให้มาอยู่วันเดียวกัน เพื่อที่เธอจะได้นำไปใช้เคลียร์เอกสารการเงิน และไปธนาคาร
ทั้งนี้ โดยปกติแล้วคาบว่างที่มีอยู่น้อยนิดของครูผู้สอน มักถูกใช้ไปกับการตรวจการบ้านและเตรียมการสอนคาบต่อไป
“มันไม่ได้หมายความว่าชั่วโมงสอนเราน้อยลงนะคะ เพราะเราก็ยังสอนเท่าเพื่อน แต่ไม่มีคาบว่าง” น.ส.เอ กล่าว “รู้สึกว่ามันไม่ fair (ยุติธรรม) กับคนทำงาน คือเข้าใจว่าคนอื่นเขาก็มีภาระงานเหมือนกันนั่นแหละ แต่มันไม่เท่าเทียมกันเท่าไร หน้าที่ตรงนี้มันเหมือนเป็น job (งาน) นอกเหนือการสอน ทำให้รู้สึกว่าเราเสียเปรียบกว่าคนอื่น”
เหตุใดโรงเรียนไม่มีเจ้าหน้าที่ธุรการ ?
ที่มาของภาพ, Getty Images
น.ส.เอ บอกว่าช่วงที่มาบรรจุแรก ๆ โรงเรียนเคยมีเจ้าหน้าการเงินซึ่งไม่ต้องรับผิดชอบงานสอนและได้รับค่าตอบแทนเดือนละ 9,000 บาท แต่เมื่อเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวได้งานใหม่ที่เสนอค่าตอบแทนมากกว่า เขาก็ลาออกจากโรงเรียนไป และอัตราตำแหน่งนี้ก็หายพร้อมกันไปด้วย
“ปัจจุบันมีแค่ครู นักเรียน และภารโรง” เธอกล่าว “งานมันก็ตกมาที่ครู”
ด้านนายธนวรรธน์ซึ่งเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร บอกกับบีบีซีไทยว่า ก่อนยุคปฏิรูปการศึกษาในปี 2542 เคยมีตำแหน่งที่เรียกว่าครูธุรการซึ่งดูแลงานด้านการบริหารจัดการต่าง ๆ ภายในโรงเรียน แต่เนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการไม่มีเส้นทางสายอาชีพ (career path) ให้กับคนกลุ่มนี้ที่แน่นอน ทำให้พวกเขาไม่เห็นเส้นทางการเติบโต ประกอบกับถูกมองว่าเป็นพลเมืองชั้นสองในโรงเรียน “จึงถูกยุบมาอยู่กองเดียวกัน เป็นครูและบุคลากรการศึกษา”
ปัจจุบัน ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการในระบบข้าราชการครูจัดอยู่ในกลุ่มบุคลากรทางการศึกษาตามมาตรา 38 ค.(2) ของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ส.)
นายธรวรรธน์บอกว่าในหนังสือเวียนของกระทรวงศึกษาธิการระบุให้จัดสรรตำแหน่งนี้ให้กับโรงเรียนแต่ละขนาด เพราะทราบดีว่าครูมีภาระงานนอกเหนือการสอน แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีการจัดสรรขึ้นจริง “โดยให้เหตุผลว่าไม่มีงบประมาณหรืออัตรากำลังไม่ได้” ซึ่งเหตุผลนี้เป็นสิ่งที่ทางกระทรวงฯ ชี้แจงต่อปัญหาขาดแคลนอัตรากำลังครูด้วย
เมื่อปี 2567 ปี Rocket Media Lab ร่วมกับมูลนิธิแพธทูเฮลท์ จัดทำแบบสอบถามครูผู้สอนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – มัธยมศึกษาปีที่ 6 และ ปวช. ทั่วประเทศ ในช่วงวันที่ 9 – 15 มกราคม 2567 ทางออนไลน์ เพื่อสำรวจความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบการศึกษา
ผลสำรวจพบว่าสิ่งที่ครูอยากเห็นผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการทำมากที่สุด คือ ลดภาระงานเอกสารที่ต้องทำส่งกระทรวงมากถึง 48.18% รองลงมา คือ เพิ่มค่าตอบแทนครู 20.46% และปรับระบบการประเมินผลการศึกษารวมถึงการประกันคุณภาพ 12.54%
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ชี้แจงต่อคณะอนุกรรมาธิการศึกษาหลักสูตรและการพัฒนาระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ สภาผู้แทนราษฎร ว่าในแผนปฏิบัติงานประจำปีงบประมา 2567 ทาง สพฐ. ดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการลดภาระงานของครูไปแล้วหลายร้อยรายการ
ทว่า นายธนวรรธน์เห็นว่าตัวเลขดังกล่าวที่ทาง สพฐ. นำมาเสนอความก้าวหน้านั้น “เหมือนเป็นเพียงตัวเลขลอย ๆ” เพราะไม่สามารถทำให้ครูผู้สอนรู้สึกได้ว่าภาระงานลดลงจริง
นอกจากนี้ยังพบว่าตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาที่เข้ามาทำงานสนับสนุนนั้น ส่วนใหญ่ไปกองอยู่ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาไม่ก็โรงเรียนขนาดใหญ่ ขณะที่โรงเรียนขนาดเล็กและขนาดกลางยังต้องเผชิญกับภาระงานที่หนักหนาสาหัสเช่นเดิม
ปัญหาเรื้อรัง แต่เหตุใดแก้ไขไม่ได้
หลังสื่อมวลชนรายงานเหตุการจบชีวิตของครูใน จ.บุรีรัมย์ ได้เพียงหนึ่งวัน ทาง ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ออกมาเปิดเผยต่อสื่อว่าทาง สพฐ. ขอแสดงความเสียใจแก่ครอบครัวของ น.ส.อนุสรา พร้อมกันนี้ได้สั่งการให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) บุรีรัมย์ เขต 1 ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงถึงการบริหารงานภายใน รร.บ้านบุหนองเทา โดยการสอบสวนจะเสร็จสิ้นภายใน 7 วัน
“เราตั้งข้อสังเกตว่ามีโรงเรียนตั้ง 30,000 โรง ทำไมมีปัญหาแบบนี้อยู่ที่นี่ที่เดียว” ว่าที่ร้อยตรีธนุ กล่าว และบอกว่ารับทราบปัญหาภาระงานของครูอยู่แล้ว และไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่หากจะต้องมีการจ้างเจ้าหน้าที่ด้านพัสดุการเงินโดยตรง “ก็ถือเป็นความจำเป็นด้านภาระงบประมาณจำนวนมาก”
ด้าน น.ส.เอ บอกว่าตนเองได้เห็นการสัมภาษณ์ของเลขาธิการ กพฐ. แล้วรู้สึกโกรธมาก เพราะรู้สึกว่าผู้บริหารไม่เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น และไม่มีความจริงใจแก้ไขปัญหาดังกล่าว
เธอบอกว่าต้องการให้ผู้บริหารกระทรวงฯ จัดหาอัตราเจ้าหน้าที่ฝ่ายงานสนับสนุนมาประจำโรงเรียนต่าง ๆ อย่างทั่วถึง เพราะโดยลำพังครูผู้สอนก็มีความรับผิดชอบต่อชีวิตมนุษย์จำนวนมากพออยู่แล้ว ไม่ควรต้องมาแบกรับภาระงานด้านการเงินและงบประมาณซึ่งต้องการทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะเจาะจง
“งานการเงิน งานพัสดุ มันเป็นภาระที่เกินกว่าครูคนหนึ่งจะรับได้ เพราะทำแล้วก็เสมอตัว หรือบางทีทำไปแล้วก็มีความเสี่ยง ดีไม่ดีติดลบ ต้องควักเนื้อตัวเองมาชดใช้ ต้องมาเจรจาไกล่เกลี่ยคดีความ สิ่งที่อยากได้สุด ๆ คืออัตรากำลังที่มาทำงานนี้อย่างเป็นกิจลักษณะ”
ที่มาของภาพ, Getty Images
นายธรวรรธน์กล่าวว่าเรื่องภาระงานครูที่นอกเหนือจากการสอน เป็นปัญหาเรื้อรังมาอย่างยาวนาน แต่ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการไม่ว่ายุคใดก็ตาม ไม่ได้มีความจริงใจและตั้งใจแก้ไขปัญหานี้ เพราะวัฒนธรรมของกระทรวงการศึกษานั้น หากใครสักคนลุกขึ้นมาเห็นต่าง และบอกว่าต้องการแก้ปัญหาที่โครงสร้าง ก็มักจะถูกมองเป็น “แกะดำ” ของระบบ และจะไม่มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
“ผมคิดว่าหลายคนเขารู้นะว่าคนที่ต้องรับผิดชอบปัญหานี้จริง ๆ ก็คือพวกเขา ซึ่งก็คือผู้บริหารระดับกลางและระดับสูงของกระทรวงฯ แต่ถ้าเขาพูดออกมาแล้วแก้ไขไม่ได้ เขาก็จะซวย ซึ่งผู้บริหารระดับกลางและระดับสูงนั้นมีอนาคตที่จะขึ้นไปในระดับสูงกว่าที่เป็นอยู่ และการอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไร มันทำให้คุณเติบโตใน career path (เส้นทางการเติบโตในสายงาน) ได้ดีกว่า” เขาบอก
ขณะเดียวกัน นายธรวรรธน์ ก็เห็นว่าผู้บริหารโรงเรียนเองก็ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เพราะสามารถผลักดันภาระรับผิดชอบที่ตนเองมองว่ายุ่งยาก เช่น งานการเงินและงบประมาณ ไปยังครูผู้น้อยซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาและไม่มีอำนาจต่อรอง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของสถานะที่เป็นอยู่ (status quo)
มากกว่านั้น เขายังมองว่าปัญหานี้ยังสะท้อนสภาวะอำนาจนิยมภายในระบบการศึกษา ซึ่งสุดท้ายย้อนกลับมาทำร้ายบุคลากรที่ทำงานให้กับระบบเอง และส่งผลกระทบต่อคุณภาพของนักเรียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในอนาคตอันใกล้
“อย่าลืมว่าหากไม่สามารถให้ครูโฟกัสที่การสอนได้ ไม่เอาภาระงานเหล่านี้ออกไป สุดท้ายคุณภาพการสอนก็จะแย่ลงกว่านี้ แล้วนี่คือปัญหาใหญ่นะครับ เพราะนักเรียนที่จบออกไป ก็ต้องออกไปทำงานให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องใหญ่มาก”
เขาจึงเห็นว่าครูและผู้ที่อยู่ในแวดวงการศึกษาต้องช่วยกันเรียกร้องให้กระทรวงฯ ยกเลิกภาระงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสอนและวิชาการออกไปให้พ้นจากครูผู้สอนให้ได้ ซึ่งเรื่องนี้ต้องอาศัยฉันทามติจากสังคมช่วยเป็นลมใต้ปีกด้วย และสิ่งสำคัญที่สุดที่เขาอยากเห็นคือการก่อตั้งสหภาพครูที่มีกฎหมายรองรับมาช่วยต่อรองกับกระทรวงและผู้บริหาร หากครูไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.bbc.com/thai/articles/c07dnn5lemyo&ct=ga&cd=CAIyHDI4ODcxZTExZDQzMWVlYzA6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw2EIwLkLAP2gdyWj-5doEeZ